“รักชาติไม่ให้นองเลือด” ทำได้จริงไหม?

นักวิชาการ ย้ำรักชาติไม่จำเป็นต้องยึดติดธงชาติ แต่ควรอิงจาก ‘คุณค่าร่วม’ เสนอ รัฐ ต้องสื่อสารให้สังคมเข้าใจถึงปัญหา ควรมีกลไกป้องกันไม่ให้ ‘ชาตินิยม’ ถูกนำเป็นผลประโยชน์ทางการเมือง

รศ.วิไลวรรณ จงวิไลเกษม อาจารย์คณะวารสารศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวในวงเสวนาเรื่อง “รักชาติอย่างไร ไม่ให้นองเลือด” ว่า ปัญหาการตีความคำว่า “รักชาติ” ในสังคมปัจจุบันมีความซับซ้อนมากขึ้น จนบางครั้งคนที่ตั้งคำถามหรือวิพากษ์วิจารณ์อาจถูกตีความว่าเป็น “ชังชาติ” ปัจจุบันมีสามคำที่ถูกใช้อย่างสับสน คือ “รักชาติ – เห็นต่าง – ชังชาติ” และหลายครั้งกลายเป็น “คลั่งชาติ” แทน

ในกรณีความรุนแรง เช่น เหตุทหารกราดยิง ที่ อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ ข้อมูลที่ปรากฏมักมาจากกองทัพ ซึ่งอาจมีความไม่รอบด้านและบิดเบือนข้อเท็จจริง เช่น มีการรายงานว่ามีชาวบ้านมีปากเสียงกับทหาร ทหารยิงตัวเองตาย แต่บางกรณีมีการสร้างภาพเหตุการณ์ปลอม ทำให้ข่าวกลายเป็น “จริงกึ่งเท็จ” ซึ่งผู้ที่มีอคติอยู่แล้วจะเชื่อได้ง่าย

ในขณะเดียวกัน มีชุดข้อมูลที่สะท้อนว่า ทหารเองเผชิญความเครียดจากแนวหน้า แต่กองทัพไม่ได้เผยแพร่ ทำให้ความเข้าใจในสังคมเอียงไปในทางยั่วยุและความรุนแรง

รศ.วิไลวรรณ ยังเล่าว่า ตนได้โพสต์เรื่อง “รักชาติแต่ไม่นองเลือด” ได้รับความสนใจมาก มีผู้กดไลค์จำนวนมาก แต่ก็เกิดความเงียบและความลังเลในสังคมบางส่วน ผู้คนไม่กล้าแสดงความเห็น เพราะกลัวถูกมองว่าชังชาติ ทั้งที่ความรักชาติอาจแสดงออกโดยไม่ติดธงหรือไม่แชร์โพสต์

อาจารย์ ม.ธรรมศาสตร์ เปรียบเทียบสถานการณ์ปัจจุบันกับช่วงความขัดแย้งทางการเมืองในอดีต ระหว่างกลุ่มเสื้อเหลือง–เสื้อแดง แต่ครั้งนี้เป็นเรื่องของ “ชาติ” ซึ่งซับซ้อนและรุนแรงกว่า หากไม่แสดงความเห็นใด ๆ ก็อาจถูกตีความผิดได้

รศ.วิไลวรรณ ตั้งคำถามว่า การรักชาติไม่จำเป็นต้องยึดติดธงชาติ แต่ควรอิงจาก คุณค่าร่วมมากกว่าเชื้อชาติ และหากไม่มีศัตรูร่วม ความรักชาติจะถูกตีความผิดหรือไม่

ยกตัวอย่างกรณี แพรรี่–อ.ปวิน ที่เริ่มจากการโพสต์ตัวเลขรายได้และการวิพากษ์วิจารณ์ จนโต้กันเป็นกระแสความรุนแรงบนโลกออนไลน์ และ แพรรี่ก็ไปกล่าวหา อ.ปวิน ว่าชังชาติ

