เปิดมุมมอง Active Environment ไอเดียสร้างสมดุลนิเวศเมืองเพื่อสุขภาวะที่ดีของผู้คน รู้จัก City Lab ข้ามทุกข้อจำกัด ออกแบบเมืองเดินได้เดินดี เศรษฐกิจดี เคลื่อนเมืองด้วยแนวคิด “บวร” และการอยู่ร่วมมนุษย์-สิ่งแวดล้อม
วันนี้ (22 มี.ค. 2568) Active City Forum จัดเวทีเสวนา “สมดุลนิเวศเมือง เพื่อโอกาสการมีสุขภาพดีสำหรับทุกคน” โดยมีผู้เชี่ยวชาญร่วมนำเสนอแนวทางออกแบบเพื่อโอกาสการมีสุขภาพดีสำหรับทุกคนและเท่าเทียม การส่งเสริมกิจกรรมทางกายและสุขภาวะในพื้นที่สาธารณะ การออกแบบเมืองให้กระฉับกระเฉง การสร้างพื้นที่ชุมชนเพื่อสุขภาพ และการสร้างสมดุลระหว่างเมืองและธรรมชาติ

City Lab บทเรียนการสร้างเมืองสุขภาวะ
รศ.พนิต ภู่จินดา ผู้อำนวยการศูนย์สร้างเสริมสุขภาวะเมือง (HSF) กล่าวว่า สิ่งที่กำลังทำอยู่คือการสร้างพื้นที่สุขภาวะเมือง ด้วยความประหยัด รวดเร็ว เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และสำหรับทุกคน โจทย์ที่ได้รับจาก สสส. และทำงานมาเป็นเวลา 10 ปี จะเห็นว่า สสส. เชื่อในนักออกแบบ เนื่องจากพื้นที่เมืองมีพื้นที่จำกัด และหากปล่อยให้เป็นไปตามกลไกตลาดเพียงอย่างเดียว ก็จะเกิดสิ่งที่ไม่ควรจะเกิด เช่น ย่านของคนรวยที่มีโครงสร้างพื้นฐานที่ดีมีสวนสาธารณะอยู่ในหมู่บ้านจัดสรรของตัวเอง ขณะที่ย่านชุมชนแออัด กลุ่มคนชนชั้นกลาง ขอแค่มีที่อยู่อาศัยและมีโครงสร้างพื้นฐานให้เพียงพอก็ลำบากแล้ว ซึ่งสิ่งเหล่านี้สามารถแก้ไขด้วยการออกแบบเมืองที่ดี ดังนั้นเมืองที่ดีที่ควรเกิดขึ้นในอนาคต (ซึ่งหลายประเทศเป็นแล้ว) คือ การให้คนได้ออกมาใช้พื้นที่สาธารณะ โดยไม่จำเป็นต้องมีสวนอยู่ในรั้วบ้านของตัวเอง โดยกระบวนการที่ทำคือก่อนจะสร้างเมืองสุขภาวะได้ไปพูดคุยกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ว่าจะช่วยพัฒนาพื้นที่สุขภาวะ ได้รับคำตอบว่า “ไม่เอาเพราะเพียงแค่ โครงสร้างพื้นฐาน ถนน ไฟฟ้า ให้เพียงพอก็ลำบากแล้ว คือการจากมีพื้นที่สุขภาวะ ไม่ใช่เรื่องพื้นฐานของเมืองที่ลำบากอยู่แล้วควรมี”

รศ.พนิต ชี้ว่า องค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่า ผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ ควรมีกิจกรรมทางกายระดับปานกลางอย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์ หรือ กิจกรรมทางกายหนักอย่างน้อย 75 นาทีต่อสัปดาห์ ส่วนในวัยเด็กควรจะมีกิจกรรมทางกายในระดับปานกลางถึงหนักมากสะสมอย่างน้อย 60 นาทีต่อวัน ไม่ว่าจะยากดีมีจนก็ควรจะสามารถทำได้ตามเกณฑ์มาตรฐานนี้ แต่จากการทำงาน และได้ข้อค้นพบว่า
