‘แลนด์บริดจ์’ ความคุ้มค่าที่ยังกังขา ประโยชน์การพัฒนา อยู่ที่ใคร ?

ภาคประชาชน เชื่อ รัฐเอาแน่โครงการแลนด์บริดจ์ เผยยังมีอีกหลายมิติที่รัฐยังไปไม่ถึง ต้นทุนพื้นที่เกษตร ประมง ทรัพยากร สิ่งแวดล้อม วิถีชีวิต อาชีพ อาจไม่หลงเหลือ ปลุกเดินหน้าค้าน พ.ร.บ. SEC ใบเบิกทางการพัฒนา ‘นักวิจัย TDRI’ ย้ำ มองไม่เห็น ใครได้ประโยชน์ ความคุ้มค่ายังเป็นคำถาม ขณะที่ ‘กรีนพีช’ แนะ แนวทางพัฒนาต้องเริ่มต้นจากฐานทรัพยากรในชุมชน

เมื่อเร็ว ๆ นี้ มูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดด้อม (EnLaw) ร่วมกับ Beach for Life, มูลนิธิภาคใต้สีเขียว, เครือข่ายนักกฎหมายสิทธิมนุษยชนภาคใต้ และ ไทยพีบีเอส จัดเวทีนำเสนอผลการวิจัย โครงการแลนด์บริดจ์ พร้อมทิศทางการพัฒนาชุมพร ระนอง ไปทางไหนดี ?

เมื่อรัฐ เอาแน่! ‘แลนด์บริดจ์’

สมบูรณ์ คำแหง ประธานคณะกรรมการประสานองค์กรพัฒนาเอกชน (ประธาน กป.อพช.) บอกว่า ในยุคแรกที่เริ่มขับเคลื่อนต่อต้านโครงการเชื่อมอ่าวไทยและอันดามัน คือ ช่วงแรกเป็นพื้นที่ เส้นทางขนอม จ.สุราษฎร์ ถึง อ่าวลึก จ.กระบี่ ต่อมา ที่ จ.สงขลา และ จ.สตูล เป็นแลนด์บริดจ์ ยุค ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ภาคประชาชนสู้มา 10 ปี แต่เมื่อเปรียบเทียบกับโครงการแลนด์บริจด์ ในรัฐบาลปัจจุบัน มองว่า ใน 2 โครงการแรกยังไม่เอาจริงเอาจัง แต่โครงการแลนด์บริดจ์ที่ จ.ชุมพร – จ.ระนอง มีความเอาจริงเอาจังและมีโอกาสเกิดขึ้นสูงมาก เพราะตั้งแต่ในช่วงเริ่มต้น ปีแรกรัฐบาลอนุมัติงบศึกษาไปแล้วถึง 4 โครงการใหญ่ ทั้ง

  1. ท่าเรือน้ำลึกที่อ่าวอ่าง
  2. ท่าเรือน้ำลึกที่แหลมริ่ว
  3. รถไฟรางคู่เชื่อมท่าเรือสองฝั่งที่จะใช้ลำเลียงตู้คอนเทรนเนอร์ไป-มา
  4. มอเตอร์เวย์ ซึ่งอยู่ระหว่างการศึกษา
สมบูรณ์ คำแหง ประธานคณะกรรมการประสานองค์กรพัฒนาเอกชน (ประธาน กป.อพช.)

และอันที่จริงมี 5 โครงการ คือ เป็นเวทีสำรวจนิคมอุตสาหกรรม ว่าต้องอยู่จุดไหน ทำให้มองเห็นความก้าวหน้าของโครงการแลนด์บริดจ์ระนอง-ชุมพร ชัดเจนมาก

“แต่สิ่งที่เห็นชัดเจนว่ารัฐบาลเอาแน่ ก็คือการมีกฎหมายพิเศษ เพราะฉะนั้นบอกได้อย่างเดียวว่าโครงการเมกะโปรเจกต์นี้ที่จะต้องเอาที่ดินชาวบ้านไปนับแสนไร่ ต้องมีกฎหมายพิเศษเท่านั้นถึงจะทำได้” 

