กฎหมายจะดีได้ ก็ต่อเมื่อทุกคนมีส่วนร่วมในการออกแบบร่วมกัน ย้ำ กฎหมายไม่ใช่เพียงกลไกของรัฐ แต่คือวัฒนธรรมร่วมที่กำหนดวิถีชีวิต ความยุติธรรม และความหวังของสังคมไทยในวันข้างหน้า
วันนี้ (10 ต.ค.68) ในงาน Good Society Day 2025 วงเสวนา Good Talk : กฎหมายนี้ดีออก ณ ห้อง Lido Hall 3 ชั้น 2 รวมเหล่า Speakers ตัวจริงจากหลากหลายภาคส่วน มาร่วมกันหาคำตอบว่าเราทำดีไปทำไม ความดียังจำเป็นอยู่ไหมในโลกวันนี้ พร้อมสะท้อนว่ากฎหมายไม่ใช่สิ่งไกลตัวหรือเครื่องมือของรัฐเท่านั้น หากแต่เป็นกลไกที่ทุกคนมีสิทธิร่วมออกแบบเพื่อสร้างสังคมที่ยุติธรรมและน่าอยู่ เปลี่ยนผ่านจากการรอรัฐแก้ปัญหา ไปสู่การที่ประชาชนลุกขึ้นมาสร้างกติกาของตนเอง
กฎหมายในฐานะความดีแบบ ‘กลาง ๆ’
ถูกร่างโดยมนุษย์ ก็ควรแก้ไขได้ด้วยมนุษย์
ยิ่งชีพ อัชฌานนท์ ผู้อำนวยการ iLaw เปิดเวทีด้วยการชวนผู้ฟังมองกฎหมาย ผ่านมุมของความเป็นมนุษย์ เขายอมรับอย่างซื่อสัตย์ว่า ไม่มีใครดีหรือเลวอย่างสมบูรณ์ ทุกคนต่างมีด้านเทาเหมือนกันทั้งนั้น และในเมื่อมนุษย์เท่ากัน กฎหมายเองก็ต้องยืนอยู่บนฐานของความเท่าเทียมเช่นกัน เขาย้ำว่า กฎหมายไม่ใช่สิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือความยุติธรรมขั้นสูงสุด แต่คือ ‘ความยุติธรรมแบบกลาง ๆ’ เป็นความดีแบบกลาง ๆ ที่มนุษย์ในแต่ละยุคสมัยเขียนขึ้นเพื่อจัดการปัญหาของสังคม ณ เวลานั้น ๆ จึงไม่ควรถูกมองว่าเป็นของตาย หากแต่สามารถปรับเปลี่ยนได้เสมอเมื่อไม่ตอบโจทย์ความเป็นธรรม
“กฎหมายเมื่อใช้ไปนาน เราจะเห็นทั้งข้อดีและข้อเสีย ก็แก้ไขกันได้ แต่ตราบใดที่การออกกฎหมายยังอยู่ในมือคนกลุ่มเดียว กฎหมายก็ไม่มีทางดีกับทุกคนได้จริง”
ยิ่งชีพ อัชฌานนท์
ยิ่งชีพ ตั้งข้อสังเกตว่า ปัญหาใหญ่ของกฎหมายไทยอยู่ที่อำนาจการออกกฎหมายยังคงกระจุกอยู่ในมือของคนกลุ่มเดียว ทำให้กฎหมายไม่อาจสะท้อนผลประโยชน์ของประชาชนส่วนใหญ่ได้ เขาจึงเสนอว่าหากระบบเปิดกว้างให้คนหลากหลายได้เข้ามามีส่วนร่วมในการร่างกฎหมาย กติกาที่ได้ย่อมมีความยุติธรรมและยืดหยุ่นมากกว่า พร้อมย้ำว่าช่องทางให้ประชาชนเข้าชื่อเสนอร่างกฎหมายที่มีมากว่า 26 ปี ถือเป็นหมุดหมายสำคัญของประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม เพราะทุกวันนี้ประชาชนสามารถเสนอร่างกฎหมายได้ง่ายขึ้น แม้ยังมีอุปสรรคทางการเมือง แต่ก็แสดงให้เห็นถึงพลังของเจ้าของอำนาจที่แท้จริง

เขายกตัวอย่าง ‘ร่างกฎหมายอากาศสะอาด’ ที่ภาคประชาชนร่วมลงชื่อกว่า 20,000 รายชื่อว่าเป็นตัวอย่างของการใช้สิทธิร่วมออกแบบสังคมอย่างแท้จริง และเป็นสัญญาณว่าประชาชนเริ่มเข้าใจว่ากฎหมายคือเครื่องมือของตนเอง ไม่ใช่ของรัฐฝ่ายเดียว
