ภาคประชาชน ร่อนแถลงการณ์ ‘วันสิ่งแวดล้อมโลก’ ระบุชัด ‘สิทธิชุมชน’ ต้องมาก่อนเมกะโปรเจกต์ หยุดทำลายทรัพยากร รากฐาน ต้นทุนชีวิต หวังรัฐไทย จริงจังสร้างหลักประกันสิทธิการมีชีวิตอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี พร้อมเดินหน้าแก้รัฐธรรมนูญ รับรอง ส่งเสริมกลไกประชาชนเข้าถึงสิทธิ
เนื่องใน วันสิ่งแวดล้อมโลก (World Environment Day) ปีนี้ มูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้ รัฐไทย ทั้งฝ่ายนิติบัญญัติ รัฐบาล และศาล ต้องทำหน้าที่อย่างเร่งด่วนและจริงจังเพื่อสร้างหลักประกันสิทธิในการมีชีวิตอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี ด้วยการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อรับรองสิทธิดังกล่าว
รวมถึงการมีกฎหมาย และมาตรการ กลไกที่จะช่วยสนับสนุนส่งเสริมการเข้าถึงสิทธิ ทั้งการออกกฎหมายว่าด้วยการรายงานข้อมูลการปล่อยและการเคลื่อนย้ายสารมลพิษสู่สิ่งแวดล้อม (PRTR) กฎหมายว่าด้วยความรับผิดของผู้ก่อมลพิษ และการแก้ไขฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม กฎหมายว่าด้วยการป้องกัน การฟ้องคดีปิดปาก (Anti-SLAPP) ยกระดับมาตรการคุ้มครองนักปกป้องสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อม ปรับปรุงเพิ่มประสิทธิภาพของกระบวนการยุติธรรม
ทั้งยังเรียกร้องให้รัฐต้องตัดสินใจดำเนินนโยบายและโครงการต่าง ๆ โดยคำนึงถึงผลกระทบความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อมที่ยากแก่การแก้ไขเยียวยาในภายหลัง และรับฟังเสียงของประชาชน โดยเฉพาะผู้ได้รับผลกระทบอย่างทั่วถึงและมีความหมาย ควบคู่กับการปฏิบัติการเพื่อป้องกันภัยคุกคามทางสิ่งแวดล้อม และแก้ไขปัญหามลพิษอย่างเร่งด่วน เพื่อให้การมีชีวิตอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดีเป็นสิทธิที่ประชาชนทุกคนเข้าถึงได้อย่างแท้จริง และดำรงอยู่อย่างยั่งยืนจนถึงคนรุ่นต่อไป
‘พีมูฟ’ ย้ำ การพัฒนาที่ยั่งยืน อยู่บนพื้นฐานสิ่งแวดล้อมดี-สิทธิชุมชน
ขณะที่ ขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (พีมูฟ) ก็ออกแถลงการณ์เนื่องในวันสิ่งแวดล้อมโลก ย้ำว่า “สิทธิชุมชนต้องมาก่อนเมกะโปรเจกต์” พร้อมระบุเจตจำนงของประชาชนคนตัวเล็กตัวน้อยทั่วประเทศ ว่า ต้องการการพัฒนาที่ยั่งยืน บนพื้นฐานของสิ่งแวดล้อมที่ดีและสิทธิของชุมชนอย่างแท้จริง ไม่ใช่การพัฒนาเพื่อผลประโยชน์ของทุนขนาดใหญ่ไม่กี่กลุ่ม หากแต่เป็นการพัฒนาที่ต้องเคารพต่อสิทธิของประชาชน และไม่ทำลายทรัพยากรธรรมชาติซึ่งเป็นรากฐานของชีวิตชุมชน
แถลงการณ์ ย้ำว่า ประเทศไทยกำลังเผชิญกับปัญหาสิ่งแวดล้อมเชิงโครงสร้างที่สะสมมาอย่างยาวนานและทวีความรุนแรงขึ้น ซึ่งมีรากเหง้ามาจากนโยบายและโครงการพัฒนาที่เน้นการเติบโตทางเศรษฐกิจโดยไม่คำนึงถึงผลกระทบต่อระบบนิเวศและสิทธิของชุมชนท้องถิ่น จากการสำรวจและติดตามของภาคประชาชน พบว่าในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ ประชาชนต้องต่อสู้กับการสูญเสียทรัพยากร น้ำ ป่า ที่ดิน และแม่น้ำอันเป็นแหล่งยังชีพของตน ปัญหาเหล่านี้ไม่ได้เป็นเหตุการณ์เฉพาะจุด หากแต่เป็นปรากฏการณ์เชิงโครงสร้างที่สะท้อนถึงความไม่เป็นธรรมในการจัดการทรัพยากรของรัฐ อาทิ