- พื้นที่สุขภาวะไม่จำเป็นต้องเป็นพื้นที่สีเขียว
- ไม่จำเป็นต้องเป็นพื้นที่ของรัฐ
- ไม่จำเป็นต้องเป็นพื้นที่เดิม 24 ชั่วโมง
- ไม่จำเป็นต้องมีพื้นที่ขนาดใหญ่
- ต้องเดินทางไปง่าย ใกล้บ้าน
- เป็นพื้นที่สำหรับคนทุกกลุ่ม
รศ.พนิต ได้ยกต้นแบบพื้นที่ ที่ได้ทำการทดลองสร้างพื้นที่สุขภาวะ เช่น “ศาลากลาง จ.พัทลุง” ที่ เปลี่ยนลานจอดรถในตอนเย็นที่เจ้าหน้าที่เดินทางกลับบ้านแล้วให้กลายเป็นสนามแบดมินตัน หรือ “ทางเท้าบนถนนสีลม” ที่ได้รับรางวัลระดับนานาชาติ ที่เปลี่ยนทางเท้าให้เป็นพื้นที่กิจกรรมในเมือง ”City Lab สระบุรี“ ที่ทำการขีดสีตีเส้นพื้นที่คอนกรีตให้กลายเป็นสนามเด็กเล่นสาธารณะ “City lab ชัยนาท” ลานมีสุข พื้นที่สาธารณะใกล้บ้าน ที่เด็กเยาวชนและศิลปินในชุมชนเป็นคนร่วมสร้างพื้นที่สุขภาวะ สิ่งที่ได้กลับมา คุ้มค่า เพราะเกิดความรู้สึกผูกพัน เกิดความรู้สึกเป็นเจ้าของ “City Lab เชียงราย” พื้นที่สร้างสรรค์ และเรียนรู้ เล่น เต้น รำ ที่ชวนเด็ก ๆ ที่นั่งรอรถหลังเลิกเรียนมาทำกิจกรรม มีกิจกรรมเต้น มีการทำกิจกรรมที่เหมาะสม “City Lab ป่าตอง” กับกิจกรรม แล เล่น รักษ์เล บนพื้นที่สาธารณะริมหาดที่สร้างสรรค์และใส่ใจสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ทำให้เด็กที่มาจากครอบครัวที่มีความหลากหลายได้มาพบกัน
“สิ่งที่เราค้นพบจากการที่เราทำมาทั้งหมดคือแค่-สี่ตีเส้นก็สนุกได้ อย่างที่สองคือมีอะไรลงไปวางแล้วเขาเกิดการใช้งานได้ ไม่ว่าจะเป็น โต๊ะหมากรุก ม้านั่ง สุดท้ายแล้วมันจะเกิดกลุ่มการใช้งานขึ้นมาเองที่จะมีความน่าดึงดูด และน่าใช้มากขึ้น สามจัดอีเวนท์พื้นที่เมือง เพื่อให้ทุกคนสามารถออกมาปล่อยของ แสดง หรืออยากทำกิจกรรมภายในกลุ่มของเขาอย่างไรต้องมีพื้นที่รองรับ สุดท้ายพื้นที่ในเมืองมีพื้นที่แบบนี้หมดแต่เรามองไม่เห็น ผมเชื่อว่ามันมี ทำได้ รวดเร็วไม่ได้ยากอะไร เพียงแต่ต้องมีวิสัยทัศน์ที่ถูกต้องนั่นเอง”
รศ.พนิต ภู่จินดา
เมืองไหนเดินไม่ได้ เดินไม่ดี อนาคตไม่มี
รศ.นิรมล เสรีสกุล ผู้อำนวยการศูนย์ออกแบบและพัฒนาเมือง ศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านยุทธศาสตร์เมือง คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาฯ (UDDC-CEUS) กล่าวถึง การออกแบบเมืองกระฉับกระเฉง โดยกล่าวถึงโครงการ WALKSPACE: Shaping Bangkok’s Future ว่า “เมืองไหนเดินไม่ได้ เดินไม่ดี อนาคตไม่มี” โดยที่ผ่านมาได้ทำงานร่วมกับทั้งภาครัฐและภาคเอกชนในการเดินหน้าพัฒนาเมือง โดยเฉพาะกับกรุงเทพมหานคร