รศ.วิไลวรรณ เน้นว่า แพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ควรรับผิดชอบต่อการกระจายข่าวปลอม รวมถึงกระทรวงดิจิทัลเศรษฐกิจและสังคม ก็ต้องรับผิดชอบเช่นกันที่ต้องเตือนแพลตฟอร์มออนไลน์เหล่านั้น ตอนนี้ทุกคนสามารถโพสต์สร้างข้อมูลข่าวสารได้ ขณะที่สื่อที่มีบรรณาธิการตรวจสอบความมีความน่าเชื่อถือ แต่สื่อใหญ่หลายช่องก็นำประเด็นจากอินฟลูเอนเซอร์มาเสนอเพื่อเรตติ้ง 

นอกจากนี้ รศ.วิไลวรรณ เตือนว่า การมอง “ความเป็นอื่น” เช่น การเรียกคนกัมพูชาว่าเป็นศัตรู เป็นสิ่งที่น่ากลัว และสะท้อนให้เห็นถึงความเปราะบางของความสัมพันธ์ระหว่างไทย–กัมพูชาในฐานะเมืองพี่เมืองน้อง

สังคมยังไม่เข้าใจปัญหา

จาตุรนต์ ฉายแสง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการสันติภาพชายแดนใต้ กล่าวว่า การใช้คำและถ้อยคำของรัฐบาลมีความสำคัญอย่างยิ่ง เช่น คำว่า “ปะทะ” หรือ “สงคราม” ต้องระมัดระวัง เพราะไทย–กัมพูชาไม่ได้ประกาศสงคราม และการประกาศสงครามต้องผ่านสภาฯ จึงควรเข้าใจตรงกันว่าเป็น ความขัดแย้งปะทะกัน โดยมีปัญหาการปักปันเขตแดนยังไม่เสร็จ ทั้งสองฝ่ายต่างนำเสนอข้อมูลของตน

เขาเน้นว่า เป้าหมายคือการสร้างความเข้าใจและเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ การพูดถึงสถานการณ์ชายแดนควรตั้งอยู่บนหลักการ ยุทธศาสตร์และเหตุผล เพื่อหาทางเดินสู่ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่เป็นปกติ แม้จะไม่ง่าย แต่เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อประโยชน์ของประชาชนทั้งสองประเทศและสันติภาพในภูมิภาค

ในด้านการปกป้องดินแดน จาตุรนต์ ย้ำว่า การปกป้องเขตแดนเป็นเรื่องจำเป็น เมื่อต้องมีทหารและประชาชนพลเรือน บาดเจ็บล้มตายก็ต้องปกป้องตนเอง แต่การเจรจาเรื่องการปักปันเขตแดนยังควรทำอย่างถ้อยทีถ้อยอาศัย โดยมีภาคีที่สามเข้าร่วมช่วยตรวจสอบข้อเท็จจริง

สำหรับบทบาทของสื่อ สื่อไทยและโซเชียลมีลักษณะ รวดเร็วและตัดสินใจเร็วเกินไป นำไปสู่กระแสข้อสรุปที่อาจบิดเบือนความจริง ขณะที่รัฐบาลก็นำเสนอข้อเท็จจริงช้าไป 

เมื่อถามว่าทำอย่างไรจึงรักชาติแต่ไม่นองเลือด นายจาตุรนต์ตอบว่า แม้มีการปะทะและสูญเสีย การรับมือควรเป็นไป อย่างสมเหตุสมผลและได้สัดส่วน ไม่ใช่คิดว่ามีสงครามเต็มรูปแบบ 

เขาย้อนกรณีในอดีต ที่นักแสดงพูดตามบทในละคร จนกระความสัมพันธ์ไทย–กัมพูชา เกิดเหตุการณ์เผาสถานทูตไทย ซึ่งมีประชาชนไทยล้อมสถานทูตกัมพูชาในไทยด้วย จนนายกฯ เหมือนหมายให้ตนไปเจรจากับคนไทยด้วยกันว่าอย่างใช้ความรุนแรง  ขณะที่ครั้งนี้ความโกรธแค้นของสังคมจะรุนแรงมากกว่า เมื่อมีการสูญเสียชีวิตหรือมีประเด็นดินแดนเข้ามาเกี่ยวข้อง   

