กลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดด่านขุนทด ยืนยัน เดินหน้าตรวจสอบการทำงานของเจ้าหน้าที่รัฐโดยสุจริต ย้ำ คำพิพากษา ยิ่งทำให้เชื่อมั่นการเดินหน้าสู้เพื่อปกป้องทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และชุมชน
เพจ เหมืองแร่โปแตชแอ่งโคราช ระบุว่า เมื่อวันที่ 24 ก.พ.ที่ผ่านมา ศาลจังหวัดสีคิ้ว (ปากช่อง) อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา พิพากษายกฟ้องคดีที่ นิพนธ์ นิลขัน นายกองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) โนนเมืองพัฒนา เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง 6 นักปกป้องสิทธิมนุษยชน กลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดด่านขุนทด ในข้อหาหมิ่นประมาทและดูหมิ่นโดยการโฆษณา พร้อมเรียกค่าเสียหายรายละ 300,000 บาท

ศาลชี้โจทก์ไม่มีหลักฐาน ประวิงคดี จึงพิพากษายกฟ้อง
ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า โจทก์ไม่มีพยานหลักฐานสนับสนุนคำฟ้อง และมีพฤติกรรมประวิงคดี โดยก่อนหน้านี้ ศาลได้นัดไต่สวนมูลฟ้อง เมื่อวันที่ 13 – 14 มกราคม 2568 แต่ทนายโจทก์ขอเลื่อนการไต่สวน อ้างว่าป่วยเป็นโรคโควิด-19 ศาลจึงอนุญาตให้เลื่อนเป็นวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2568 พร้อมกำหนดให้นำใบรับรองแพทย์มายืนยัน อย่างไรก็ตาม ในวันดังกล่าว ทนายโจทก์กลับขอถอนตัวจากทุกสำนวนคดี โดยอ้างว่าเห็นไม่ตรงกับโจทก์ ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า เป็นการประวิงคดี จึงไม่อนุญาตให้เลื่อนและให้ดำเนินการไต่สวนต่อไป
เมื่อถึงการไต่สวน โจทก์ไม่สามารถนำพยานมาเบิกความได้ ศาลจึงพิพากษายกฟ้องจำเลยทั้ง 6 คน และให้คดีแพ่งเป็นอันสิ้นสุดโดยไม่ต้องชดใช้ค่าเสียหายแต่อย่างใด
นักปกป้องสิทธิฯ มั่นใจแนวทางปกป้องบ้านเกิด
ทั้งนี้ภายหลังฟังคำพิพากษาเสร็จในวันนี้ อนุสรา ปราณีตพลกรัง หนึ่งในผู้หญิงนักปกป้องสิทธิฯ กลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดด่านขุนทด ที่ถูกฟ้องร้องดำเนินคดีในครั้งนี้เปิดเผยความรู้สึกว่า ดีใจมากที่ศาลยกฟ้อง เพราะได้ยืนยันหลักการในการตรวจสอบการทำงานของเจ้าหน้าที่รัฐประชาชนทุกคนสามารถดำเนินการตรวจสอบการทำงานของรัฐและวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของเจ้าหน้าที่รัฐโดยสุจริตใจได้ คำพิพากษายิ่งทำให้เชื่อมั่นและทำให้ยืนยันเดินหน้าสู้เพื่อปกป้องทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและชุมชนต่อไป
“อยากฝากถึงประชนทุกคนที่กำลังเรียกร้อง กำลังต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชน หรือต่อสู้เพื่อแผ่นดินบ้านเกิด อยากให้พวกเราสู้ต่อไปเพราะอย่างน้อยกระบวนการยุติธรรมก็สามารถเป็นที่พึ่งให้กับเราได้จริง”
อนุสรา ปราณีตพลกรัง
จงดี มินขุนทด ผู้หญิงนักปกป้องสิทธิฯ กลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดด่านขุนทด ที่ถูกฟ้องดำเนินคดีครั้งนี้ด้วย ก็บอกว่า คำพิพากษาของศาลทำให้มีกำลังใจในการต่อสู้และทำให้มั่นใจในการเคลื่อนไหวต่อต้านเหมืองโปแตชในนามกลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดด่านขุนทดต่อไป เพราะถึงยังไงกระบวนการต่อสู้ก็ได้รับความยุติธรรมจากศาล
