เปิดพื้นที่สนทนาสาธารณะ ค้นหาสาเหตุความจนเรื้อรัง พบปัญหา “นิยาม” และ “ข้อมูลไม่ตรงกัน” คืออุปสรรคใหญ่ เสนอชูบทบาท “ท้องถิ่น” ร่วมแก้ความจนที่ซับซ้อน สังคมต้องเปลี่ยนมุมมองจากแค่ให้ความช่วยเหลือ ไปสู่การสร้างความเป็นธรรม
ทำไมปัญหาความยากจนยังคงเรื้อรัง และยังเสี่ยงส่งต่อข้ามรุ่น ? หรือแม้จะดีขึ้นแล้ว ก็ยังสามารถถอยกลับไปได้ ? นี่คือคำถามสำคัญที่เป็นจุดเริ่มต้นให้เกิด “โครงการวิจัยความจนข้ามรุ่นภายใต้ความท้าทายเชิงโครงสร้าง” ที่ใช้ระยะเวลา 2 ปี ในการศึกษาเชิงลึก 5 กรณี ในมิติการศึกษา เกษตรกรรม ที่ดิน ความเปราะบางจากภัยพิบัติ และอุตสาหกรรมเหมืองแร่ จนรวบรวมข้อค้นพบออกมาเป็น “สมุดปกขาว”
The Active – Policy Watch ไทยพีบีเอส จึงร่วมกับภาคีเครือข่าย เปิดพื้นที่สนทนาสาธารณะ ชวนภาควิชาการและหน่วยงานภาครัฐ มารับฟังข้อค้นพบ แลกเปลี่ยนความเห็น และหาทางออกเชิงนโยบาย ใน “Policy Forum : ฉีกพินัยกรรมความจน หยุดส่งต่อความจนข้ามรุ่น” เพื่อให้ทุกคนมีโอกาสและมีคุณภาพชีวิตที่ดีได้อย่างเท่าเทียม

ความจนมักถูกจำกัดด้วยมุมมองทางเศรษฐศาสตร์
ทีมนักวิจัยโครงการวิจัยความจนข้ามรุ่นภายใต้ความท้าทายเชิงโครงสร้าง พบปัญหาความยากจนข้ามรุ่นในสังคมไทยมักถูกจำกัดอยู่ในมุมมองเศรษฐศาสตร์ เช่น การวัดความจนด้วยความจนสัมบูรณ์ ความจนสัมพัทธ์ หรือมองเรื่องรายได้เป็นหลัก มุมมองเหล่านี้แม้จะช่วยให้เห็นภาพกว้าง แต่ก็ไม่เพียงพอที่จะทำให้เห็นขนาด ความลึกของปัญหา และความเหลื่อมล้ำหลายมิติที่ซับซ้อน
โดย ศ.กนกวรรณ มะโนรมย์ หัวหน้าทีมนักวิจัยฯ เปิดเผยว่า ความยากจนมีหลายมิติ กลุ่มคนเปราะบาง ไม่ว่าจะในมิติการศึกษา เกษตรกรรม ที่ดิน ความเปราะบางจากภัยพิบัติ และอุตสาหกรรมเหมืองแร่ ต่างก็เผชิญปัญหาเฉพาะตัวที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ใน “มิติการศึกษา” ผศ.ฐานิดา บุญวรรโณ นักวิจัยฯ เล่าให้ฟังว่า ในจังหวัดพิษณุโลกแม้นโยบาย “เรียนฟรี” จะมีอยู่จริง แต่กลับไม่สามารถเข้าถึงปัญหาที่แท้จริงได้ เพราะยังไม่ครอบคลุม “ค่าใช้จ่ายน่ารัก ๆ” ที่จำเป็น เช่น ค่าชุดขาวสำหรับกิจกรรมปฏิบัติธรรม หรือแม้แต่โครงการอาหารเสริม นมโรงเรียน ที่จำกัดอยู่แค่ชั้นประถมหรือมัธยมต้น สิ่งเหล่านี้ทำให้ผู้ปกครองบางรายไม่มีแม้เงินค่าขนมให้ลูก หรือค่าน้ำมันรถมอเตอร์ไซค์ไปส่งลูกเรียน สุดท้ายแล้วเด็กในครอบครัวยากจนจึงขาดโอกาสทางการศึกษาและหลุดออกจากระบบการเรียน
ขณะที่ใน “มิติเกษตรกรรม” ที่ ผศ.ปิ่นวดี ศรีสุพรรณ นักวิจัยฯ ได้ศึกษาเชิงลึกใน 25 ครัวเรือนเกษตรกร ในจังหวัดอำนาจเจริญ พบว่า เกษตรกรเดิมต้องเผชิญความยากจนเชิงโครงสร้างอยู่แล้ว จากราคาพืชผลที่ผันผวน, การเข้าไม่ถึงเทคโนโลยี หรือการต้องพึ่งพิงตลาดและกลุ่มทุน
แต่ที่หนักกว่านั้นคือกลุ่มเกษตรยากจน ที่ไม่มีที่ดินทำกินของตัวเอง แม้รัฐจะมีมาตรการช่วยเหลือ แต่ส่วนใหญ่เน้นไปที่เศรษฐกิจและรายได้ เช่น การส่งเสริมการทำเกษตรอินทรีย์ ทำให้ครัวเรือนที่ไม่มีแม้แต่เงินทุนเริ่มต้นทำการเกษตรแบบที่รัฐส่งเสริม ก็ยิ่งเข้าไม่ถึงการสนับสนุนของรัฐ