สมบูรณ์ คำแหง

พ.ร.บ.SEC ใบเบิกทาง! ทลายข้อจำกัดพัฒนาภาคใต้

สมบูรณ์ ยังบอกอีกว่า ที่ดินที่ต้องใช้กับโครงการตลอดเส้นทาง อยู่ในป่าชายเลน เขตป่าสงวน ที่ดิน สปก. ที่ดินอุทยานแห่งชาติ เพราะฉะนั้นหากจะนำที่ดินเหล่านี้มาใช้ประโยชน์ภายใต้กฎหมายที่มีอยู่ ย่อมเป็นการยาก วิธีทางเดียว คือ การออกกฎหมายพิเศษ คือ พ.ร.บ. SEC หรือ ร่างกฎหมายระเบียงเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ ซึ่งตอนนี้มีทั้งหมด 3 ร่าง โดยมีของพรรคภูมิใจไทย 2 ฉบับ และของพรรครวมไทยสร้างชาติ 1 ฉบับ และร่างของรัฐบาลที่กำลังให้คณะกรรมาการกฤษฎีกาตรวจสอบอยู่อีก 1 ร่าง ยิ่งเป็นสิ่งที่ยืนยันได้ชัดเจนว่า แลนด์บริดจ์รอบนี้รัฐบาลเอาจริง

“นี่คือโจทย์ของพวกเรา เพราะเอาเข้าจริงเรื่องนี้มีคำถามใหญ่ ๆ ว่าแลนด์บริดจ์ควรจะเกิดขึ้นหรือเปล่า อย่างโครงการที่ จ.สงขลา จ.สตูล ในภาพสาธารณเหมือนว่าเราใช้กำลัง ใช้ม็อบ ใช้ประท้วง แต่ 10 ปีนั้น เราใช้ข้อมูลเยอะมาก แม้กระทั่งการของ EHIA (การประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ) ของเขาให้นักวิชาการอ่าน และแปลความหมายให้ชาวบ้านเข้าใจ ที่เป็นจุดเปลี่ยน เพราะเขาได้อ่านแล้วเห็นผลกระทบจากโครงการ ตั้งแต่ทะเล บนบก”

สมบูรณ์ คำแหง

ความรู้ ความเข้าใจ บทเรียนการต่อสู้ในอดีต

สมบูรณ์ เล่าย้อนถึงการต่อสู่ยุคโครงการสมัยรัฐบาลทักษิณ ด้วยว่า ตอนที่ประกาศโครงการฯ มีการขึ้นป้ายใหญ่ ที่ จ.สตูล ว่าสตูลจะเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น ตอนนั้นคน 80-90% เอาด้วยหมด แต่เมื่อการศึกษาของนักวิชาการเข้าไปพื้นที่ชุมชน ให้กับชาวบ้านได้เข้าใจวงกว้างมากขึ้น พื้นที่ จ.สตูล ใช้เวลา 2 ปี สถานการณ์ก็พลิก คนสตูลเริ่มตั้งคำถามถึงโครงการในขณะนั้น รวมถึงประโยชน์ที่ได้ จะเกิดขึ้นกับใคร ? กลายเป็นว่าคนสตูลต้องเสียสละ ทั้งอุทยานแห่งชาติ หมู่เกาะเพตรา อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะตะรุเตา เสียสละ สวน ไร่ นา ให้กับเส้นทางโครงการ ทำให้คนไม่เอา จนเป็นที่มาเมื่อถึงสมัยรัฐบาล พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ลงไปดูพื้นที่จริง เมื่อปี 2562 ก็ไปพบกับชาวบ้าน พวกเราได้ไปจัดนิทรรศการในพื้นที่แบบมีชีวิตเพื่อให้เขาทราบว่าจังหวัดสตูลมีดีอะไรโดยมีทั้งชาวบ้าน นักธุรกิจ มีไฮไลท์ให้ดูอย่างภาพถ่ายปะการัง 7 สี ที่ทะเลอันดามัน ที่ จ.สตูล  ซึ่งอยู่ใกล้กับจุดที่จะสร้างท่าเรือน้ำลึก เป็นผลให้ พล.อ. ประยุทธ์ สั่งหยุดโครงการ 

