แนะแก้ ม.69 พ.ร.ก.ประมง ต้องคำนึงถึงนิเวศทางทะเลทั้งระบบ

เปิด 2 มุมมอง ปม ม.69 เปิดทางอวนล้อมจับ ‘ปลากะตัก’ กลางคืน ฝั่งค้าน ย้ำ กระทบสัตว์วัยอ่อนชนิดอื่น ชี้ใช้ค่า MSY เป็นเหตุผลแก้กฎหมายไม่เพียงพอ ขณะที่ข้อมูลอีกด้าน ยัน จับกลางคืนได้ แต่ต้องทำในเขตที่เหมาะสม ส่วนจะจับด้วยวิธีไหนต้องมาตกลงกัน เตรียมทำข้อสรุปส่ง กมธ.วุฒิสภา พิจารณาต่อ

เมื่อเร็ว ๆ นี้ ในเวที “ข้อคำนึงทางนิเวศวิทยา ต่อการทำปลากระตักประกอบแสงไฟ” จัดขึ้นที่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดย ศักดิ์อนันต์ ปลาทอง นายกสมาคมวิทยาศาสตร์ทางทะเลแห่งประเทศไทย บอกว่า เวทีนี้เป็นผลมาจากการที่สภาผู้แทนราษฎรมีมติเห็นชอบร่างแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.ก.การประมง ปี 2558 มาตรา 69 ที่อนุญาตให้ใช้อวนล้อมจับปลากระตักในเวลากลางคืน และตามมาด้วยข้อถกเถียง เกิดข้อเห็นต่าง 2 ฝ่าย โดยกลุ่มประมงพาณิชย์ ประมงปลากะตัก มองเป็นเรื่องของโอกาสมูลค่าเศรษฐกิจที่มากขึ้น หากจับปลากะตักได้เพิ่มมากขึ้น แต่อีกด้านกลุ่มประมงพื้นบ้าน มีข้อกังวลว่า หากอนุญาตตามมติดังกล่าว ซึ่งจับเวลากลางคืน จะต้องเปิดไฟล่อ ปลาที่เข้ามาติดอวนตาถี่จะไม่ใช่แค่ปลากะตัก แต่จะคิดลูกปลา หรือสัตว์ทะเลวัยอ่อนชนิดอื่น ๆ ด้วย  

“หลักคิดทางวิชาการที่เกี่ยวข้องกับการทำประมง โดยเฉพาะการทำประมงปลากระตัก หลักการสำคัญ ณ วันนี้ที่คุยกัน คือเรื่องการใช้ ค่า MSY หรือผลผลิตการจับสูงสุดของตัวเลข  ในการบริหารจัดการปลากระตัก ซึ่งพบข้อมูลว่ายังเห็นไม่ตรงกัน และมีความเห็นต่างเกิดขึ้นในสังคม ตลอดจนข้อกังวล” 

ศักดิ์อนันต์ ปลาทอง

ดังนั้นสิ่งสำคัญจึงต้องมาคุยกันบนข้อมูลวิชาการ มุมมองนักวิทยาศาสตร์ทางทะเล ไปสู่ข้อเสนอ ทั้งมิติความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจ  และความมั่นคงทางทะเล 

ชี้ใช้แค่ข้อมูล MSY เพื่อพิจารณาเห็นชอบ ม.69 ยังไม่เพียงพอ

เพชร มโนปวิตร คณะกรรมาธิการด้านพื้นที่คุ้มครอง IUCN และกรรมการมูลนิธิเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน บอกว่า ถ้าหากมองในมุมการอนุรักษ์ หรือ การฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพ เห็นว่าประเด็นเรื่องของการตัดสินใจ โดยใช้ข้อมูลจาก ผลผลิตการจับสูงสุดที่ยั่งยืน หรือ MSY อย่างเดียว อาจมีปัญหาหลายอย่าง เพราะแนวความคิดของ MSY เน้นในเรื่องการจัดการปลาชนิดเดียว หรือ ในลักษณะของ single species management  แต่หากมองความจริงว่าปลากะตัก เป็นส่วนหนึ่งของระบบนิเวศ คำถามสำคัญ “เราได้พิจารณาในส่วนของข้อมูล บทบาทอื่น ๆ ของปลากะตักแล้วหรือยัง ?”  