นอกจากนี้ใน “มิติที่ดิน” ธวัช มณีผ่อง นักวิจัยฯ ได้สำรวจ 25 ครัวเรือนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่สีแดงในจังหวัดอำนาจเจริญในห้วงเวลา 3 ทศวรรษ พบด้วยว่า การประกาศพื้นที่เป็นเขตสงวน หรือการถูดบังคับให้ย้ายถิ่นกะทันหัน ไม่ใช่แค่การสูญเสียที่ดินในมุมมองของชาวบ้าน แต่คือ การสูญเสีย “แหล่งทำมาหากิน” ที่เคยเป็นที่พึ่งพาด้วย เช่น การหาของป่า ส่งผลให้ร้อยละ 80 ของครัวเรือนเหล่านี้มีรายได้ไม่มั่นคง และส่งต่อความยากจนสู่ลูกหลาน
ขณะเดียวกันใน “มิติความเปราะบางจากภัยพิบัติ” ก็สะท้อนให้เห็นผลกระทบจากภัยพิบัติ เช่น น้ำซัดเซาะชายฝั่ง ที่ทำให้บ้านครัวเรือนประมงจังหวัดปัตตานีจมหายลงสู่ทะเล ซึ่งต้องอพยพย้ายถิ่นกะทันหัน แต่พวกเขากลับไม่ได้รับความช่วยเหลือ ต้องรับมือกับสถานการณ์เพียงลำพัง และนั่นทำให้ ผศ.อลิสา หะสาเมาะ นักวิจัยฯ ชี้ให้เห็นว่า ความยากจนในปัจจุบันนั้นเป็น “ภาวะ” ที่ไม่ว่าใครหากเจอสถานการณ์ความเสี่ยงก็ย่อมตกลงสู่ “ความยากจน”
สุดท้ายใน “มิติอุตสาหกรรมเหมืองแร่” จากการสำรวจบริเวณรอบเหมืองแร่นั้น พบว่า นโยบายที่ดูเหมือนจะช่วยขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจ หากขาดการประเมินรอบด้าน อาจเกิดผลกระทบเหมือนอย่างที่ 25 ครัวเรือนในจังหวัดหนองบัวลำภูต้องเผชิญ ผศ.กิติมา ขุนทอง นักวิจัยฯ เล่าให้ฟังว่า มลพิษจากอุตสาหกรรมที่นั่นปนเปื้อนลงในแหล่งน้ำและผืนดิน ทำให้ชาวบ้านไม่สามารถทำการเกษตรได้ เพราะดินกลายเป็นดินเค็มหมดแล้ว หรือแม้แต่การหาเห็ด ซึ่งเคยเป็นแหล่งอาหารและรายได้เสริม ก็แทบไม่มีให้เห็น คนจนซึ่งพึ่งพาทรัพยากรธรรมชาติเป็นหลัก จึงเหมือนยิ่งถูกบีบบังคับให้จมปลักกับความจนยิ่งกว่าเดิม






นโยบายยังมองแบบเหมารวม ยิ่งผลักดันให้ความจนเป็นกำแพงที่ก้าวไม่ข้าม
จากประสบการณ์และข้อค้นพบของทีมนักวิจัยฯ ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า นโยบายที่มีอยู่ในปัจจุบันยังคงมองปัญหาแบบ “เหมารวม” (One size fits all) ซึ่งส่งผลให้เกิดการเอื้อประโยชน์แก่คนบางกลุ่ม ขณะเดียวกันก็มีคนอีกจำนวนมาก โดยเฉพาะกลุ่มคนจนที่ “ตกหล่น” ไม่ได้รับการเหลียวแล นี่จึงเป็นปัจจัยสำคัญที่ยิ่งผลักดันให้ความยากจนกลายเป็น “กำแพงที่ยากจะก้าวข้าม” ได้ในสังคมไทย
ทีมนักวิจัยฯ ตอกย้ำว่า ความยากจนนั้นมีหลายมิติและซับซ้อน ดังนั้นนโยบายที่จะช่วยแก้ไขปัญหาได้อย่างแท้จริง จึงต้องไม่ถูก “ตีขลุม” และต้องมี “คนจน” อยู่ในสมการ คือต้องออกแบบให้สอดคล้องกับความแตกต่างหลากหลาย ของปัญหาที่แต่ละกลุ่มเผชิญ เพื่อไม่ให้เกิดการกีดกันการเข้าถึงทรัพยากรและโอกาสที่ควรได้รับ
ที่สำคัญคือ ความยากจน เป็นปัญหาของ “คน” ไม่ใช่ “ตัวเลข” การแก้ไขปัญหาด้วยมาตรวัดทางเศรษฐศาสตร์เพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงต้องปรับเปลี่ยนแนวทางในการเก็บข้อมูลใหม่ เพื่อให้เข้าใจถึงรากเหง้าและความต้องการที่แท้จริงของกลุ่มคนเปราะบางในแต่ละมิติ
ชูบทบาท “ท้องถิ่น” ร่วมแก้ความจนที่ซับซ้อน