“อยากฝากถึงคนที่ใช้การฟ้องคดีเพื่อเป็นเครื่องมือในการปิดปากประชาชนหรือทำอะไรให้พวกเรากลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดด่านขุนทดได้รับความเดือดร้อน เราซึ่งเป็นภาคประชาชนยืนยันว่าจะต่อสู้ตามขั้นตอนที่ถูกต้องต่อไป และขอให้ยุติการฟ้องกลั่นแกล้งกลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดอีก”
จงดี มินขุนทด
เรียกร้องแก้กฎหมายป้องกันฟ้องคดีปิดปาก (SLAPP)
จุฑามาส ศรีหัตถผดุงกิจ ที่ปรึกษากลุ่มนักปกป้องสิทธิฯ บอกว่า แม้ศาลจะยกฟ้อง แต่โจทก์ยังมีสิทธิ์ยื่นอุทธรณ์ จึงต้องจับตาดูต่อไป พร้อมเรียกร้องให้มีการแก้ไขกฎหมายเพื่อป้องกันการใช้กระบวนการยุติธรรมเป็นเครื่องมือปิดปากนักปกป้องสิทธิฯ
สิ่งเหล่านี้ควรมีการพูดคุยกันให้มากขึ้น เรื่องของการใช้กระบวนการยุติธรรมเป็นเครื่องมือในการปิดปากหรือขัดขวางกระบวนการต่อสู้ของประชาชนที่ออกมาเรียกร้องความเป็นธรรมในด้านต่าง ๆ ซึ่งไม่ใช่แค่เรื่องของทรัพยากร แต่เป็นเรื่องสิทธิมนุษยชน ที่คนทุกคนควรมีสิทธิในการใช้สิทธิของตนเองอย่างเต็มที่ในการต่อสู้เรียกร้องความเป็นธรรม
ทั้งนี้ กลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดด่านขุนทด ย้ำว่า การใช้กระบวนการยุติธรรมเพื่อปิดปากประชาชนเป็นปัญหาที่ควรได้รับการแก้ไข และขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีมาตรการคุ้มครองนักปกป้องสิทธิฯ เพื่อให้ประชาชนสามารถใช้สิทธิตามกฎหมายได้โดยไม่ถูกคุกคามจากผู้มีอำนาจและกลุ่มทุนต่อไป
ทนายความชี้ ไม่ควรเป็นคดีตั้งแต่แรก
ขณะที่ ส.รัตนมณี พลกล้า ทนายความจากมูลนิธิศูนย์ข้อมูลชุมชน ระบุว่า คำสั่งศาลสะท้อนว่าคดีนี้ไม่ควรถูกดำเนินคดีตั้งแต่ต้น เนื่องจากเป็นการแสดงออกของประชาชนในการตรวจสอบเจ้าหน้าที่รัฐ โดยนายก อบต. ซึ่งเป็นฝ่ายปกครอง ควรรับฟังเสียงของประชาชนแทนที่จะฟ้องร้องดำเนินคดี
นอกจากนี้ นักปกป้องสิทธิฯกลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดด่านขุนทดเองก็ได้ร้องเรียนไปยังหน่วยงานต่าง ๆ เช่น คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ เพื่อให้หน่วยงานภาครัฐตระหนักถึงปัญหาและพิจารณาแนวทางลดการดำเนินคดีลักษณะนี้ โดยเฉพาะเมื่อผู้ฟ้องคดีเป็นนายก อบต. ซึ่งเป็นฝ่ายปกครอง ก็ควรมีหน่วยงานระดับอำเภอหรือจังหวัดเข้ามาดำเนินการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งนี้ แต่เห็นเพียงคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ส่งเจ้าหน้าที่มาติดตามคดีเท่านั้น ส่วนหน่วยงานระดับอำเภอและจังหวัดกลับไม่มีการดำเนินการแก้ไขความขัดแย้งนี้แต่อย่างใด ซึ่งควรจะมีการดำเนินการเพื่อปกป้องและคุ้มครองประชาชนผู้ได้รับความเดือดร้อนแล้วออกมาเรียกร้องสิทธิแต่กลับถูกดำเนินคดี
“ขอชื่นชมศาลที่สร้างบรรทัดฐานคดีที่ไม่สร้างภาระให้แก่ชาวบ้านต้องมาต่อสู้คดีที่ไม่ควรจะเป็นคดีนี้ และหวังว่าคดีแบบนี้จะไม่ได้ถูกนำสู่ศาลอีก”
ส.รัตนมณี พลกล้า