“เพราะความสัมพันธุ์ของปลากะตักไม่ใช่แค่ปลาเศษฐกิจที่คนจับไปทำประโยชน์ แต่ต้องมองในฐานะของเหยื่อ ความสัมพันธ์ของปลากะตักต่อทรัพยากรอื่น ๆ พวกปลาล่าเหยื่อ ไปจนถึงวาฬในทะเล ซึ่งความจริงทำให้เกิดประโยชน์ทางสังคมเศรษฐกิจเหมือนกัน นอกจากนี้การใช้เครื่องมือประสิทธิภาพสูงก็เป็นประเด็นที่นักวิชาการ และชาวประมงพื้นบ้านค่อนข้างเป็นห่วง เพราะว่าเราจะแน่ใจได้อย่างไรว่าเราจะมีการจับเฉพาะปลากะตักได้จริง ๆ”  

เพชร มโนปวิตร

ทั้งนี้ ในเชิงแนวคิดปัจจุบันหลายประเทศมีแนวคิดที่จะส่งเสริมการจัดการประมง บนพื้นฐานระบบนิเวศมากขึ้น หรือ EBFM – Ecosystem-based Fisheries Management. คือ การใช้ประโยชน์การจัดการประมงกับการอนุรักษ์ แต่การจัดการประมงเชิงระบบนิเวศ นั่นคิดว่า พยายามทำให้ 2 ภาพมันซ้อนเข้าหากัน เพราะฉะนั้นปริมาณของปลากะตักจำเป็นต้องมีการคำนวณถึงบทบาทอื่น ๆ การเป็นเหยื่อ และความสำคัญในระบบนิเวศด้วย ซึ่งอันนี้อาจจะไม่สอดคล้องกับ MSY 

อีกประเด็นที่มีความสำคัญ แล้วเกี่ยวข้องมาก คือ การเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อมในปัจจุบัน ความปรวนแปรของข้อมูล ตรงนี้ส่งผลอย่างมากต่อการคำนวณ ค่า MSY ข้อมูลในแต่ละปี ในปัจจุบัน คิดว่า มีความปรวนแปรมาก เรื่องของโลกร้อน ซึ่งยังไม่ได้คิดเลยด้วยซ้ำว่า อุณภูมิที่สูงขึ้นจะส่งผกระทบยังไงต่อการแพร่กระจาย ต่อการดำรงอยู่ของปลากะตัก เพราะฉะนั้นคิดว่า MSY จะมีความแปรปรวนเยอะมาก ถ้ามองออกไปในอนาคต เพราะฉะนั้นการปรับเปลี่ยนนโยบายโดยอาศัยข้อมูล MSY โดยมุมมองส่วนตัวคิดว่ามีความเสี่ยงเกินไป ในขณะที่ยังไม่มีข้อมูลแวดล้อมที่เพียงพอ

อุกกฤต สตภูมินทร์ รองอธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ได้นำเสนอข้อมูลการเปลี่ยนแปลงของชายฝั่งทั้งความตื้น ลึก กระแสน้ำ หรือ โซนประกาศพื้นที่คุ้มครองสัตว์น้ำวัยอ่อน รวมถึงการกำหนดเขตทะเลชายฝั่ง 12 ไมล์ทะเล อาจต้องมีการพูดคุยกันอย่างรอบคอบ เพราะแต่ละพื้นที่ก็มีบริบทไม่เหมือนกัน และอีกส่วนสำคัญที่เป็นข้อกังวลที่ต้องนำมาประกอบการพิจารณา คือ แหล่งกองหินใต้น้ำ ที่มีการสำรวจโดยอาจารย์ นักวิชาการ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พบว่า มีแหล่งกองหินมากมาย ที่มีความสำคัญกับสัตว์น้ำที่ไม่ได้ใช้แสง และเป็นที่หลบภัยของสัตว์น้ำและหลายที่อยู่เกิน 12 ไมล์ทะเลขึ้นไป ดังนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญ เวลาที่จะมีการกำหนดเขตการทำประมง หรือในการทำอะไรสักอย่างจึงต้องเอาสิ่งนี้เข้ามาประกอบการพิจารณาด้วย