“ทั้งหมดนี้ กำลังจะบอกว่า การสู้ด้วยเหตุผลและข้อมูลเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะฉะนั้นการเริ่มต้นสู้ของ ระนอง ชุมพร การเริ่มต้นจากข้อมูลแบบนี้ คือ ทางที่ถูกต้อง แต่ผมคิดว่าข้อดีอย่างหนึ่ง คือมันมีข้อมูลที่นักวิชาการศึกษาภายหลังว่าแลนด์บริดจ์ไม่ได้ตอบโจทย์การลงทุนจริง ๆ ซึ่งมีข้อมูลทางวิชาการจาก จุฬาฯ ที่สำคัญ นายกสมาคมเดินเรือระหว่างประเทศ พูดชัดเจนว่าโครงการนี้สร้างไปมีความเสี่ยงสูงมาก สร้างไปแล้วอาจจะร้างก็ได้ เราจะเอาข้อมูลเหล่านี้สื่อสารกับสังคม และฝ่ายการเมือง เป็นเรื่องที่ท้าทาย”

สมบูรณ์ คำแหง

ชาวบ้านกับความกังวลโครงการพัฒนา ‘แลนด์บริดจ์’

สามารถ นาวาลอย เครือข่ายรักษ์ระนอง บอกว่า ตอนนี้ทำอาชีพประมง ถ้ามีท่าเรือนำลึกเกิดขึ้นในชุมชน ก็คงจะลำบาก เพราะชาวระนองทำมาหากินในทะเลซึ่งเปรียบเป็นขุมทองอันดามัน ซึ่งทำอาชีพประมงกัน 5 อำเภอ ก็จะใช้พื้นที่จับสัตว์น้ำบริเวณ “ดอนตาแพ้ว” ซึ่งมีสัตว์ทะเลอาศัยอยู่อย่างอุดมสมบูรณ์และหลากหลาย มีปะการัง หญ้าทะเล ซึ่งชาวบ้านใช้เป็นพื้นที่หาเลี้ยงปากท้อง และจากที่ผ่านมาคนในพื้นที่ไม่เคยรับทราบเรื่องที่รัฐจะทำโรงงาน ทำท่าเรือมาก่อน จะทำให้พื้นที่ทำกินหมดไปเรื่อย ๆ 

“กุ้ง ปู ปลา ทุกชนิด พวกเราทั้ง 5 อำเภอ แถบนั้น ก็จะไปหากินด้วยกันหมดเลย”

สามารถ นาวาลอย

สอดคล้องกับ ธเนศ ทับทิมทอง เครือข่ายรักษ์พะโต๊ะ จ.ชุมพร มองว่า โครงการแลนด์บริดจ์ กระทบวิถีชีวิตชุมชน เพราะตัวโครงการเป็นเพียงจุดเริ่มต้น ที่จะมารองรับ พ.ร.บ. SEC คือ รองรับกับการเข้ามาของอุตสาหกรรม ซึ่งพบว่ามีการลงพื้นที่ไปศึกษาของการนิคมอุตสาหกรรม ทราบว่ามีการศึกษาออกมาแล้ว เช่น ต.ราชกรูด อ.เมืองระนอง พื้นที่ 820 ไร่ ส่วนพื้นที่ฝั่งชุมพรมี 2 จุด คือ ต.ตากแดด อ.เมือง จ.ชุมพร พื้นที่ 760 ไร่ และ ต.นาขา อ.หลังสวน พื้นที่ประมาณ 900 ไร่ เป็นที่แน่ชัดว่ามีความพยายามทำให้เป็นพื้นที่อุตสาหกรรม และสิ่งที่ตามมาคือการแย่งชิงทรัพยากร และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือพื้นที่ อ.พะโต๊ะ อ.หลังสวน จ.ชุมพร ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ของเกษตรกร อาจทำให้เกิดการแย่งชิงทรัพยากรน้ำกับภาคอุตสาหกรรม ซึ่งที่ผ่านมาในช่วงภัยแล้งเกษตรกรแทบจะมีน้ำไม่พอใช้ อย่างที่ อ.พะโต๊ะ เป็นพื้นที่ต้นน้ำมีป่าไม้ที่อุดมสมบูรณ์ระดับ 1A เป็นต้นน้ำของแม่น้ำหลังสวน ซึ่งเป็นเส้นน้ำสายหลักที่หล่อเลี้ยงอำเภอตอนล่างของชุมพร 

“หากเกิดโครงการนี้ขึ้นก็จะกระทบกับอาชีพของเรา อีกทั้งใน กฎหมาย SEC ที่มีเรื่องของการยกเว้นการนำเข้าแรงงานสามารถให้ผู้ประกอบการนำเข้าแรงงานโดยไม่จำกัดจำนวนและระยะเวลา และโครงการแลนด์บริดจ์ที่บอกว่าจะสร้างงาน 280,000 ตำแหน่ง เป็นของใคร เป็นของคนไทยไหม หรือมาเพื่อรองรับแรงงานข้ามชาติ”

ธเนศ ทับทิมทอง

พื้นที่เกษตรทำเงิน ต้นทุนที่อาจต้องแลกกับ ‘แลนด์บริดจ์’ ?

