แอมเนสตี้ฯ เปิดตัว Activerse เว็บไซต์อินเตอร์แอคทีฟ หวังสร้างพื้นที่ปลอดภัยทดลอง ชวนค้นหาตัวเอง ส่งเสริมการเคลื่อนไหวของผู้คน ขณะที่ นักรัฐศาสตร์ ชี้พื้นที่ต่อสู้บนถนน มีต้นทุนสูง อันตราย มองไม่เห็นชัยชนะ ย้ำ ความท้าทาย ทำอย่างไร ? ให้ทุกคนมีส่วนร่วมการเคลื่อนไหวในระยะยาว ไปสู่การเปลี่ยนแปลงได้จริง
การชุมนุมใหญ่ที่เกิดขึ้นหลายครั้ง ในช่วงปี 2563 – 2564 ถือเป็นเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์การเมืองไทยยุคสมัยใหม่ ที่ไม่เพียงผู้ชุมนุมส่วนใหญ่เป็นเยาวชนคนรุ่นใหม่เท่านั้น แต่พลังของกลุ่มคนเหล่านี้ ได้แสดงออกผ่านเสียงตะโกน โห่ร้อง คำปราศรัย และความคิดสร้างสรรค์ในการออกแบบการชุมนุมที่หลากหลาย รวมทั้งข้อเสนอที่แหลมคมจน เรียกว่า ทะลุเพดาน อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
แม้หลายครั้งต้องเผชิญกับการปราบปรามโดยเจ้าหน้าที่รัฐ แต่ก็ไม่มีทีท่าว่าพลังของผู้ชุมนุมจะลดลง อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันนี้ ภาพการเคลื่อนไหวเหล่านั้นจางหายไป เกิดอะไรขึ้นกับพลังของคนรุ่นใหม่กันแน่ ?
รศ.กนกรัตน์ เลิศชูสกุล อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้สังเกตการณ์การเคลื่อนไหวทางการเมืองของคนรุ่นใหม่ในช่วงปี 2563 ให้ความเห็นว่า การชุมนุมเมื่อ 5 ปีก่อน ในแง่ข้อเสนอยังไม่มีข้อใดที่ประสบความสำเร็จ หลังจากการชุมนุมทางการเมืองปิดม่านลง ฉากใหม่ที่เกิดขึ้นก็คือ คนรุ่นใหม่ต่างกลับไปทำหน้าที่ที่พวกเขาควรจะทำตั้งแต่แรก นั่นคือ การเรียนหนังสือ และการทำความเข้าใจกลไกที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงสังคมที่แท้จริง หนึ่งในนั้นคือ สถาบันทางการเมือง อย่างพรรคการเมืองที่ทำหน้าที่ ดูดซับ ความตึงเครียดในการชุมนุมบนท้องถนน เข้าไปสู่ระบบรัฐสภา ที่ให้ทางเลือกใหม่แก่ผู้คน
“จากพื้นที่การต่อสู้บนท้องถนน ซึ่งมีต้นทุนสูง อันตราย แล้วก็ไม่เห็นชัยชนะ พรรคการเมืองเหล่านี้ดูดซับความตึงเครียด และทำให้คนมีทางเลือกในการไปต่อสู้ในพื้นที่ที่มีต้นทุนต่ำกว่า คุณไปฟังปราศรัย มู้ดเดียวกับการชุมนุมเลย คุณไปเลือกตั้ง คุณรู้เลยว่าหนึ่งเสียงของคุณมีความหมาย เพราะฉะนั้น คนรุ่นใหม่ก็รู้ว่าไม่ต้องเหนื่อยขนาดนั้นก็ได้ เพราะว่าการชุมนุมมันเต็มไปด้วยความตึงเครียด และไม่มีการชุมนุมที่ไหนในโลกอยู่ได้นาน และการชุมนุมประท้วงอย่างเดียวเป็นแค่พื้นที่แสดงพลัง อัตลักษณ์ แต่ไม่ใช่พื้นที่ในการเปลี่ยนแปลง” กนกรัตน์กล่าว แม้กระแสการชุมนุมจะเงียบเหงา แต่สำหรับกนกรัตน์ นี่คือความเงียบที่จะเปลี่ยนผ่านไปสู่ช่วงเวลาที่ยิ่งใหญ่กว่า “สังคมโลก ต่อให้มันเปลี่ยน มันไม่เคยเปลี่ยนตอนชุมนุมประท้วง มันเปลี่ยนหลังจากชุมนุมประท้วงหลายปี แต่สิ่งที่เราบอกก็คือว่า มันเปลี่ยนจากยุคแห่งความเงียบ (Silenced Period) สู่ยุคทอง (Golden Period) คือเป็นช่วงเวลาที่การเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องการเปลี่ยนแปลงมันเติบโตและเบ่งบานในพื้นที่ที่ไม่อันตรายอีกแล้ว” กนกรัตน์กล่าว