ย้ำข้อกังวลใช้ ‘อวนล้อมจับ’ ปลากะตักกลางคืน 
กระทบจับสัตว์น้ำวัยอ่อน

ไพโรจน์ ซ้ายเกลี้ยง อดีตผู้เชี่ยวชาญประมงทะเล กรมประมง ยกกรณีการศึกษา ในปี 2534 ที่พบว่ามีปัญหามาก จึงได้ทดลองทางวิชาการ มีการใช้อวนล้อมจับปลาในเวลากลางคืน ที่ จ.ประจวบคีรีขันธ์ และ จ.ระยอง ปรากฎว่า มีสัตว์น้ำเศรษฐกิจชนิดอื่นปนมา 20 – 50% จากวันนั้นเลยห้ามทำประมงปลากะตักในเวลากลางคืน และการกำหนดขนาดตาอวน 2.5 ซม. โดยตอนนั้นเป็นการศึกษาการจับปลาหลังเขียว ซึ่งหากเป็นปลาหลังเขียวขนาด 2.5 ซม. ก็เป็นตัวโตเต็มวัยเหมาะสม แต่หากจับปลาทูก็จะเป็นปลาเล็ก ซึ่งปลาทูขนาดตาอวนต้อง 2.8 ซม. ขึ้นไป เพราะเราอยู่ในโซนเขตร้อนเป็นมัลติสปีชีส์ มัลติไซต์

ขณะที่ ชวลิตร วิทยานนท์ นักวิชาการอิสระ บอกว่า จากที่ได้ลงพื้นที่ต่าง ๆ ทางทะเลไปศึกษา พบว่า ที่ให้ใช้การล้อมจับปลากะตักในเวลากลางวันได้ เพราะในเวลากลางวัน ปลาอื่น ๆ ว่ายน้ำเร็ว วิ่งออก ทำให้ติดปลาชนิดอื่นน้อย แต่หากทำอวนล้อมจับปลากะตักในเวลากลางคืน โดยใช้ไฟล่อ จะติดลูกปลาหลายชนิด อย่างปลาเศรษฐกิจ ลูกปลาทู ปลาอินทรี จึงน่าเสียดายโอกาส เพราะเมื่อจับได้ ปลาที่ไม่สดก็จะไปบดเป็นอาหารเลี้ยงสัตว์ ปลาที่สดหน่อยก็ทำแดดเดียวเป็นปลาทูแก้วขาย แทนที่จะได้เติบโตสร้างเศรษฐกิจได้มากกว่านี้

ข้อมูลอีกด้าน ยันใช้ ‘อวนล้อมจับ’ จับปลากะตักกลางคืน
กระทบสัตว์น้ำวัยอ่อนชนิดอื่นน้อย

ด้าน รศ.กังวาลย์ จันทรโชติ ประธานมูลนิธิ TBTI อดีตหัวหน้าภาควิชาการจัดการประมง คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ระบุว่า จากประสบการณ์ที่ได้ไปศึกษาในหลายประเทศ โดยเฉพาะปลากะตัก ที่ได้ศึกษาของประเทศเปรู กับญี่ปุ่น พบว่า ทางเปรูเป็นปลากะตักตัวใหญ่ ฉะนั้นเวลาจับเขาใช้ตาอวนขนาดใหญ่ได้ แต่คนญี่ปุ่น เขาจับลูกปลากะตักไปใช้ประโยชน์ จะใช้อวนลากตาเล็ก ๆ ลากอยู่ตามชายฝั่ง ตนเคยถามว่า ถ้าเอาลูกปลามาใช้แล้วจะมีผลกระทบต่อปลารุ่นใหม่ไหม ชาวญี่ปุ่น บอกว่า ลูกปลาที่เขาเอาขึ้นมาใช้ประโยชน์  ยังน้อยกว่าลูกปลาที่ตายในธรรมชาติ เพราะฉะนั้นเอามาใช้ประโยชน์ดีกว่าทิ้งไปเปล่า ๆ อันนี้จึงเป็น 2 ประสบการณ์ที่นำมาใช้ประโยชน์ในปลากะตักในบ้านเรา 