ในกรณีชายแดนใต้ จาตุรนต์ชี้ว่า สังคมวงกว้างยังไม่เข้าใจปัญหาอย่างแท้จริง บางคนเรียกร้องให้ปราบปรามกลุ่มแบ่งแยกดินแดนอย่างราบคาบ แต่ความรุนแรงเพียงอย่างเดียวไม่สามารถแก้ปัญหาได้ทั้งหมด ขบวนการแบ่งแยกดินแดนมีอยู่จริง แต่ต้องเริ่มจาก การค้นหาต้นเหตุของความขัดแย้ง

แม้เคยมีการส่งกองทัพลงไปปฏิบัติการ ก็สามารถบรรเทาความรุนแรงได้บ้าง แต่บางครั้งกลับมีผู้เสียชีวิตหลายพันคน ความซับซ้อนของสถานการณ์ทำให้สังคมวงกว้างยังไม่เข้าใจและเรียกร้องการจัดการให้สิ้นซาก

แต่ จาตุรนต์ บอกว่า บทเรียนจากกรณีชายแดนไทย การแก้ปัญหาอย่างยั่งยืนต้องอาศัย การทำความเข้าใจและสร้างความร่วมมือในสังคม เมื่อประชาชนเข้าใจและรู้สึกเป็นเจ้าของประเทศ ความรุนแรงก็จะลดลง และความรักชาติสามารถแสดงออกได้โดยไม่ก่อให้เกิดนองเลือด 

ไทยจะสร้างสันติภาพได้อย่างไร

รศ.ปณิธาน วัฒนายากร อดีตอาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มองว่า การรักชาติไม่ควรต้องนองเลือด หลายประเทศถือว่าไทยเป็นสงคราม แม้ไทยจะพยายามไม่ทำให้เป็นสงคราม อาจจะเป็นเพราะด้วยทางเศรษฐกิจ ประกันภัย หรือความสนใจของผู้คน แต่ในสมรภูมิจริงนั้น ทางสหประชาชนมองเรื่องนี้ว่าเป็นสงครามขนาดเล็กที่เกิดขึ้นตามแนวชายแดน เพราะมีผู้เสียชีวิตหลักพันคน และเกิดความเสียหายจำนวนมากจนบาดลึกไปถึงภาคประชาชนต่อไปอีก 10 ปี

เงื่อนไขสันติภาพก็มีหลายวิธีคล้ายกับประเทศยูเครน โดยในระดับผู้นำไทยต้องพูดคุยกับผู้นำกัมพูชาให้มากขึ้นกว่านี้ เพื่อแก้ปัญหา ซึ่งความรักชาติก็เป็นปัญหาอย่างหนึ่งที่อาจจะไม่ค่อยสมดุล ผู้นำทั้งสองฝ่ายควรควบคุมเรื่องนี้ให้ดีขึ้น เช่น การปฏิบัติต่อคนในชาติและเพื่อนต่างชาติไม่ให้แตกต่างกันมาก ควรดูแลในด้านมนุษยธรรม ในขณะเดียวกันก็ไม่ควรให้กัมพูชาเข้ามาใช้พื้นที่ในการปฏิบัติการที่ไม่เป็นธรรม ก็จะสามารถรักชาติได้โดยที่ไม่ต้องทำร้ายกันและกันในภาคประชาชน

นอกจากนี้รัฐควรจะต้องมีกลไกในระบบ เพื่อป้องกันไม่ให้ความชาตินิยมถูกนำเป็นผลประโยชน์ทางการเมืองของทุกฝ่าย และต้องมีกลไกดูแลเรื่องความมั่นคงให้สมดุลกว่านี้   

ขณะที่ในระดับนานาชาติก็มีความขัดแย้งกันสูง เพราะมีการแบ่งฝ่ายแบ่งขั่ว ซึ่งอาจไม่ได้มีความเป็นกลาง จึงควรระวังการแทรกแซงสงครามตัวแทน ไทยต้องพิจารณาให้ดีว่าระดับไหนสำคัญที่สุด และมุ่งเป้าไปทางนั้นเพื่อสันติภาพ หากคิดว่าระดับผู้นำมีความสำคัญ ก็ต้องพูดคุยกันกับผู้นำที่ดีกว่านี้ ตามข้อตกลงหยุดยิง ถ้าประชาชนสำคัญมาก ก็นำประชาชนมาเชื่อมโยงกันและส่งสัญญาณให้ชัดว่าไม่ต้องการเหตุการณ์แบบนี้อีกแล้ว