ธเนศ ยังบอกอีกว่า ในมุมของคนรุ่นใหม่มีความฝันเห็นภาพบ้านของตัวเองในอนาคต คือ อ.พะโต๊ะ เป็นพื้นที่สงบและมีความอุดมสมบูรณ์ เป็นพื้นที่ ดินดี น้ำดี อากาศดี ปลูกอะไรก็ขึ้น ชาวพะโต๊ะจึงทำอาชีพเกษตรกร และพืชเกษตรที่สำคัญในจังหวัด อ.พะโต๊ะ อ.หลังสวน ก็คือ ทุเรียน โดยในปี 2566 ที่เราทำข้อมูลพืชเกษตรของชุมพร ทุเรียนทำรายได้  32,000 ล้านบาท เป็นรายได้ของเฉพาะ อ.พะโต๊ะ 6,000 ล้านบาท และที่ อ.พะโต๊ะ มีรายได้จากการเกษตรจากพืชทุกชนิดรวม 8,600 ล้านบาท แสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจ อ.พะโต๊ะ เป็นการเกษตรที่มีมูลค่าสูง

“เราทำทุเรียนและมังคุดส่งออก เป็นสินค้าเกษตรที่ได้มาตรฐาน มองว่ารัฐควรมาส่งเสริมด้านการเกษตร ควรจะมีศูนย์วิจัยด้านการเกษตรเข้ามาในพื้นที่ เพราะหลายจังหวัดมีศูนย์วิจัยข้าว อยากให้มีศูนย์วิจัยทุเรียนเช่นกัน อีกประเด็นคือการพัฒนาด้านการคมนาคมขนส่ง ที่เอื้อต่อ การขนส่งผลไม้ อย่างการทำถนนที่จะเข้าถึงพื้นที่สวน เพื่อสามารถนำผลผลิตทางการเกษตร ออกไปขายได้สะดวกมากยิ่งขึ้น”

ธเนศ ทับทิมทอง

พื้นที่ทำกินชาติพันธุ์ชาวเล-ไทยพลัดถิ่น ที่ถูกลืม ?

เช่นกันกับ รสิตา ซุ่ยยัง เครือข่ายรักษ์ระนอง บอกว่า พื้นที่โครงการแลนด์บริดจ์ ในพื้นที่ จ.ระนอง ที่กระทบต่อ ชาวมอแกน ที่อาศัยอยู่ เกาะพยาม เกาะช้าง เกาะเหลา ที่ล้อมรอบดอนตาแพ้ว ปัจจุบันชาวมอแกนมีปัญหาการไม่มีบัตรประจำตัวประชาชน และไม่ถนัดที่จะขึ้นมาทำงานบนฝั่ง ด้วยกำแพงของภาษาที่มีภาษาเฉพาะ สิ่งที่ถนัดที่สุดคือ การทำประมง วิถีชีวิตของเขาคือไม่ได้คิดเรื่องว่าจะทำอย่างไรให้รวยแต่ใช้ชีวิตแบบวันต่อวันลูกหลานได้เรียนหนังสือบ้างหรือยังมีเรื่องสาธารณูปโภคก็เข้าไปไม่ถึง ไม่มีห้องน้ำไม่มีถนนที่เข้าไปถึงไม่มีไฟฟ้าไม่มีน้ำประปาไม่มีบ้านเลขที่เป็นแบบนี้เหมือนกันทั้ง 3 เกาะ 

และอีกส่วนก็จะเป็นของพี่น้องชาวไทยพลัดถิ่น ที่ ต.ราชกรูด บริเวณอ่าวอ่าง ที่ทำมาหากินอยู่ด้วยเช่นกัน และพื้นที่ส่วนใหญ่จะเป็นป่าชายเลน ออกหาปลาบริเวณชายฝั่ง เพื่อนำมาขายและไว้กินในครอบครัว ซึ่งนอกจากปัญหาเรื่องการเข้าไม่ถึงสวัสดิการ ก็มาเจอเรื่องโครงการแลนด์บริดจ์ ที่จะส่งผลกระทบต่อการทำมาหากินและที่อยู่อาศัย

