‘กลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดด่านขุนทด’ รวมตัวต้านเหมืองโปแตชรอบใหม่ แฉข้อมูล เอกชนไทย จับมือทุนจีน ใช้บริษัทลูก-ซับคอนแทรกต์เลี่ยงกฎหมาย ชาวบ้าน กังวล เกิดเหตุอันตราย ไม่มีใครรับผิดชอบ ยันค้านระเบิดขุดอุโมงค์เหมืองถึงที่สุด
เมื่อวันที่ 6 พ.ค. 68 ที่วัดสระขี้ตุ่น ต.หนองบัวตะเกียด อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา กลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดด่านขุนทด นัดรวมตัวกันเพื่อเคลื่อนไหวต่อต้าน เหมืองโปแตชไทยคาลิ หลังทราบแผนระเบิดอุโมงค์เหมืองรอบใหม่บริเวณดอนหนองโพธิ์ โดยชาวบ้านชูธงแสดงจุดยืนว่าเราจะ “บล็อค” ก่อนที่ “บ้านของเราจะบึ้ม”
ชาวบ้านหนองไทรและหนองบัวตะเกียดรวมตัวเรียกร้องมาเป็นเวลากว่า 10 ปี ต่อผลกระทบที่เกิดจาก “โครงการเหมืองแร่โปแตช” ของบริษัทเอกชนรายใหญ่ ที่ทำให้บ้านเรือนผุพังจากการกัดกร่อนของเกลือที่ดินทำกินเสียหาย น้ำใต้ดินเค็มเกินมาตรฐาน และเกิดน้ำผุดผิดธรรมชาติในบ้านเรือนประชาชน
เมื่อกลุ่มเดินทางถึงวัดหนองไทร กลับพบอุปสรรคจากกองดินปริศนาที่ถูกนำมาปิดถนนสาธารณะ ทำให้ต้องช่วยกันขนย้ายกองดินนานกว่า 1 ชั่วโมง ขณะเดียวกันยังถูกเจ้าหน้าที่ของเหมืองถ่ายภาพตลอดเส้นทาง โดยมีตำรวจจาก สภ.ด่านขุนทด เฝ้าสังเกตการณ์อย่างใกล้ชิด


เมื่อผู้ชุมนุมเดินทางถึงบริเวณดอนหนองโพธิ์ ปากทางเข้า เหมืองโปแตชไทยคาลิ จึงได้ตั้งเต็นท์ชุมนุม และเริ่มการปราศรัย ท่ามกลางเจ้าหน้าที่เหมือง ที่ติดตามความเคลื่อนไหวอย่างใกล้ชิดเช่นกัน
ย้ำชาวบ้านมาก่อนเหมือง
อ้างเพิ่มจ้างงานแต่เป็นการมัดมือชก
จงดี มินขุนทด ผู้หญิงนักปกป้องสิทธิมนุษชนกลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดด่านขุนทด ระบุว่า แม้ชาวบ้านถูกกล่าวหาว่าเป็นคนนอกพื้นที่ แต่แท้จริงแล้วพื้นที่นี้คือถิ่นฐานของบรรพบุรุษ และเคยเป็นแหล่งทำกินของคนในชุมชนมาก่อน ก่อนจะถูกบีบให้ขายที่ทำกินเนื่องจากผลกระทบจากความเค็มของดินและน้ำ
สำราญ ตุ๋นเจริญ เล่าถึงผลกระทบจากเหมืองโปแตชที่เปลี่ยนพื้นที่บ้านหนองไทรจากแหล่งอุดมสมบูรณ์ให้กลายเป็นดินเค็ม ปลูกพืชไม่ได้ ทำลายวิถีชีวิตดั้งเดิมของชาวบ้าน โดย บริษัทไทยคาลิ ที่ทำเหมืองเคยจ่ายเงินเยียวยาเพียงช่วงปี 2560–2562 แล้วหยุดติดต่อไปโดยอ้างเพียงว่าจะมากราบขอโทษ