“จากพื้นที่การต่อสู้บนท้องถนน ซึ่งมีต้นทุนสูง อันตราย แล้วก็ไม่เห็นชัยชนะ พรรคการเมืองเหล่านี้ดูดซับความตึงเครียด และทำให้คนมีทางเลือกในการไปต่อสู้ในพื้นที่ที่มีต้นทุนต่ำกว่า คุณไปฟังปราศรัย ให้อารมรณ์เดียวกับการชุมนุมเลย คุณไปเลือกตั้ง คุณรู้เลยว่าหนึ่งเสียงของคุณมีความหมาย เพราะฉะนั้น คนรุ่นใหม่ก็รู้ว่าไม่ต้องเหนื่อยขนาดนั้นก็ได้ เพราะว่าการชุมนุมมันเต็มไปด้วยความตึงเครียด และไม่มีการชุมนุมที่ไหนในโลกอยู่ได้นาน และการชุมนุมประท้วงอย่างเดียวเป็นแค่พื้นที่แสดงพลัง อัตลักษณ์ แต่ไม่ใช่พื้นที่ในการเปลี่ยนแปลง”
รศ.กนกรัตน์ เลิศชูสกุล
ขณะที่ขบวนการคนรุ่นใหม่พัฒนาสู่รูปแบบใหม่ ความท้าทายที่สำคัญคือ ทำอย่างไร ? ให้ทุกคนมีส่วนร่วมในการเคลื่อนไหวในระยะยาว ซึ่ง รศ.กนกรัตน์ มองว่า ขบวนการคนรุ่นใหม่จำเป็นต้อง Organize ได้แก่ การยกระดับความรู้ความเข้าใจโครงสร้างทางการเมือง การนำเสนอบทเรียนจากความสำเร็จในที่อื่น ๆ ทั่วโลก รวมทั้งการสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจ สร้างความเป็นเพื่อน เพื่อการทำงานในระยะยาว ซึ่งทั้งหมดนี้ต้องใช้พลังงานและทรัพยากรมากกว่าการระดมมวลชน เมื่อขบวนการคนรุ่นใหม่ได้แปรสภาพสู่การเป็นกลุ่มองค์กรเพื่อสังคม คำถามจึงมากกว่าการเลือกที่จะเข้าร่วมหรือไม่เข้าร่วม แต่คือการหาตำแหน่งแห่งที่ของแต่ละคนในขบวนการเพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง
แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย จึงเปิดตัว Activerse เว็บไซต์อินเตอร์แอคทีฟ ที่เชิญชวนคนทั่วไปให้เข้ามาทดลองเล่นเกม ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Gamified Activism” เพื่อค้นหาตัวตนและสไตล์ของตัวเองในการเคลื่อนไหวเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลง
จอนปรอท วงษ์เทศ เจ้าหน้าที่สื่อสารดิจิทัลแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย และผู้จัดการโครงการ เล่าถึงที่มาของ Activerse ว่าเห็นคนรุ่นใหม่หลายคนอยากเห็นสังคมเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น แต่พอถามว่าจะทำอะไรได้บ้าง คำตอบที่ได้ยินบ่อย ๆ คือไม่รู้จะเริ่มต้นยังไงหรือคงทำไม่ได้ เพราะเวลาคิดถึงนักกิจกรรม ภาพที่คิดขึ้นมาในหัวมักจะเป็นคนที่ขึ้นเวที ชูป้าย หรือเดินขบวนประท้วง ซึ่งเป็นการกระทำที่ทรงพลังและใช้ความกล้ามาก แต่หลายคนรู้สึกว่าตัวเองยังไม่พร้อม หรืออาจจะไม่ใช่สิ่งที่ถนัด จึงเป็นที่มาของการจัดทำโครงการนี้ขึ้นมา

