เวทีเสวนาเห็นพ้องความ “เกลียดชัง” เกิดจากความกลัว ฟื้นฟูได้ด้วยความเมตตาและความเข้าใจ หนุนใช้ความรักเป็นพื้นฐานในการสร้างสันติภาพที่ยั่งยืนระหว่างประชาชนในภูมิภาค
เมื่อวันที่ 11 ส.ค. 68 ท่ามกลางความตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาที่ยังคงไม่หายไป มูลนิธิเครือข่ายส่งเสริมคุณภาพชีวิตแรงงาน (LPN) พร้อมภาคีเครือข่ายภาคประชาสังคมและธุรกิจ จัดงานเสวนาสร้างความเข้าใจและสานสันติภาพ ภายใต้หัวข้อ “เราจะอยู่ร่วมกันด้วยความรัก ความสุข สงบและสันติได้อย่างไรในสถานการณ์ระหว่างพรมแดนนี้” ที่สวนป่าบ้าน LPN อำเภอลาดหลุมแก้ว จ.ปทุมธานี

สมพงศ์ สระแก้ว ผู้อำนวยการมูลนิธิ LPN ระบุว่า งานนี้เกิดขึ้นเพราะสถานการณ์ที่ชายแดน จึงรีบเตรียมเสวนาโดยใช้เวลาไม่ถึงสัปดาห์หลังจากเขาสังเกตเห็นข่าวจริงเท็จปะปนกันไปหมด
สมพงศ์ เน้นย้ำว่า ความรักเป็นรากฐานของสันติภาพ ซึ่งจะนำไปสู่การอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างสันติสุข แม้เมียนมาจะประสบปัญหารัฐประหารและการสู้รบ
“ทำอย่างไรให้เมียนมาสงบ แล้วก็ทำยังไงให้ระหว่างไทยกับกัมพูชารักกัน” สมพงศ์ ตั้งคำถาม
ความหวาดกลัว นำไปสู่ความเกลียดชัง
ทิรัตน์ ผลินกูล หัวหน้าโครงการศูนย์แบ่งต่อ มูลนิธิกระจกเงา ซึ่งทำงานช่วยเหลือในพื้นที่ศูนย์อพยพชายแดนไทย-กัมพูชา ชี้ให้เห็นว่าในสถานการณ์ปกติ ประชาชนบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาอยู่กันอย่างมีความรัก เมตตา และช่วยเหลือกันมาตลอด แต่ปัจจุบันกลับเกิดความหวาดกลัว โดยยกกรณีการปฏิเสธการรักษาในโรงพยาบาลขึ้น
“ความประสาทมาจากคน เราต้องเรียกความเมตตากลับมา”
ทิรัตน์ กล่าวว่า หลายหน่วยงานไม่กล้าออกหน้าให้ความช่วยเหลือ หรือป่าวประกาศว่าให้ความช่วยเหลือผู้คนที่ได้รับผลกระทบทั้งสองฝ่าย เนื่องจากกลัวถูกมองว่าเป็นอีกฝ่ายหนึ่ง หรือถูกสงสัยว่าเป็นสายลับ
“พอมันมีความไม่สงบ มันมีความหวาดกลัวในพื้นที่ มันค่อย ๆ สร้างความเกลียดชังซึ่งกันและกัน จนความเกลียดชังนั้นบดบังความเมตตาและความรัก สำหรับผมมันคือเรื่องนี้” ทิรัตน์ อธิบาย

ใครได้ผลประโยชน์จากความเกลียดชัง?