ยิ่งชีพ ยังชวนเชื่อมโยงต่อไปถึงการทำประชามติแก้รัฐธรรมนูญต้นปีหน้า ซึ่งถือเป็นเหตุการณ์ทางการเมืองครั้งสำคัญ เพราะเป็นโอกาสที่ประชาชนจะได้บอกอย่างชัดเจนว่า ต้องการกติกาที่มาจากประชาชนเองหรือไม่? เขาเตือนว่า หากพลาดโอกาสนี้ อาจต้องรออีกหลายสิบปีกว่าจะได้มีส่วนร่วมเขียนรัฐธรรมนูญใหม่อีกครั้ง กฎหมายที่ดีสำหรับยิ่งชีพจึงไม่ใช่กฎหมายที่สมบูรณ์แบบ แต่เป็นกฎหมายที่เปิดโอกาสให้ผู้คนได้เรียนรู้ ปรับปรุง และร่วมกันกำหนดทิศทางของสังคมอย่างเท่าเทียม
กฎหมายอากาศสะอาด และวัฒนธรรมกฎหมายใหม่ของสังคมไทย
รศ.คนึงนิจ ศรีบัวเอี่ยม จากสมาคมเครือข่ายอากาศสะอาดเพื่อสุขภาพ และหนึ่งในกรรมาธิการอากาศสะอาดฯ กล่าวอย่างหนักแน่นว่า ‘กฎหมายคือวัฒนธรรมทางความคิด’ ไม่ใช่เพียงเครื่องมือของรัฐ แต่คือกลไกที่สังคมใช้บริหารผลประโยชน์ร่วมกัน กฎหมายที่ดีต้องทำให้ประโยชน์ส่วนรวมอยู่เหนือประโยชน์ส่วนตัว และเปิดพื้นที่ให้ประชาชนร่วมกำหนดอนาคตของตนเอง

รศ.คนึงนิจ ยังยก ‘ร่างกฎหมายอากาศสะอาด’ เป็นตัวอย่างชัดเจนของการเปลี่ยนบทบาทของประชาชนจากผู้ถูกปกครองเป็น ‘เจ้าของกฎหมาย’ โดยประชาชนกว่า 20,000 คนร่วมลงชื่อเสนอร่างนี้ เพื่อสร้างระบบบริหารจัดการคุณภาพอากาศที่บูรณาการ โปร่งใส และแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างอย่างแท้จริง การผลักดันกฎหมายอากาศสะอาดเป็นมากกว่าการแก้ปัญหาฝุ่น PM2.5 แต่เปรียบกับจุดเริ่มต้นของการปฏิรูปเชิงโครงสร้าง ที่ผ่านสังคมไทยและรัฐมักแก้ไขปัญหากันแบบ ‘event-based’ ซึ่งไม่ยั่งยืน การร่วมกันพิจารณากฎหมายจึงเป็นการแก้ไขแบบ ‘structure-based’ เพื่อแก้ปัญหาที่รากของระบบราชการ ซึ่งมักแยกส่วน ไม่บูรณาการ และขาดการมีส่วนร่วมของประชาชน
คนึงนิจ ย้ำว่า การสร้างวัฒนธรรมกฎหมายใหม่ต้องเริ่มตั้งแต่ต้นน้ำของระบบการศึกษา โดยเฉพาะโรงเรียนกฎหมายที่ยังสอนแนวคิดเก่าซึ่งมองรัฐเป็นศูนย์กลาง ทั้งที่โลกสมัยใหม่ให้ความสำคัญกับนิติปรัชญาเพื่อสังคมที่เห็นประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยร่วมกับรัฐ เธอเสนอให้ปฏิรูปหลักสูตรกฎหมายและเปิดให้นักกฎหมายเรียนรู้ข้ามศาสตร์มากขึ้น เช่น วิทยาศาสตร์ สิ่งแวดล้อม และเศรษฐศาสตร์ เพื่อให้กฎหมายกลายเป็นเครื่องมือที่ทำงานร่วมกับทุกภาคส่วนในการแก้ปัญหาสังคม
เธอทิ้งท้ายว่า ความรับรู้ของสาธารณะคือหัวใจของกฎหมาย แม้รัฐอาจไม่รับฟัง ไม่เป็นไร แต่ภาคประชาชนสามารถสร้างพลังใหม่ด้วยการร่วมกันสร้าง ‘Public View’ หรือการมองร่วมในประโยชน์ส่วนรวม กฎหมายจึงจะไม่เป็นของผู้มีอำนาจ แต่เป็นของทุกคนที่อยากเห็นอากาศดี สังคมดี และประเทศที่ทำดีกันได้ง่ายขึ้น
“กฎหมายไม่ได้เป็นยาวิเศษหรือเครื่องมือของรัฐฝ่ายเดียว แต่คือกติกาที่ประชาชนและรัฐร่วมกันใช้บริหารจัดการสังคม กฎหมายจึงไม่ใช่ทรัพย์สมบัติของใครคนใดคนหนึ่ง หากเป็นของทุกคนในสังคม”
รศ.คนึงนิจ ศรีบัวเอี่ยม
การพยายามสร้างสนามที่ทุกกีฬาเล่นด้วยกันได้เป็นเรื่องยาก