“เราจึงออกแบบ Activerse ให้เป็นพื้นที่ปลอดภัยสำหรับการทดลองและค้นหาตัวเอง ที่นี่ทุกคนสามารถลองเล่น เลือกทาง และค้นพบว่าตัวเองมีพลังแบบไหน โดยไม่ต้องพิสูจน์อะไรกับใคร เราอยากส่งเสริมให้ทุกคนได้เคลื่อนไหวในแบบที่เหมาะกับตัวเอง ผ่านภาษาที่คนรุ่นใหม่คุ้นเคย เช่น การ์ตูน แบบทดสอบบุคลิกภาพ และการเล่าเรื่องแบบโต้ตอบได้ เพื่อพาพวกเขาเข้าสู่โลกของการมีส่วนร่วมทางสังคม โดยไม่รู้สึกว่ากำลังถูกบรรยายหรือสอน แต่เป็นการให้พวกเขาได้ค้นพบด้วยตัวเอง”
จอนปรอท วงษ์เทศ
ดังนั้นสิ่งที่อยากให้ผู้เล่นได้รับมากที่สุด คือความรู้สึกว่าเราก็มีพลังนี้อยู่แล้ว และมันมีคุณค่า ที่สำคัญคืออยากให้พวกเขารู้ว่าไม่ได้อยู่คนเดียว มีคนอื่น ๆ ที่มีพลังคล้ายกัน มีคนที่มีพลังต่างกันแต่เติมเต็มกันได้ และทุกคนต่างก็ต้องการสร้างการเปลี่ยนแปลง ถ้าพวกเขาออกจากหน้าจอไปแล้วคิดว่าเราทำอะไรได้บ้าง มากกว่าคิดว่าเราทำอะไรไม่ได้ แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว
ปัณณสิษฐ์ จิวะพงศ์ หนึ่งในทีมผู้สร้างสรรค์ Activerse บอกว่า เว็บไซต์นี้ประกอบขึ้นจากความหลงใหลในตัวละครซูเปอร์ฮีโร่จากค่าย Marvel และความชื่นชอบนิทาน ออกมาเป็นสร้างตัวละครต้นแบบ (Archetypes) 6 ตัว ภายใต้เรื่องราวแนวดิสโทเปีย เกี่ยวกับเมืองที่ถูกปกคลุมด้วยเมฆหมอกแห่งความเงียบ พร้อมแบบทดสอบที่ให้ผู้เล่นทดลองเล่น เพื่อหาคำตอบว่าเขาเป็นใครในการเคลื่อนไหวเพื่อเอาชนะอำนาจมืดที่กดทับสังคมอยู่
สำหรับการออกแบบตัวละครต้นแบบ ทีมผู้สร้างอย่าง สะอาด – ธนิสร์ วีระศักดิ์วงษ์ นักวาดการ์ตูนผู้มีชื่อเสียงจากการสร้างสรรค์ผลงานเกี่ยวกับพลังของเด็ก เยาวชน และคนหนุ่มสาว โดยใน Activerse นี้ ได้ทดลองออกแบบซูเปอร์ฮีโร่ให้ดูมีความเป็นเด็กและน่ารัก แต่ว่ายังคงมีกลิ่นอายของการต่อสู้เพื่อประเด็นทางสังคมอยู่

“ถ้าเราอยากจะเล่าเรื่องในเชิงการผลักดันการเปลี่ยนแปลงทางสังคม ตัวละครที่จะเล่ามันก็ไม่พ้นคนรุ่นใหม่หรอก เพราะว่าเซนส์ของตัวละครที่อยู่ในช่วงวัยนั้นมันทำให้คนอ่านเชื่อได้ง่าย ผมแทบไม่ต้องอธิบายอะไรเลย เพราะว่าสปิริตของคนรุ่นใหม่มันชัดอยู่แล้วในมุมมองของคนทั่วไป ว่านี่คือช่วงวัยที่จะผลักดันการเปลี่ยนแปลง”
ธนิสร์ วีระศักดิ์วงษ์
ปัณณสิษฐ์ ยังเล่าด้วยว่า ในการพัฒนาเรื่องราวใน Activerse เขาได้มีโอกาสเรียนรู้เรื่องราวของผู้ที่เคลื่อนไหวเพื่อการเปลี่ยนแปลงสังคม รวมทั้งเหตุการณ์ทางการเมืองต่างๆ และทำให้เขาได้เข้าใจว่า “ฮีโร่ทุกคนคือคนธรรมดา”