ส่วนกลไกระหว่างประเทศ กัมพูชาค่อนข้างมีปัญหาเยอะ เพราะไม่ทำตามกฎกติกาของอนุสัญญาออตตาวา (Ottawa Treaty) อย่างชัดเจน สะท้อนว่ากลไกในกัมพูชาไม่ทำงานเท่ากับไทย ดังนั้นไทยอาจต้องไปช่วยกัมพูชา เพื่อดูว่าจะทำอย่างไรให้กลไกดังกล่าวทำงานได้ดีขึ้น 

อย่างไรก็ตาม สุดท้ายถ้าชาติมหาอำนาจเข้ามาแทรกแซงก็อาจทำให้เกิดความยุ่งยากมากที่สุด ดังเช่นที่สหรัฐฯ กำลังทำกับทั้งสองประเทศ จึงควรต้องระมัดระวังให้มากที่สุด

เงื่อนไขของความขัดแย้งจะไปสู่เงื่อนไขของสันติภาพ

  • เงื่อนไขในระยะยาว แน่นอนว่ากัมพูชาต้องการที่จะเอาดินแดน รัฐบาลก็ต้องหาทางว่าจะเจรจาตกลงเรื่องหลักเขตแดนกันอย่างไร ไม่เช่นนั้นในอนาคตเรื่องนี้ก็จะไม่จบ  ถ้าตกลงกันในระดับคณะกรรมการได้ก็จะดี ถ้าตกลงกันไม่ได้ก็ต้องคิดกันใหม่ว่าข้อตกลงเดิมนั้นเพิ่มเติมใหม่ หรือแก้ไขใหม่ ก็อาจจะทำให้เกิดสันติภาพได้ นอกจากนี้องค์กรระหว่างประเทศก็จะช่วยได้เยอะ
  • เงื่อนไขระยะกลาง การยื่นข้อตกลงเดิมให้ดีขึ้นอาจจะเป็นทางออกที่ดีในระยะกลาง แต่ถ้าอะไรที่ทำงานไม่ได้ก็ต้องยุบเลิกรวมโดยที่ไม่ต้องแก้กติกาต่าง ๆ 
  • เงื่อนไขระยะสั้น มีการพูดคุยในระดับคณะกรรมการชายแดนภูมิภาค (RBC) กันแล้ว ก็หวังว่าจะช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้นได้

สรุปเงื่อนไขเหล่านี้ก็จะช่วยให้ทั้ง  2 ชาติ อยู่ร่วมกันได้ และประชาชนก็จะรู้สึกว่ามีความมั่นใจในสันติภาพที่เกิดขึ้น แต่ความรุนแรงที่เกิดขึ้นกับประชาชนจะต้องมีการเยียวยาผลกระทบที่ส่งผลต่อชีวิตความเป็นอยู่

เสนอประยุกต์หลัก ‘สันติประชาธรรม’ ลดความขัดแย้ง

ด้าน  จริย์วัฒน์ สันตะบุตร อดีตรองปลัดกระทรวงการต่างประเทศ และอดีตเอกอัครราชทูต ณ กรุงเบอร์ลิน สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี กล่าวปาฐกถาพิเศษเรื่อง สันติภาพและความมั่นคงไทยกับความ(ไม่)สัมพันธ์ระหว่างประเทศ ในงาน Peace Festival Week เนื่องในโอกาส 80 ปี วันสันติภาพไทย

จริย์วัฒน์ กล่าวถึงประวัติศาสตร์เกี่ยวกับการทูตเพื่อสันติภาพของ ปรีดี พนมยงค์ ว่า จากการอภิวัฒน์สยาม 2475 คณะราษฎรได้ดำเนินการปกครองตามหลัก 6 มี (1) หลักเอกราช (2) หลักความปลอดภัย (3) หลักเศรษฐกิจ (4) หลักเสมอภาค (5) หลักเสรีภาพ และ (6) หลักการศึกษา เนื่องจากว่าประเทศไทยขณะนั้นยังคงยังไม่มีเอกราชอย่างสมบูรณ์ เพราะยังติดข้อกฎหมายสนธิสัญญาเรื่องภาษี การศาล และสิทธิสภาพนอกอาณาเขต