รศ.นิรมล กล่าวว่า พื้นฐานของการมีเมืองสุขภาวะ คือ “การเดิน” หากคนเราสามารถเดินได้ 150 นาทีต่อสัปดาห์ หรือ 30 นาทีต่อวัน WHO บอกว่า เราจะมีสุขภาพดีและลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคอ้วนได้ ซึ่งโครงสร้างของเมืองส่งผลกับการมีสุขภาวะที่ดีของผู้คน ซึ่ง รศ.นิรมล ชี้ว่า สนใจเรื่องของการเดิน เนื่องจากสิ่งที่กำหนดโครงสร้างของเมืองคือการเดินทางของผู้คน เนื่องจาก คนเดินได้ดีก็จะสุขภาพดี
“ถ้าเราอาศัยอยู่ในย่าน ที่สามารถเดินไปไหนก็ได้ มีพื้นที่สวยงาม เราสามารถลดโอกาส การเป็นโรคอ้วนได้ถึง 10% หากเดินได้เท้าก็จะไม่ทิ้งคาร์บอน และจากไมล์แรกถึงไมล์สุดท้าย จากบ้านถึงที่ทำงานหรือโรงเรียน ก็ไม่ต้องใช้เงิน นี่เป็นโจทย์สำคัญในนโยบายของกรุงเทพมหานคร ที่พยายามดำเนินการอยู่”
รศ.นิรมล กล่าวว่า ในย่านที่สามารถเดินได้จะลดการเกิดอาชญากรรมที่มีประสิทธิภาพมากกว่าการลาดตระเวนของตำรวจ เมืองที่เดินได้จะต้องมีทางเลือกให้เราเป็นคนแก่แบบที่เราอยากเป็น เนื่องจากคนเราจะแก่ไปเป็นอย่างไรมาจากพันธุกรรมเพียง 25% แต่ที่เหลือเหลืออีก 75% มาจากการที่คุณใช้ชีวิตอย่างไรและอยู่อาศัยอย่างไร
#เมืองเดินได้ ร้านขายดี
รศ.นิรมล ระบุว่า ในเมืองที่เดินเท้าจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ในขณะที่เมืองที่ใช้รถจะมั่งคั่งเฉพาะพื้นที่ที่มีที่จอดรถเท่านั้น โดยยกตัวอย่าง ปารีส ร้านค้าปลีก ยอดขายติดอันดับของโลก เปิดที่ไหนคนก็ไปซื้อเนื่องจากว่าเป็นเมืองที่เดินถึง ที่สำคัญยังสามารถเปิดได้2-3รุ่นอายุ หมายความว่าร้านของเขาสามารถอยู่ยืนยาวได้ ซึ่งประเทศไทยเองเศรษฐกิจพึ่งพาการท่องเที่ยว ซึ่งนักท่องเที่ยวไม่ได้ขับรถดูเมืองแต่เดินดูเมือง ดังนั้นการเดินจึงสำคัญ
รศ.นิรมล เผยว่า จากการสำรวจจุดหมายปลายทางของการเดินเท้าอยู่ในระยะหรือเท้าถึง 500-800 เมตร ที่คนกรุงเทพยอมเดิน ซึ่งเป็นคนละเรื่องกับเดินดี เพราะเดินดีคือความน่าเดิน ประกอบด้วย เดินสะดวก ทางเท้าเชื่อมต่อกันเป็นโครงข่าย มีความกว้างเพียงพอ ไม่มีสิ่งกีดขวาง โครงสร้างป้องกันอากาศที่เลวร้าย เดินปลอดภัย มีแสงสว่างเพียงพอ รื่นรมย์
นอกจากนี้ยังมีการเปรียบเทียบข้อมูลประชากรที่มีผู้สูงอายุในเขตต่างๆ กับพื้นที่ที่เดินได้ เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการวางยุทธศาสตร์เมืองเพื่อเตรียมพร้อมต่อการรับมือผู้สูงวัย โดยมีการทำแบบจำลองนี้ขึ้นมา 33 เมือง ด้วยงบประมาณของ สสส. ซึ่งขณะนี้ได้มีการขยายโอกาสเพิ่มขีดความสามารถในการเดินในเมืองรอง