ในอีกมุมหนึ่ง พิเศษ สอาดเย็น สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (TIJ) เปรียบระบบนิติธรรมเสมือน ‘สนามกีฬา’ ที่ต้องเรียบง่าย เสมอหน้ากันและมีกติกาชัดเจน เพื่อให้ผู้เล่นทุกคนเข้าใจบทบาทของตนเอง แต่ปัญหาของไทยคือกฎหมายซับซ้อนจนประชาชนไม่รู้ว่าตนมีหน้าที่อะไร และสุดท้ายกฎหมายกลายเป็นภาระมากกว่าคู่มือใช้ชีวิต เขามองว่าหน้าที่ของสังคมไม่ใช่เพียงเชื่อฟังผู้ร่างกฎหมาย แต่ต้องร่วมกันออกแบบสนามแห่งนี้ให้ยุติธรรมและสอดคล้องกับความต้องการของผู้เล่น ซึ่งก็คือประชาชนเอง
พิเศษเล่าถึงการทำงานของ TIJ ที่มุ่งช่วยเหลือผู้ต้องขังและผู้พ้นโทษ โดยมองว่าคนเหล่านี้คือ ‘ผู้เล่นที่ถูกผลักออกจากสนาม’ การฟื้นฟูจึงต้องเริ่มจากการฟัง ไม่ใช่การสั่ง ผ่านโครงการ ‘ตั้งต้นดีอะคาเดมี’ ที่ช่วยเสริมทักษะชีวิต การจัดการหนี้สิน และสร้างชุมชนแห่งความไว้วางใจให้ผู้พ้นโทษได้กลับมามีศักดิ์ศรีในสังคมอีกครั้ง เขาอธิบายว่า การสร้างชุมชนแบบนี้เป็นภาพจำลองของสังคมแห่งความยุติธรรมที่คนพึ่งพาอาศัยกันได้ โดยกฎหมายเป็นสะพาน ไม่ใช่กำแพง และระบบกระบวนการยุติธรรมที่ดีต้องเริ่มจากการให้โอกาสผู้กระทำผิดได้กลับตัวกลับใจ เพื่อให้สังคมได้พลเมืองคุณภาพกลับคืนด้วย
พิเศษ ยังเสนอแนวคิด ‘people-centered justice’ หรือระบบยุติธรรมที่มีคนเป็นศูนย์กลาง เพราะหากรัฐยังคิดแทนประชาชน กฎหมายที่สร้างย่อมขาดความไว้วางใจ เขาชี้ว่ารัฐควรลงทุนในการลดอุปสรรคการมีส่วนร่วม และเสริมพลังให้ประชาชนกล้าใช้สิทธิในกระบวนการนิติบัญญัติ เขายังอธิบายว่า การเมืองและกฎหมายคือกระบวนการเรียนรู้ร่วมกัน ไม่ใช่การแข่งขันเพื่อเอาชนะ เมื่อทุกฝ่ายได้แลกเปลี่ยนเหตุผลอย่างเปิดกว้าง แม้บางฝ่ายจะไม่ได้สิ่งที่ต้องการ แต่เสียงของพวกเขาก็ยังมีคุณค่าในฐานะส่วนหนึ่งของประชาธิปไตย
“รัฐบาลทำงานยาก ๆ ลำพังไม่ได้ ถ้าอยากให้สังคมดีขึ้น ต้องเอาคนเป็นศูนย์กลาง ไม่ใช่แค่ขีดเส้นให้เล่นตาม แต่ต้องฟังว่าประชาชนอยากเล่นเกมแบบไหน และสนามแบบไหนที่ทุกคนจะอยู่ร่วมกันได้จริง”
พิเศษ สอาดเย็น
ท้ายที่สุด พิเศษ เตือนว่าสังคมไทยกำลังอยู่ในยุคที่ข้อมูลไหลเร็วแต่ขาดความเข้าใจลึก การเมืองกลายเป็นสนามที่เน้นการแพ้ชนะมากกว่าการพูดคุย หากไม่ฟื้นพื้นที่สนทนาที่มีเหตุผล แม้จะมีประชามติหรือกฎหมายที่ดีเพียงใด สังคมก็อาจไม่สามารถเดินหน้าได้อย่างยั่งยืน
วงเสวนา ‘กฎหมายนี้ดีออก’ สะท้อนให้เห็นว่ากฎหมายไม่ใช่สิ่งไกลตัวหรือเครื่องมือของรัฐเท่านั้น หากแต่เป็นกลไกที่ทุกคนมีสิทธิร่วมออกแบบเพื่อสร้างสังคมที่ยุติธรรมและน่าอยู่ ‘กฎหมายอากาศสะอาด’ จึงเป็นภาพสะท้อนของการเปลี่ยนผ่านจากการรอรัฐแก้ปัญหา ไปสู่การที่ประชาชนลุกขึ้นมาสร้างกติกาของตนเอง ขณะเดียวกัน ‘การลงประชามติรัฐธรรมนูญ’ ที่จะเกิดขึ้นต้นปีหน้า ก็จะเป็นบททดสอบสำคัญว่า สังคมไทยพร้อมหรือยังที่จะเชื่อในพลังของประชาชนและกฎหมายที่ดีซึ่งออกมาจากใจของทุกคน