สุภาภรณ์ มาลัยลอย ผู้อำนวยการมูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดด้อม (EnLAW) บอกว่า พื้นที่จะสร้างท่าเรือบริเวณอ่าวอ่าง อยู่ใกล้กับแหล่งทำมาหากินของชาวประมง และไม่ใช่แค่ 5 อำเภอ และแรงงานทางทะเลเมื่อสูญเสียไปแล้ว ก็จะทำให้เกิดความสูญเสียอาชีพของชาวบ้าน ซึ่งเป็นความสูญเสียที่ประเมินค่าไม่ได้ 

‘แลนด์บริดจ์’ ที่ยังตอบโจทย์ทางเศรษฐกิจไม่ได้ ?

ขณะที่ เสาวรัจ รัตนคำฟู ผู้อำนวยการวิจัยด้านนโยบายนวัตกรรมเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ย้ำว่า โครงการแลนด์บริดจ์ ยังตอบคำถามทางเศรษฐกิจไม่ได้ ที่และจะใช้งบประมาณลงทุน 1 ล้านล้านบาท เมื่อถามว่าเยอะขนาดไหน คิดตาม GDP ไทย 18 ล้านล้านบาท และเมื่อถามถึงประโยชน์ที่ได้คืออะไร ก็ยังไม่สามารถหาคำตอบที่ชัดเจนได้ เพราะจากงานศึกษาของจุฬาฯ รายงานว่า “ไม่คุ้ม” ขณะที่การศึกษาของ สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) บอกว่า “คุ้มค่า” และจากการหารือกับนักลงทุนในญี่ปุ่น นักวิชาการในแวดวงนักลงทุนประเทศต่าง ๆ ว่าเห็นอะไรที่เป็นประโยชน์หรือไม่ ซึ่งพบว่า ทุกคนบอกตรงกันหมดว่า “ไม่เห็น” เนื่องจากธุรกิจที่จะทำท่าเรือน้ำลึก ให้มีการขนถ่ายสินค้า แต่ไม่ได้สอบถามผู้ใช้บริการว่าต้องการหรือไม่

เสาวรัจ รัตนคำฟู ผู้อำนวยการวิจัยด้านนโยบายนวัตกรรมเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI)

“คนทำธุรกิจควรรู้ต้นทุน รู้ผลตอบแทนว่าจะได้เท่าไร ถามบริษัทพวกนั้นแล้วหรือยัง เอาที่ถามมาคร่าว ๆ ยังไม่ได้ทำวิจัยอย่างเป็นทางการ แต่พอฟังวันนี้แล้วรู้สึกเซ็ง พูดตรง ๆ ว่าเห็นหัวใจเขาบ้างไหม คือ ถ้าดูจากตัวเลขเท่าที่ถามจากบริษัทใหญ่ ๆ เขาใช้บริการของสิงคโปร์ เพราะ เร็วกว่า ถูกกว่า เชื่อมั่นมากกว่า ส่วนในไทย ไม่มีความมั่นใจ เพราะมีทั้งคดีจีนเทา คดี อ.พิรงรอง สะท้อนอะไร ใครจะอยากมาลงทุนถามก่อน ฟังแล้วดูแรง แต่ขอพูดตรง ๆ เพราะฟังแล้วเราคุยด้วยเหตุผล คุณควรจะเข้าใจ ที่สำคัญที่สิงคโปร์ มีความพยายามทำให้ทุกอย่างเป็นอัตโนมัติทั้งหมด หมายความว่าประสิทธิภาพเขาจะยิ่งดีกว่า แล้วไทยสู้ได้ไหม และการที่ สนข. เคลมว่าใช้เวลาน้อยกว่าไปเส้นทางช่องแคบมะละกา 2 วัน แต่การศึกษาของ จุฬาฯ ก็พบว่าใช้เวลาขนย้ายชุมพร ระนอง ใช้เวลาถึง 7 วัน สรุปแล้วใช้เวลายาวกว่าเขาอีก”