ส่วนการที่ชาวบ้านขายที่ดินให้บริษัทนั้นเป็นไปด้วยความจำใจ เพราะที่ดินเสื่อมสภาพจนทำกินไม่ได้ นอกจากผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมแล้ว เหมืองยังสร้างความแตกแยกในชุมชนโดยใช้วิธีหาพวกและดึงคนไปทำงานกับเหมือง ล่าสุดบริษัทเตรียมขุดอุโมงค์ระลอกใหม่ที่ดอนหนองโพธิ์โดยใช้ระเบิด ซึ่งเธอเตือนว่า จะซ้ำเติมชาวบ้านอีกครั้ง เพราะหากตาน้ำใต้ดินแตก น้ำเค็มจะไหลเข้าท่วมพื้นที่เกษตรกรรม และสร้างผลกระทบอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
“เอาชาวบ้านไปทำงานที่เหมือง อ้างสร้างงานให้ชาวบ้าน ที่เขาทำก็เพราะไม่มีทางเลือก และล่าสุดจะมีการขุดเหมืองรอบใหม่โดยใช้ระเบิดที่ดอนหนองโพธิ์ ตรงนี้ ก็จะเป็นการสร้างผลกระทบซ้ำซาก เมื่อมีการใช้ระเบิดตาน้ำก็จะแตกไหลเข้าทะลักท่วมไร่นาชาวบ้านต่อ และน้ำนี้ก็เป็นน้ำเค็ม สร้างผลกระทบซ้ำซากต่อชาวบ้านไม่มีที่สิ้นสุด”
สำราญ ตุ๋นเจริญ
พิรุธ บ.ไทยคาลิ จับมือทุนจีน ฮั้วนอมินี
หวั่นความปลอดภัยอาจซ้ำรอยตึก สตง. ถล่ม
ขณะที่ เลิศศักดิ์ คำคงศักดิ์ ที่ปรึกษากลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดด่านขุนทด ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันบริษัทไทยคาลิ ขายหุ้น 65% ให้กับบริษัทบางจาก ซึ่งภายหลังได้จับมือกับรัฐวิสาหกิจจีน CCMC เพื่อระดมทุนกว่า 5,800 ล้านบาท แม้กฎหมายไทยจำกัดสัดส่วนการถือหุ้นของต่างชาติ แต่มีการตั้งบริษัทลูกของจีนเพื่อถือหุ้นผ่านตัวแทนคนไทย ซึ่ง เลิศศักดิ์ ชี้ว่า อาจเข้าข่ายการเลี่ยงกฎหมาย และอาจนำไปสู่ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยคล้ายกรณีตึก สตง. ถล่ม
“ความพิรุธอยู่ที่ บริษัท ไชนาโค คอนสตรัคชั่น มีทุนจดทะเบียนเพียงแค่ 5 แสนบาท ไปซื้อหุ้นจำนวนเงินกว่า 100 ล้านบาทในการเป็นบริษัทไทย ที่สามารถถือหุ้นได้ 51% แล้วผู้บริหารที่มีอำนาจการตัดสินใจก็ล้วนเป็นคนจีน ส่วนคนไทยเป็นเพียงนอมินีเท่านั้น ซึ่งการซิกแซกที่ว่านี้ มั่นใจว่า ซ้ำรอยเช่นเดียวกับตึก สตง.ที่ถล่มแน่นอน”
เลิศศักดิ์ คำคงศักดิ์

เลิศศักดิ์ ยังระบุต่อไปว่า ด้วยกฎหมายไทยไม่อนุญาตให้ต่างชาติผูกขาด บริษัทรัฐวิสาหกิจจีนจึงตั้งบริษัทลูก 2 แห่ง ได้แก่ ไชนาโค คอนสตรัคชั่น และ ไชนาโคไมน์นิ่ง เพื่อเลี่ยงข้อจำกัด โดยเฉพาะ ไชนาโค คอนสตรัคชั่น ที่มีทุนจดทะเบียนเพียง 5 แสนบาท แต่กลับถือหุ้นกว่า 100 ล้านบาทในนามบริษัทไทยที่มีสิทธิถือหุ้น 51% ขณะผู้บริหารตัวจริงเป็นชาวจีน คนไทยเป็นเพียงนอมินี จึงเสี่ยงซ้ำรอยตึก สตง. ถล่ม เพราะเมื่อเกิดเหตุร้าย เช่น อุโมงค์ถล่ม ก็หาตัวการไม่เจอ บริษัทแม่ไม่รับผิด แต่โยนให้ซับคอนแทรกต์แทน จึงน่าตั้งข้อสังเกตว่า บางจากกำลังถอยจากธุรกิจสีเขียว ไปสู่ธุรกิจจีนเทาหรือไม่ ?
การชุมนุมยังได้รับการสนับสนุนจากชาวบ้านโนนไทย และเครือข่ายอื่น ๆ เช่น กลุ่มรักษ์ลำคอหงส์ สมาคมคนรุ่นใหม่กับนวัตกรรมทางสังคม มูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม รวมถึงนักวิชาการจากมหาวิทยาลัยมหาสารคาม ซึ่งร่วมสังเกตการณ์และให้กำลังใจผู้ชุมนุม
คำ ฝอดสูงเนิน ชาวบ้านหนองไทร อายุ 78 ปี เล่าถึงความเปลี่ยนแปลงหลังมีเหมืองว่า บ้านหนองไทรเคยอุดมสมบูรณ์มาก่อน แต่หลังจากมีเหมือง น้ำและดินเค็มจนไม่สามารถเพาะปลูกได้ และเคยถูกหลอกให้เซ็นเอกสารโดยไม่ได้รับการเยียวยาอย่างแท้จริง แต่เดิมคลองน้ำสาธารณะที่เคยใช้งานได้ กลับเสื่อมโทรมจนไม่สามารถใช้น้ำหรือทำการเกษตรได้อีกต่อไป พร้อมเชิญชวนชาวบ้านลุกขึ้นมาปกป้องบ้านเกิด แทนที่จะยอมเป็นแรงงานในโครงการที่อาจตกเป็นของจีนในอนาคต

การรวมตัวกันของชาวบ้านครั้งนี้ ยังมีกิจกรรมที่เน้นย้ำความสำคัญของการปกป้องทรัพยากรท้องถิ่น และวิพากษ์วิจารณ์การดำเนินการของรัฐที่เอื้อประโยชน์ต่อทุนข้ามชาติ โดยเฉพาะกิจกรรมสำรวจความพึงพอใจต่อหน่วยงานรัฐ 8 แห่ง ซึ่งชาวบ้านที่มาร่วมชุมนุม ลงคะแนน ไม่พอใจ หน่วยงานท้องถิ่น เช่น กำนัน, ผู้ใหญ่บ้าน มากที่สุด รองลงมาคือ กระทรวงอุตสาหกรรม
กลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดด่านขุนทดยืนยันว่า จะปักหลักชุมนุมต่อไปจนกว่าเหมืองจะเยียวยาผลกระทบจากรอบแรก และยุติการนำระเบิดมาขุดอุโมงค์รอบใหม่ ซึ่งสร้างความกังวลถึงผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชนอย่างต่อเนื่อง
