สว. มีมติ 124 ต่อ 8 เสียง ยืนตาม กมธ.เสียงข้างมาก หวั่นแก้ไข ม.69 กระทบระบบนิเวศ ด้านเสียงข้างน้อย ยัน คุมเข้มอยู่แล้ว ขณะที่ ภาคประชาชน – กลุ่มประมง จับตาท่าที สส. อาจไปสู่ขั้นตอนตั้งกรรมาธิการฯ ร่วม
วันนี้ (25 ก.พ. 68) ที่ประชุมวุฒิสภา มีมติเห็นชอบตามข้อเสนอของ กรรมาธิการวิสามัญฯ เสียงข้างมาก ให้คงมาตรา 69 ตามร่างเดิมปี 2558 ด้วยคะแนนเสียง 124 ต่อ 8 เสียง งดออกเสียง 3 เสียง โดย ห้ามใช้อวนล้อมตาถี่จับปลากะตักในเวลากลางคืน เนื่องจากกังวลผลกระทบต่อทรัพยากรทางทะเล โดยเฉพาะสัตว์น้ำวัยอ่อน ซึ่งมติครั้งนี้สวนทางกับสภาผู้แทนราษฎร ทำให้ร่างกฎหมายต้องถูกส่งกลับไปให้ สส. พิจารณาทบทวน หากเห็นต่างจาก สว. อาจต้องตั้งกรรมาธิการร่วมเพื่อหาข้อสรุป

สำหรับ มาตรา 69 เรื่องการทำประมงปลากระตักในเวลากลางคืน ถือเป็นประเด็นสำคัญที่ถูกจับตามอง ในการประชุมวุฒิสภา เพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดการประมง โดย สมาคมการประมงแห่งประเทศไทย ซึ่งมีสมาชิกจาก 22 จังหวัดชายทะเล รวมถึง กลุ่มประมงพาณิชย์และประมงนอกน่านน้ำ แสดงความ ไม่เห็นด้วยกับมติดังกล่าว หวังว่าการพิจารณาของรัฐสภา จะย้อนกลับไปยึดตามมติของสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ซึ่งอนุญาตให้ใช้อวนล้อมตาถี่จับปลากะตักในเวลากลางคืน เนื่องจากมาตรการห้ามดังกล่าวส่งผลกระทบต่อรายได้และภาระหนี้สินของชาวประมงพาณิชย์
เมื่อเปรียบเทียบร่างกฎหมายประมงในมาตรา 69 พบว่า ร่างเดิมของปี 2558 กำหนดให้ห้ามใช้อวนล้อมตาถี่จับปลากะตักในเวลากลางคืน ซึ่งมติล่าสุดของ กมธ.วิสามัญ สว. ยังคงยืนยัน ตามร่างดังกล่าว
ขณะที่ร่างฯ ของรัฐบาล และร่างฯ ที่ผ่านการพิจารณาของ สส. กลับอนุญาตให้ใช้อวนล้อมตาถี่จับปลากะตักในเวลากลางคืนได้ แม้ที่ประชุม กมธ.วิสามัญ สว. จะมีมติเสียงข้างมากให้ยืนตามร่างเดิม ปี 2558 แต่ยังคงมีเสียงข้างน้อยที่สงวนความเห็นไว้

ขณะที่ กมธ.เสียงข้างน้อย อย่าง ชวพล วัฒนพรมงคล เห็นต่าง โดยชี้ว่า มาตรา 69 ได้กำหนดห้ามใช้อวนที่มีช่องตาขนาดเล็กกว่า 2.5 ซม. อยู่แล้ว จึงไม่มีผลต่อการลดลงของสัตว์น้ำ พร้อมตั้งคำถามว่า ปัจจัยหลักที่ทำให้ปริมาณปลาทูลดลงอาจเป็นผลมาจากกระแสน้ำและอุณหภูมิ ไม่ใช่การใช้อวนล้อมจับปลากะตัก นอกจากนี้ยังมองว่า มาตราดังกล่าวช่วยปกป้องพื้นที่ชายฝั่ง เพราะมีการกำหนดชัดเจนว่าห้ามใช้อวนขนาดเล็กในเขตดังกล่าว
นันทชัย สุขเกื้อ ประธานเครือข่ายผู้ได้รับผลกระทบจากกฎหมายประมง ระบุว่า ปัจจุบันเรือประมงออกไปทำประมงนอกเขตทะเล 12 ไมล์เป็นหลัก แต่ในเวลากลางวันการจับปลากะตักที่รวมฝูงกันเป็นเรื่องยาก ทำให้ชาวประมงมีรายได้ลดลงและเสี่ยงต่อภาวะขาดทุน


“ด้วยบริบทการทำประมงในปัจจุบัน มาตรา 69 ส่งผลต่อพี่น้องชาวประมงค่อนข้างมาก ตอนนี้หลายคนขาดทุน รายได้ไม่พอ จนมีหนี้สิน”
นันทชัย สุขเกื้อ
ด้าน เครือข่ายประมงพื้นบ้าน ได้นำรายชื่อจาก 156 องค์กรภาคประชาชนยื่นต่อสมาชิกวุฒิสภา เพื่อสนับสนุน มติ กมธ. วิสามัญฯ เสียงข้างมาก พร้อมมอบดอกไม้ให้กำลังใจผ่าน ธนกร ถาวรชินโชติ รองประธาน กมธ. วิสามัญฯ โดยเน้นว่า ประเด็นนี้เกี่ยวข้องกับอนาคตของทะเลไทย และควรพิจารณาผลกระทบต่อระบบนิเวศเป็นหลัก
ปิยะ เทศแย้ม นายกสมาคมสมาพันธ์ชาวประมงพื้นบ้านแห่งประเทศไทย บอกว่า ทะเลเป็นกลไกสำคัญด้านความมั่นคงทางอาหารและเศรษฐกิจฐานราก จึงจำเป็นต้องมีนโยบายการประมงที่เป็นธรรมและคำนึงถึงความยั่งยืน