ทั้งนี้หากพูดถึงการใช้ประโยชน์ปลากะตักในไทย ถ้าหากดูจากข้อโต้แย้ง ที่ทางประมงพื้นบ้านเสนอมา พิจารณาได้เป็นหลักสำคัญ คือ 

  1. ดูตัวทฤษฎี ต้องดูว่าทฤษฎีนั้นมีข้อจำกัดอะไรบ้าง 

  2. ดูงานวิจัยเรื่องนั้น ว่ามีการทำวิจัยที่ถูกต้องตามหลักวิชาการหรือไม่ มีการแปลความหมายถูกต้องหรือไม่  

  3. ดูเรื่องของข้อเท็จจริงทางสถิติ ว่าสถิติที่เป็นทางการมีข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่าอย่างไร 

“อย่างปลากะตัก ทางฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยบอกว่า ปลากะตัก จับปลาเป็ดได้เยอะ ก็ให้ไปนั่งดู ว่าปลาเป็ดที่จับด้วยเครื่องมือจับปลากะตัก มันมีมากน้อยแค่ไหน เมื่อเอาไปเปรียบเทียบกับปลากะตักที่จับโดยเครื่องมือเป็นสัดส่วนแค่ไหน ก็จะได้คำตอบออกมา ซึ่งที่ผมทำการวิเคราะห์ออกมาแล้ว ผมก็คิดว่า ข้อโต้แย้งในประเด็นที่ว่า ปลากะตักทำลายสัตว์น้ำวัยอ่อนจำนวนมากก็ไม่จริง”

รศ.กังวาลย์ จันทรโชติ

ดังนั้นโดยส่วนตัวตนยังมองเห็นว่า เครื่องมือจับปลากะตักเป็นเครื่องมือที่มุ่งเน้นจับเฉพาะสัตว์น้ำเฉพาะชนิด คือเป็นเครื่องมือเดียว ที่จับสัตว์น้ำที่เป็นสัตว์น้ำเป้าหมายนี้ได้ 80 – 90% ในประเด็น ม.69 ในทางสถิติ ทางวิชาการยังเชื่อว่า ให้ทำในเวลากลางคืนได้ แต่ให้ทำในเขตที่เหมาะสม โดยจะใช้วิธีการยังไง ก็มาตกลงกัน ซึ่งงานวิจัยในปี 2551 ของกรมประมง ชี้ชัดว่า ถ้าจับออกไปจากชายฝั่ง 15 ไมล์ทะเล ค่อนข้างจะติดลูกปลาเศรษฐกิจอื่นน้อยลง

‘กรมประมง’ ย้ำ ออกกฎหมายลูก ป้องกันผลกระทบ ม.69

ปวโรจน์ นรนาถตระกูล ผู้เชี่ยวชาญด้านการประมงทะเล ระบุว่า จากความเห็นต่าง และข้อกังวลผลกระทบที่หลายภาคส่วนนำเสนอ ทางกรมประมงได้วางแนวทางการออกประกาศกฎหมายลำดับรองตามมาตรา 69

  1. กำหนดห้วงเวลาอนุญาตให้ทำการประมงได้ในช่วงที่สัตว์น้ำชนิดอื่น ๆ ปนน้อยที่สุด ในเบื้องต้นพื้นที่ฝั่งอ่าวไทย ให้สามารถทำการประมงได้ในเดือนมกราคม, กุมภาพันธุ์ และ มีนาคม และพื้นที่ฝั่งทะเลอันดามันให้สามารถทำการประมงได้เดือนพฤษภาคม, มิถุนายน และ กรกฎาคม 