เสาวรัจ รัตนคำฟู

เสาวรัจ ยังกล่าวถึง การศึกษาของ สนข. อีกว่า เรื่องราคาที่จะถูกกว่า 5,000 ล้านบาท แต่อาจจะลืมคิดเรื่อง ต้นทุนระยะเวลาที่จะต้องจ่ายเพิ่มขึ้น หรือ ค่าประกันที่เพิ่มขึ้นอีกด้วย ดังนั้น มองว่าการลุงทุนนี้ทำไปเพื่ออะไร มีใครตอบได้หรือไม่ และมีใครได้ประโยชน์บ้าง นักลงทุน ? ที่ไม่รู้ว่าจะได้กำไรคืนเมื่อไร ขณะที่การเสียประโยชน์ ชัดเจนอย่างมาก ทั้งค่าเสียประโยชน์จากเงิน 1 ล้านล้านบาท ที่สามารถนำไปพัฒนาด้านอื่นให้มีศักยภาพยิ่งขึ้น ขณะที่คนไทยที่เสียภาษีก็ไม่ได้ประโยชน์จากโครงการนี้ และชาวประมงที่ต้องเสียพื้นที่แหล่งทำมาหากิน รวมทั้งสิ่งแวดล้อมที่จะได้ระบผลกระทบ

เช่นกันกับ ผู้อำนวยการ EnLAW ที่ให้คำตอบว่า คนได้ประโยชน์ที่ชัดเจนคือ 1. บริษัทที่ปรึกษาได้ค่าจ้าง 2. ถ้าโครงการนี้สำเร็จบริษัทที่สร้างถนนจะได้สร้าง และตอนนี้มีคณะกรรมาธิการที่กำลังตรวจสอบการใช้งบประมาณของโครงการแลนด์บริดจ์ ซึ่งต้องติดตามผลกันภายหลังจากนี้ “งบประมาณที่ใช้ไป มีคนได้แล้วแน่ ๆ และควรต้องถูกตรวจสอบ”

เอาแต่โครงการพัฒนา จนลืมนึกว่ามีข้อตกลงอะไรกับนานาชาติไว้บ้าง

ขณะที่ วิภาวดี แอมสูงเนิน จากกรีนพีช ประเทศไทย บอกว่า ประเทศไทยมีการไปลงชื่อในอะไรหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นสนธิสัญญาระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นอนุสัญญาที่ว่าด้วยสิทธิมนุษยชน หรือสิ่งแวดล้อม ประเทศไทยมีส่วนร่วมแทบจะทุกฉบับ แต่มักจะไม่ได้ได้ถูกนำมาปรับใช้ อาจจะมีบ้างบางส่วนแต่เมื่อเป็นโครงการพัฒนาที่เป็นโครงการขนาดใหญ่ อนุสัญญาเหล่านั้นไม่ได้ถูกนำมาบูรณาการใช้จริง เช่น อนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ NBSAP ที่ต้องรักษาความหลากหลายทางชีวภาพอย่างไร ต้องมีพื้นที่คุ้มครอง แต่พอมีโคงการแลนด์บริดจ์ ไม่ได้เอาความหลากหลายทางชีวภาพเป็นศูนย์กลางในการออกแบบเหล่านั้นเลย 

“คือต่างจากวิธีคิดของชาวบ้าน วิธีคิดชาวบ้านกับรัฐ ต่างกันมาก เพราะชาวบ้านเข้าใจความหลากหลายทางชีวภาพของพื้นที่ ถ้าไปถามชาวบ้านว่าการพัฒนาคืออะไร เขาก็จะบอกว่า รวยไปด้วยและรักษาความหลากหลายทางชีวภาพไปด้วย แต่พอเป็นมุมรัฐบบาลกลับไม่มีมุมเหล่านี้เข้าไปด้วย”

วิภาวดี แอมสูงเนิน

วิภาวดี ทิ้งท้ายว่า กระบวนการมีส่วนร่วม เมื่อไปดูในแบบสอบถามจะมีแต่ เห็นด้วย กับ ไม่เห็นด้วย แต่ไม่มีการเก็บข้อมูลฐานทรัพยากร ที่ควรเกิดขึ้นก่อน แล้วต่อยอดจากสิ่งนั้น และย้ำว่า ประเทศไทยไม่ได้มีแค่อุตสาหกรรมยานยนต์ แต่มีอุตสาหกรรมท่องเที่ยว หรือมีอีกมากมายที่ต่อยอดได้จากฐานทรัพยากรในพื้นที่ สิ่งนั้นไม่เคยถูกคิดมากจากชาวบ้านเลย

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active