“เรื่องนี้ไม่สามารถยอมได้ เราจึงต้องเข้าไปคุยกับพรรคการเมือง ต้องสื่อสารกับสังคมว่าเรื่องนี้ไม่สามารถที่จะกำหนดนโยบายเรื่องการทำประมงอย่างไม่ชอบธรรมอีกต่อไป เราจะไม่หยุดแต่เพียงเท่านี้”
ปิยะ เทศแย้ม
นอกจากข้อกังวลของภาคประมงแล้ว การพิจารณาแก้ไขมาตรา 69 ยังได้รับความสนใจจากนักวิชาการ และภาคประชาสังคม โดยเฉพาะเนื้อหาที่เกี่ยวกับการใช้อวนตาถี่และไฟล่อปลากะตัก ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศอย่างรุนแรง ซึ่งเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ภาคประชาชน นักวิชาการ และกลุ่มช่างภาพใต้น้ำ ได้ร่วมมือกับเครือข่ายสมาคมรักษ์ทะเลไทย จัดเสวนา “สภาปลาเล็ก ถ้าไม่มา ไม่มีปลากินแล้วนะ” โดยเรียกร้องให้ภาครัฐให้ความสำคัญกับ “วิทยาศาสตร์พลเมือง” และ เน้นย้ำถึงข้อมูลที่ชาวบ้านและชาวประมงเก็บสะสมจากประสบการณ์ ซึ่งสามารถนำมาใช้ในการกำหนดนโยบายที่เหมาะสมและสอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงของท้องทะเลไทย
เพชร มโนปวิตร ที่ปรึกษาอธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ให้ความเห็นว่า ข้อมูลจากชาวบ้าน และชาวประมงซึ่งอยู่กับท้องทะเลมายาวนาน ควรถูกนำมาพิจารณาในการกำหนดนโยบาย เนื่องจากพวกเขามีความรู้เกี่ยวกับการจับปลาอย่างสมดุลกับระบบนิเวศ
วัชระ กาญจนสุต ผู้เชี่ยวชาญด้าน Blackwater Diving ตั้งคำถามถึงความขัดแย้งในรายงานของกรมประมงที่เคยยืนยันถึงผลกระทบเชิงลบของการประมงรูปแบบนี้ แต่กลับมีการผลักดันให้แก้ไขกฎหมายเพื่ออนุญาตให้ใช้เครื่องมือดังกล่าว ซึ่งอาจส่งผลต่อความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรทางทะเลในอนาคต
“กรมประมง ผู้ซึ่งสนับสนุนการแก้ไขกฎหมายในครั้งนี้ เคยให้มีการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับการทำประมงเพื่อเก็บข้อมูลตัวอย่างสิ่งมีชีวิตที่จับได้ และวิเคราะห์แนวโน้มในอนาคต ซึ่งผลการศึกษาที่ผ่านมากลับชี้ให้เห็นว่าการทำประมงในลักษณะที่กำลังถูกเสนอให้แก้ไขกฎหมาย อาจส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อทรัพยากรทางทะเลและโอกาสในการทำประมงในระยะยาว เนื่องจากอาจทำให้ปริมาณสัตว์น้ำลดลงอย่างชัดเจน ข้อมูลที่หน่วยงานรัฐนำมาใช้อ้างอิงจึงมีความย้อนแย้งกันเอง และสะท้อนถึงความจำเป็นที่ต้องพิจารณาผลกระทบเชิงลึกก่อนมีการเปลี่ยนแปลงกฎหมาย”
วัชระ กาญจนสุต
นอกจากมติ สว. ต่อมาตรา 69 แล้ว ที่ประชุมวุฒิสภา ยังมีการแก้ไขอีก 5 มาตรา ประกอบด้วย
- ปรับคำใน องค์ประกอบกรรมการจังหวัด เห็นชอบตาม กมธ.
- ประเด็นเกี่ยวกับการออกใบอนุญาต, (ปรับคำ) เห็นชอบตาม กมธ.
- ประเด็นการจับสัตว์ทะเลเลี้ยงลูกด้วยนม เห็นชอบตาม กมธ.
- ใน ม.114(8) เห็นชอบตาม กมธ.
- แก้บทเฉพาะกาล ให้ออกกฎหมายลูก ภายใน 1 ปี ซึ่ง สว.เห็นชอบตาม กมธ.
โดยล่าสุด ที่ประชุม สว.ได้โหวตเห็นชอบ ผ่านวาระ 3 รับรองร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดการประมง พศ…แล้ว
ทั้งนี้หลังมติของ สว. ออกมาในวันนี้ กลุ่มประมงพาณิชย์ และประมงพื้นบ้าน ต่างมีความเห็นที่แตกต่างกัน หลายฝ่ายจึงยังจับตาการพิจารณาทบทวนของสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งหากไม่เห็นชอบกับมติของ สว. ก็ต้องตั้งกรรมาธิการร่วม เพื่อหาข้อสรุปสุดท้ายต่อไป