  2. กำหนดพื้นที่อนุญาตให้ทำการประมงห่างจากชายฝั่งอย่างน้อย 20 ไมล์ทะเล และต้องมีความลึกน้ำมากกว่า 30 เมตร เพื่อลดการจับสัตว์น้ำขนาดเล็ก โดยพื้นที่อนุญาตต้องไม่ทับซ้อนกับพื้นที่มาตรการอนุรักษ์อื่น ๆ เช่น มาตรการปิดอ่าว 

  3. กำหนดการใช้แสงไฟล่อ โดยเรืออวนล้อมจับปลากะตัก 1 ลำ ให้จับคู่กับเรือปั่นไฟได้ไม่เกิน 3 ลำ และเรือปั่นไฟแต่ละลำใช้เครื่องปั่นไฟที่มีกำลังไฟไม่เกิน 40 กิโลวัตต์

  4. ขนาดตาอวนทั้งผืน ที่ใช้ต้องมากกว่า 0.6 ซม. 

  5. เรือที่อนุญาตให้ทำการประมงอวนล้อมจับปลากระตัก เวลากลางคืน ต้องเป็นเรืออวนล้อมจับปลากะตักที่ได้รับอนุญาตอยู่เดิม ซึ่งปัจจุบันมีจำนวน 175 ลำ โดยไม่อนุญาตให้เรือประมง ที่ใช้เครื่องมือชนิดอื่น เปลี่ยนมาใช้เครื่องมืออวนล้อมจับปลากะตัก 

  6. การควบคุมการทำประมง เช่น เรือทุกลำที่ทำการประมงอวนล้อมจับปลากะตักเวลากลางคืน ต้องติดระบบติดตามเรือ (VMS) ที่ส่งสัญญานทุก 15 นาที, กำหนดโควตาปริมาณจับปลากะตักตามปริมาณสัตว์น้ำที่อนุญาตให้ทำการประมง (TAC) เมื่อมีปริมาณการจับครบตามโควตาแล้วต้องหยุดทำการประมง, รายงานผลจับด้วยสมุดบันทึกการทำประมงแบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-logbook), แจ้งเรือเข้าออกผ่านศูนย์ควบคุมการแจ้งเข้า-ออกเรือประมงทุกครั้ง 

ในช่วงท้าย ศักดิ์อนันต์ ระบุด้วยว่า ในกระบวนการตัดสินใจทางนโยบาย สิ่งสำคัญคือ ข้อมูลที่ถูกต้อง ซึ่งต้องคำนึงทั้งในมิติของเศรษฐกิจ รวมถึงสังคมและสิ่งแวดล้อมไปด้วยกัน เพราะฉะนั้นระยะเวลาตอนนี้ที่ร่างกฎหมายการประมง อยู่ในการพิจาณาของวุฒิสภา ค่อนข้างสุ่มเสี่ยงเหมือนกันต่อการตัดสินใจ แล้วค่อยไปตายเอาดาบหน้า หรือลุ้นเอากันข้างหน้า โดยอาจไม่ได้มองผลกระทบที่ครอบคลุม

“อย่างที่ผมบอกปัญหาสำคัญเลย คือ ความไม่ตรงกัน ไม่สอดคล้องกัน หรือแม้แต่ถ้าเรามอง ในระดับสภาผู้แทนราษฎร เราจะเห็นการงดออกเสียง การเห็นต่างกันค่อนข้างเยอะ เมื่อเทียบกับมาตราอื่น ๆ มันแสดงให้เห็นว่า มาตรานี้เป็นมาตราที่ยังคลุมเครือมากในการตัดสินใจ  โดยหลักคิดข้อมูลวิชาการยังไม่นิ่ง เมื่อยังไม่นิ่งก็ควรที่จะรอข้อมูลหรือให้มีการวิจัยศึกษาให้ชัดเจนรอบด้านก่อน”

ศักดิ์อนันต์ ปลาทอง

นายกสมาคมวิทยาศาสตร์ทางทะเลแห่งประเทศไทย บอกด้วยว่า หลังจากนี้จะจัดทำข้อสรุปแนวทางข้อเสนอที่ได้จากเวทีวิชาการครั้งนี้ เพื่อเสนอไปยังกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างกฎหมายดังกล่าวของวุฒิสภา เพื่อประกอบการพิจารณาต่อไป

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active