ทั้งนี้ คณะราษฎร ด้วยการนำของปรีดีผู้เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญ ได้แก้กฎหมายและเจรจาสนธิสัญญากับประเทศมหาอำนาจ ซึ่งมีปรีดีคือบุคคลสำคัญในการเจรจา จนทำให้ประเทศไทยมีเอกราชสมบูรณ์ รวมทั้งได้ร่วมลงนาม กติกาสัญญาไม่รุกรานกันระหว่างประเทศไทยกับสาธารณรัฐฝรั่งเศส พ.ศ. 2483 เพื่อให้การกำหนดเขตแดนชัดเจนขึ้นในฝั่งขวาของแม่น้ำโขง และมีการเจรจาเรื่อยมา ท่ามกลางสถานการณ์กรณีพิพาทอินโดจีนและสงครามมหาเอเชียบูรพา

จริยวัฒน์ ระบุว่า ปรีดีพยายามอย่างยิ่งที่จะสร้างสันติภาพและพยายามนำเสนอแนวคิดว่า สภาวะสงครามนั้น ต้องแยกระหว่างผู้นำรัฐ ผู้ทำสงครามกับประชาชนผู้ที่ได้รับผลกระทบ เพื่อไม่ให้ประชาชนแตกแยกกัน ทั้งในประเทศและระหว่างประเทศ รวมทั้งก่อตั้งขบวนการเสรีไทยเพื่อยืนยันว่า ประชาชนไทยไม่ยอมที่รัฐบาลร่วมกับฝ่ายอักษะ และให้มีผู้แทนขบวนการเสรีไทยไปยืนยันกับฝ่ายสัมพันธมิตร จนทำให้เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 ยุติลง ประเทศไทยไม่ตกเป็นประเทสผู้แพ้สงคราม

ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ใน พ.ศ. 2490 ในฐานะนายกรัฐมนตรี ปรีดีได้สนับสนุนให้มีการประชุมผู้นําทางการเมืองในภูมิภาคเช่น ลาว กัมพูชา และอินโดนีเซีย มาร่วมประชุมที่กรุงเทพฯ และออก ปฏิญญากรุงเทพฯ 1947 ก่อตั้งสันนิบาตเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Southeast Asia League) ขึ้น เพื่อร่วมมือประสานงาน แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมในประเทศภูมิภาค รวมทั้งสร้างสันติภาพร่วมกัน และผนึกกําลังต่อต้านการฟื้นตัวกลับมาของลัทธิอาณานิคม ภายใต้คําขวัญ “Unity in Southeast Asia” หรือ “เอกภาพในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้” นับว่าเป็นครั้งแรกของการพยายามรวมกลุ่มของประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

หากแต่ในปลายปีเกิดรัฐประหารขึ้น และนโยบายที่ ปรีดี ริเริ่มถูกสั่งให้ยุติลง อีกหลายปีต่อมา ความคิดนี้ได้เป็นต้นแบบของการก่อตั้งองค์การร่วมมือส่วนภูมิภาคในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งองค์การอาสาและอาเซียน  สันติภาพระหว่างประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคถือได้ว่ามีความสำคัญอย่างยิ่ง ในการสร้างความร่วมมือที่จะมีอํานาจต่อรองกับประเทศมหาอํานาจ

จริย์วัฒน์ กล่าวทิ้งท้ายว่า เราสามารถนำหลักการของปรีดีอย่าง สันติประชาธรรมมาประยุกต์ใช้กับสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศเพื่อนบ้าน ย่อมช่วยให้ไทย-กัมพูชา คลี่คลายปมขัดแย้งโดยไม่เกิดความสูญเสีย

นอกจากนี้ ในประเทศไทยมีประชากรของประเทศเพื่อนบ้านจำนวนมาก ประเทศไทยควรให้ความสำคัญกับคนกลุ่มนี้ด้วย โดยเฉพาะการศึกษา เพราะจะเป็นอีกกลไกหนึ่งในการสร้างสันติภาพระหว่างประเทศเพื่อนบ้านอย่างยั่งยืน

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active