- วิกฤตแม่น้ำกก จังหวัดเชียงราย ที่พบสารหนูและตะกั่วในแม่น้ำเกินมาตรฐาน ส่งผลกระทบต่อสัตว์น้ำและชุมชนต้นน้ำ ปัญหาโยงถึงกิจกรรมเหมืองทองในรัฐฉาน ประเทศเมียนมา แสดงถึงมลพิษข้ามพรมแดน ที่ยังไร้มาตรการร่วมกันในการจัดการ
- SEC ภาคใต้ (Southern Economic Corridor) โครงการพัฒนาขนาดใหญ่ที่คุกคามพื้นที่เกษตรและชายฝั่ง กดทับสิทธิชุมชนในนามของเศรษฐกิจพิเศษ โดยปราศจากการฟังเสียงประชาชนและการประเมินสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นธรรม
- เหมืองโปแตช ด่านขุนทด จังหวัดนครราชสีมา ชุมชนในพื้นที่คัดค้านโครงการอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากปัญหาความเค็มของน้ำและดินที่ทำให้ไร่นาเสียหาย บ้านเรือนผุพัง และคุณภาพชีวิตของชาวบ้านลดลงทำลายวิถีเกษตรกรรมและทรัพยากรของชุมชนดั้งเดิม
- การผลักดันและสร้าง “เขื่อน” บนแม่น้ำสายหลัก ทั้งที่มีการสร้างและเสนอสร้างเขื่อนในแม่น้ำโขง เช่นเขื่อนไซยะบุรีและเขื่อนหลวงพระบาง รวมถึงเขื่อนบ้านกุ่มและเขื่อนภูงอย โครงการเหล่านี้ล้วนส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศ ปลาอพยพ และชุมชนริมฝั่งน้ำอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ประชาชนพึ่งพาทรัพยากรน้ำเพื่อยังชีพมาอย่างยาวนาน
- การละเมิดสิทธิในพื้นที่ป่าชุมชน โดยนโยบายทวงคืนผืนป่าในปี 2557 ซึ่งกลายเป็นเครื่องมือจับกุมคนจนที่อาศัยป่าอย่างยั่งยืน ขณะที่ทุนใหญ่กลับได้รับสิทธิสัมปทานในป่าดังกล่าว
เมื่อพิจารณาจากปัญหาต่าง ๆ จะเห็นได้ว่าโครงสร้างนโยบายการจัดการสิ่งแวดล้อมของไทยในปัจจุบัน ยังคงขาดการมีส่วนร่วมจากประชาชนอย่างแท้จริง และมักให้น้ำหนักกับการเติบโตทางเศรษฐกิจเหนือความยั่งยืนของชีวิตผู้คนและทรัพยากรธรรมชาติ
พีมูฟ จึงขอเสนอแนวทางที่เป็นรูปธรรม เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายและการบริหารจัดการอย่างยั่งยืนและเป็นธรรม
- ยุติการผลักดันโครงการเขื่อนและโครงสร้างขนาดใหญ่ โดยเฉพาะในแม่น้ำสายหลัก และทบทวนทุกโครงการที่ขาดความ
โปร่งใส ให้ประชาชนมีสิทธิกำหนดอนาคตลุ่มน้ำของตนเอง ผ่านกระบวนการที่เป็นธรรม โปร่งใส และมีส่วนร่วม - ผลักดันกลไกความร่วมมือระหว่างประเทศ เพื่อปกป้องทรัพยากรข้ามพรมแดน โดยเฉพาะในลุ่มน้ำโขง
- หยุดละเมิดสิทธิชุมชนในพื้นที่ป่า ที่ดิน และลุ่มน้ำ โดยเร่งผลักดันกฎหมายนิรโทษกรรมคดีป่าไม้ที่ดิน
- สนับสนุนการจัดการทรัพยากรโดยชุมชน ซึ่งเป็นรูปธรรมของการพัฒนาที่ยั่งยืนจากฐานราก
“ในวันสิ่งแวดล้อมโลกปีนี้ เราขอย้ำว่า “สิ่งแวดล้อมไม่ใช่แค่เรื่องต้นไม้ ที่ดิน ภูเขา แม่น้ำลำธาร แต่คือเรื่องชีวิตของคน” ความยั่งยืนที่แท้จริงจะเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อมีความเป็นธรรมเป็นรากฐานของการพัฒนา ขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (พีมูฟ) จึงขอยืนหยัดเคียงข้างทุกการต่อสู้เพื่อสิ่งแวดล้อม และสิทธิ ของประชาชนในทุกภูมิภาคของประเทศ”