“สิ่งที่เป็นพลังพิเศษที่แท้จริงของเขา ในเกมอาจจะเป็นคลื่นพลังต้องมนต์ สำหรับกระจายเสียง อาจจะเป็นสายฟ้าไวรัลเร็วปรู๊ดปร๊าดเพื่อถ่ายทอดเรื่องราวออกไปไม่รู้จบ แต่ความจริงแล้ว พลังพิเศษเหล่านี้ของคนที่เป็นซูเปอร์ฮีโร่จริงๆ มันคือความธรรมดาที่เขารู้ว่าปัญหามันเกิดขึ้นจริง และเขากล้าที่จะเผชิญหน้ากับปัญหา”
ธนิสร์ วีระศักดิ์วงษ์
ธนิสร์ ยังบอกอีกว่า คนตัวเล็ก ๆ มีพลังในแบบของตัวเองที่ค่อนข้างสำคัญ มีอิสระที่จะพูดมากกว่า แล้วรวมตัวกันในกลุ่มคนเล็ก ๆ ด้วยกัน อาจจะเป็นพลังที่ไปได้ไกลกว่า
“ในยุคสมัยใหม่ ความเล็กที่กระจัดกระจายในโลกออนไลน์อาจจะดูเหมือนทำให้การรวมตัวกันทำได้ยากขึ้น ดังนั้น การเรียนรู้ที่จะสร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ความเห็นอกเห็นใจกัน สร้างการขับเคลื่อนบางอย่างร่วมกันจากความเล็ก ผมคิดว่ามันจะมีพลังเสมอ ไม่ว่าทางใดทางหนึ่ง มันอาจจะไม่สำเร็จตอนนี้ก็ได้ อาจจะสำเร็จโดยคนเล็กๆ คนอื่นๆ ที่มาเห็นสิ่งที่เราทำก็ได้”
ธนิสร์ วีระศักดิ์วงษ์
ขณะที่ ปัณณสิษฐ์ เสริมว่า ทุกๆ การเคลื่อนไหว ทุก ๆ การมีส่วนร่วม ทุก ๆ การแก้ปัญหาของแต่ละคนที่เข้ามาเล่น มีส่วนสำคัญมากให้กับขบวนการนี้ในการไปต่อ

“เราอาจจะรู้สึกว่ามันไม่ได้สำคัญ ไม่ได้ร้อนแรงเหมือนไฟ มันอาจจะไม่ได้ฟังแล้วไวรัลเหมือน Spark แต่ในขณะเดียวกัน ในขบวนการของเรา เราต้องการ Guardian เราต้องการคนตัวใหญ่ๆ ที่มาโอบอุ้มทุกคน เราต้อง Architect ดี ๆ สักคนในการวางแผนเพื่อให้แผนการมันรัดกุม หรือว่าต้องการ Leader ที่ทำให้สิ่งที่เราทำวันนี้มันไม่หยุดแค่นี้ แต่ออกผลต่อไป สิ่งที่ผมอยากจะส่งพลังต่อไป คือพลังของทุกคนมันสำคัญ มันเสียงดังพอ และมันมีรูปแบบของตัวเอง ทุกคนคือส่วนร่วมที่สำคัญให้กับขบวนการนี้“
ปัณณสิษฐ์ จิวะพงศ์
สำหรับ Activerse ถือเป็นพื้นที่ทดลองที่ออกแบบมาเพื่อให้ประชาชนได้ทำความรู้จักบทบาทของผู้เปลี่ยนแปลงในแบบที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่ลุกขึ้นจุดประกายการเคลื่อนไหว ผู้สร้างพื้นที่ปลอดภัยให้กับผู้อื่น ผู้เล่าเรื่องที่ทำให้ประเด็นยากเข้าถึงได้ หรือผู้อยู่เบื้องหลังที่วางกลยุทธ์ต่าง ๆ ทุกบทบาทล้วนสำคัญต่อการขับเคลื่อนสังคม
ภายใน Activerse ผู้เล่นจะได้ทำแบบทดสอบสั้น ๆ พร้อมสัมผัสงานภาพจากศิลปิน สะอาด ที่ช่วยสะท้อนพลังภายในของแต่ละคน เพื่อย้ำว่าทุกคนมีพลังในการสร้างความเปลี่ยนแปลงได้ในรูปแบบของตนเอง เมื่อทำแบบทดสอบเสร็จ ผู้เล่นจะได้รับ Archetype Card ประจำตัว เพื่อบ่งบอกพลังการขับเคลื่อนของตนเอง สามารถแชร์บนโซเชียลมีเดีย และเชิญชวนเพื่อนมาร่วมค้นหาศักยภาพไปพร้อมกัน สามารถร่วมเปิดประสบการณ์ Activerse ได้ที่ https://activerse.amnesty.or.th/