TP MAP เป็นหนึ่งในแพลตฟอร์มรวบรวมข้อมูลคนยากจน ที่ถูกออกแบบมาเพื่อชี้เป้าหมายของคนจนที่ต้องพัฒนา โดยแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มคือ กลุ่มที่ต้องได้รับการสงเคราะห์เพราะไม่สามารถดำเนินการพัฒนาตนเองได้ และอีกส่วนคือกลุ่มที่ต้องได้รับการส่งเสริม เพื่อให้หลุดพ้นจากเกณฑ์ความยากจน
ซึ่งปีนี้ วิโรจน์ น้ำหอม ผู้อำนวยการกลุ่มงานส่งเสริมสัมมาชีพชุมชน กรมการพัฒนาชุมชน เปิดเผยว่า ข้อมูลผู้มีความยากจนมีจำนวนมากถึง 8.8 แสนคน สะท้อนให้เห็นขนาดของปัญหาที่ยังคงมีอยู่ และเห็นด้วยกับทีมวิจัยฯ ว่าความยากจนซับซ้อนมาก
“การแก้ไขจึงจำเป็นต้องอาศัยการ ‘บูรณาการ’ การทำงานจากหลายภาคส่วน โดยเสนอให้เลขาฯ นายอำเภอ อาจรวบรวมปัญหา นำเข้ามาหารือในวง และให้ ‘นายอำเภอเป็นหัวโต๊ะ’ ในระดับพื้นที่ เพื่อขับเคลื่อนกลไกการแก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุด”
วิโรจน์ น้ำหอม ผู้อำนวยการกลุ่มงานส่งเสริมสัมมาชีพชุมชน กรมการพัฒนาชุมชน
เนื่องด้วยเงื่อนไขของราชการต้องตั้งงบประมาณตามฟังก์ชัน ไม่สามารถข้ามกันได้ การใช้ “กลไกระดับพื้นที่หรือชุมชน” จะเป็นหัวใจสำคัญในการเข้าถึงและแก้ปัญหาความยากจนได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด

ปัญหา “นิยาม” และ “ข้อมูลไม่ตรงกัน” คืออุปสรรคใหญ่
การจะบูรณากับทุกภาคส่วนได้ ก่อนอื่นอาจต้องเริ่มที่การมี “นิยามความจน” ที่ตรงกัน เพราะประเทศไทยกำลังเผชิญกับ “ความยากจนเชิงพรรณนา” หรือการที่ “คนจน” ถูกนิยามแตกต่างกันไปตามระเบียบของแต่ละกระทรวง
ณัฐสุรีย์ อนุศาสนัน ผู้อำนวยการกองมาตรฐานการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เปิดเผยว่า คำว่า “คนจน” ของ พม. ก็จะขึ้นอยู่กับระเบียบของ พม. ขณะที่กระทรวงอื่น ๆ คำว่า “คนจน” ก็ขึ้นอยู่กับกระทรวงของเขา ทำให้คน “หลุดออกจากวาทกรรม” หรือกรอบนิยามของหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งเสมอ
ปัญหาสำคัญคือเราจะต้อง “กำหนดนิยามให้ตรงกัน” และเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างกระทรวงต่าง ๆ ให้ได้ ยกตัวอย่างเช่น ข้อมูลจาก TP MAP ที่ระบุว่ามีคนจนประมาณ 8.8 แสนคน ขณะที่ฐานข้อมูลกลางของ พม. ที่มีชื่อว่า “MSO Logbook” กลับพบตัวเลขกลุ่มเปราะบางสูงถึง 1.1 ล้านคน ความแตกต่างนี้สะท้อนถึง “ข้อมูลที่ไม่ตรงกัน” ระหว่างหน่วยงาน ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการจัดระเบียบให้ตรงและชัดเจนมากขึ้น
อย่างไรก็ตามเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว พม. ได้เดินหน้าลงนามข้อตกลงในการนำฐานข้อมูลผู้สูงอายุและกลุ่มเปราะบางมาเชื่อมโยงกันในระบบ “MSO Logbook” แล้วและกำลังออกแบบรูปแบบการทำงานร่วมกับกรรมาธิการ

สังคมต้องเปลี่ยนมุมมองจากแค่ให้ความช่วยเหลือ ไปสู่การสร้างความเป็นธรรม
อีกประเด็นปัญหาหนึ่งของสังคมไทยคือการมุ่งเน้นให้เศรษฐกิจเติบโต ซึ่ง รศ.บุญเลิศ วิเศษปรีชา อาจารย์คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ตั้งข้อสังเกตว่า
“ที่ผ่านมาเรามุ่งแต่การทำให้เศรษฐกิจเติบโต แต่พอโตแล้ว ผลจากการเติบโต ไปทั่วถึงหรือเปล่า?”