ขณะที่ เดโช ปลื้มใจ ผู้จัดการทั่วไปอาวุโส บริษัท ซีพีแรม จำกัด ผู้มาร่วมเสวนาในฐานะผู้แทนภาคธุรกิจ มองว่าปัจจุบัน ทุกอย่างเป็น “เกม” ที่มีผู้กำหนดกติกาและผู้ได้รับผลประโยชน์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องพาสปอร์ต วีซา หรือนายหน้า-เอเจนซี่ที่ได้ผลประโยชน์ อย่างไรก็ตาม เขายืนยันว่าบริษัทซีพีแรมยังคงดูแลแรงงานอย่างครบถ้วน ตั้งแต่ที่พัก อาหาร จนถึงสวัสดิการต่าง ๆ หรือตอบคำถามและข้อกังวลได้เท่าที่สามารถตอบได้
ด้าน เมธา มาสขาว ผู้ประสานงานคณะทำงานสันติภาพโลก มองเห็นเช่นเดียวกับเดโช โดยมองว่ามีผู้ได้รับผลประโยชน์จากความขัดแย้ง ประชาชนจึงควรรู้เท่าทันข้อมูลข่าวสารรอบตัว
“สงครามและความขัดแย้งรอบโลกมันถูกสร้างขึ้น แม้กระทั่งความกลัวและความเกลียดชังก็ถูกสร้างขึ้นโดยที่เราไม่รู้ตัว” เมธา อธิบาย “เราล้วนเป็นเหยื่อของความรุนแรง หรือเป็นเหยื่อของความคิดความเชื่อที่มาครอบงำเรา”
เมธา วิเคราะห์ว่า ชาตินิยมที่เกิดขึ้นมาจากผลประโยชน์และอำนาจของผู้นำ โดยเสนอให้ใช้ศิลปะเป็นเครื่องมือเชื่อมโยงเยาวชน และสร้างกลไกการทำงานตั้งแต่ระดับรากหญ้าจนถึงระดับการทูตระหว่างประเทศ
เมธา เล่าเพิ่มเติมถึงกรณีสงครามโลกครั้งที่สอง ที่ประชาชนก็สามารถร่วมกันส่งเสียงและแสดงความคิดเห็นได้ผ่านบทความ อย่างเพลง Imagine ของ John Lennon หรือการรวมตัวกันของกลุ่มคนหนุ่มสาวชาวบุปผาชน ที่ส่งผลทางการเมืองต่อมา
“ความรุนแรงเป็นแค่เรื่องชั่วคราว”
สุรพงษ์ กองจันทึก รองประธานกรรมการมูลนิธิ LPN กล่าวในวงเสวนา โดยย้อนไปถึงที่มาของความคิดเรื่องความเกลียดชัง รากเหง้าของคำว่า “ไท” ที่แปลว่า “คน” ไม่ใช่แปลว่า “อิสระ” โดยเน้นว่าทุกคนต้องการความสงบสุขภายใน และชี้ให้เห็นว่าเมียนมา ไทย กัมพูชา เป็นชาวพุทธเหมือนกัน การทำร้ายหรือรบกันนั้นผิดศีลข้อแรก ซึ่งถือเป็นบาปที่ร้ายแรงที่สุด โดยชวนนำศาสนามาเป็นหนึ่งในเครื่องมือให้เข้าใจความรักและความสงบได้
สุรพงษ์ ยังอ้างถึงการผ่าน พ.ร.บ.ชาติพันธุ์ เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม ที่ผ่านมา ที่ระบุว่าความเกลียดชังระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ต้องไม่มี โดยในปัจจุบันมีเพียงคนไม่กี่คนที่พยายามสร้างกระแสและปลุกปั่นความขัดแย้ง
เช่นเดียวกับทิรัตน์จากมูลนิธิกระจกเงา ที่มองว่าสถานการณ์ความเกลียดชังในปัจจุบันมาจากคนในห้องแอร์เป็นส่วนใหญ่ หรือกลุ่มผู้ที่ไม่ได้อยู่ที่ชายแดน และไม่ได้เข้าใจความหวาดกลัว เพราะตอนเขาลงพื้นที่ชายแดนนั้น เด็ก ๆ ก็ยังเล่นด้วยกันแบบไม่มีการถามว่าใครเป็นคนไทย หรือใครเป็นคนกัมพูชา
“คนที่ปั่นหรือคนที่คอมเมนต์ปั่นนอนห้องแอร์อยู่บ้าน แต่คนที่เดือดร้อนหรือสูญเสีย คือชาวบ้านในพื้นที่เสมอ” ทิรัตน์ กล่าว
ผู้เข้าร่วมเสวนาต่างมีความเห็นร่วมกันว่า ความเกลียดชังที่เกิดขึ้นมาจากความกลัว สามารถฟื้นฟูได้ด้วยความเมตตาและความเข้าใจ โดยเฉพาะการใช้ความรักเป็นพื้นฐานในการสร้างสันติภาพที่ยั่งยืนระหว่างประชาชนในภูมิภาค
งานเสวนาครั้งนี้เริ่มต้นด้วยพิธีเปิดที่มีการแสดงเพลงของกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงที่เล่าถึงความรักและความสามัคคี และจบลงด้วยบทเพลงจาก เอ้ นิติกุล และ พจน์ สุวรรณพันธ์ ศิลปะและรอยยิ้มนี้สะท้อนถึงจิตวิญญาณของความรักและสันติภาพ ท่ามกลางความท้าทายที่ภูมิภาคกำลังเผชิญ