ข้อสังเกตนี้ตอกย้ำถึงปัญหาความเหลื่อมล้ำที่เกิดขึ้น แม้ตัวเลขเศรษฐกิจจะขยายตัว แต่ทำไมผลประโยชน์กลับกระจุกตัวอยู่ในบางกลุ่ม ทำให้คนอีกจำนวนมากยังคงติดอยู่ในวงจรความยากจน
การแก้ไขปัญหาความยากจนในประเทศไทย ถึงเวลาต้องเปลี่ยนมุมมองใหม่ จากแค่ให้ “ความช่วยเหลือ” ไปสู่การสร้าง “ความเป็นธรรมในสังคม”
“สังคมไม่จำเป็นต้องเห็นใจคนจน แต่หากอยากให้พวกเขามีคุณภาพชีวิตที่ดี ก็ต้องทำให้พวกเขาสามารถเข้าถึงโอกาสและทรัพยากรต่าง ๆ ได้อย่างเท่าเทียม ทั้งการศึกษา สุขภาพ และปัจจัยพื้นฐานต่าง ๆ”
รศ.บุญเลิศ วิเศษปรีชา อาจารย์คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

ข้อค้นพบจะบรรจุลงในแผนพัฒนาชาติที่ 14 ได้ทันหรือไม่ ?
สุพัณณดา เลาหชัย ผู้อำนวยการกองพัฒนาข้อมูลและตัวชี้วัดสังคม สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เปิดเผยว่า ในปัจจุบันสภาพัฒน์ต้องการหลักประฐานเชิงประจักษ์เหมือนอย่างที่ทีมนักวิจัยฯ ทำมา เพราะแค่เพียงคำพูด อาจแก้ปัญหาความยากจนไม่ได้ จึงดีใจมากที่ได้เห็นการนำเสนอผ่านกรณีศึกษา ซึ่งสภาพัฒน์สามารถนำไปต่อยอดได้
อย่างไรก็ตาม ทางสภาพัฒน์ฯ กำลังทำวิจัยในเชิงลึกเช่นเดียวกัน โดยใช้วิธี “Contextual Budget” ซึ่งเป็นการลงพื้นที่พูดคุยกับคนจน เพื่อสอบถามอย่างเช่นว่า สินค้าใดที่พวกเขามีหรือไม่มี ถึงจะถูกนิยามว่าเป็น “คนจน” ในมุมมองของพวกเขา จากนั้นจะนำข้อมูลที่ได้มา มาออกแบบสำรวจ เพื่อตรวจสอบความยากจนที่มีความหลากหลาย และเห็นถึงความแตกต่างในแต่ละภูมิภาคของไทยอย่างแท้จริง
แม้ว่าการวิจัยของสภาพัฒน์อาจใช้อีก 2 ปีต่อจากนี้ ทำให้ไม่สามารถบรรจุข้อมูลลงในแผนพัฒนาชาติฉบับที่ 14 ได้ทัน แต่ “สุพัณณดา” บอกว่า เราอาจเขียนเป็นร่างไว้ก่อน ซึ่งทุกคนยังสามารถเข้ามาคอนเมนต์ร่างได้
นี่ถือเป็นก้าวสำคัญที่จะต้องไปให้ถึง เพื่อเปลี่ยนมุมมองจากการมองความจนเป็นเพียง “ตัวเลข” ไปสู่การเข้าใจ “ชีวิตจริง” ของผู้คนที่กำลังเผชิญกับความยากลำบาก และนำไปสู่การสร้างนโยบายที่สามารถ “ฉีกพินัยกรรมความจน” ได้อย่างยั่งยืน