“เมืองเดินได้เดินดี ไม่ใช่แค่การปรับปรุงภูมิทัศน์ทางเท้า แต่เป็นยุทธศาสตร์การพัฒนาเมืองที่มีเบื้องหลัง ให้เกิดการปรับโครงสร้างเมือง จากความท้าทายอันหลากหลาย ทั้งสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ สังคม การส่งเสริมสุขภาวะ การเตรียมพร้อมรับมือการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ และสังคมผู้สูงอายุ”
รศ.นิรมล เสรีสกุล

สร้างพื้นที่ชุมชน เพื่อสุขภาพ
ยิ่งยง ปุณโณปถัมภ์ กรรมการผู้จัดการ สตูดิโอชุมชน บริษัทสถาปนิกชุมชนและสิ่งแวดล้อมอาศรมศิลป์ จำกัด กล่าวว่า สุขภาวะของผู้คน มีหลายมิติไม่ว่าจะเป็นทางด้านร่างกาย จิตใจ สังคม และปรัชญา ที่เชื่อมโยงกันเป็นองค์รวมอย่างสมดุล ซึ่งการจะทำให้ทุกอย่างสมดุลปัจจัย เรื่องสุขภาวะของเมืองมีส่วนสำคัญอย่างมาก ที่สำคัญสถานการณ์ปัจจุบัน พบว่า คนไทยป่วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) และเป็นสาเหตุการเสียชีวิตถึงร้อยละ 31.5 รวมทั้งเกิดความเหลื่อมล้ำ
ยิ่งยง ชี้ว่า การมีพื้นที่สุขภาวะใกล้ตัวจะเอื้อให้ประชาชนออกไปมีกิจกรรมทางกายที่เพิ่มขึ้น โดยยกตัวอย่างโครงการขับเคลื่อนพื้นที่สุขภาวะระดับย่าน-เมือง ด้วยแนวคิด “บวร” บวร ธนบุรี ซึ่งหลายคนอาจจะเคยได้ยินคำว่า บ้าน วัด โรงเรียน ซึ่งเป็นต้นทุนของสังคมไทย โดยมีจุดเริ่มต้นมาจากช่วงหลังสถานการณ์ โควิด-19 ระบาดเด็กไทยติดมือถือและมีกิจกรรมทางกายไม่เพียงพอ เพราะต้องเรียนรู้ผ่านทางออนไลน์ ร้อยละ 30 ซึ่งตามคำแนะนำของ WHO เด็กจะต้องมีช่วงเวลาทำกิจกรรมทางกายในระดับปานกลางหรือระดับหนักไม่ต่ำกว่าวันละ 60 นาที ซึ่งมากกว่าผู้ใหญ่ เขาถึงจะมีสุขภาพที่ดีได้ โดยมีแนวโน้มคือหากเด็กที่มีกิจกรรมทางกายน้อยมีแนวโน้มจะอ้วน เมื่อโตไปเป็นผู้ใหญ่ก็จะเกิดสุขภาวะที่ไม่ดีตามมา นอกจากนี้สิ่งสำคัญคือความรอบรู้ทางกาย จำเป็นต้องเสริมสร้างการเรียนรู้ด้านนี้ โดยการส่งเสริมให้มีกิจกรรมทางกายให้เกิดเป็นนิสัยหรือทักษะที่จะขยับร่างกายอย่างเพียงพอ เช่น พาเด็กลงพื้นที่ชุมชน หรือลงมือทำกิจกรรมต่างๆ เรียนรู้ร่วมกับคนในชุมชน
“ที่ย่านธนบุรีมีริมคลอง มีสิ่งที่น่าสนใจคือในอดีตการสัญจรจะเป็นผ่านทางคลองเปลี่ยนมาเป็นถนน แต่เราเห็นว่าในพื้นที่ยังมีศักยภาพเรื่องนี้อยู่ จึงพยายามดึงเด็กนักเรียนเข้าไปในพื้นที่ทำให้เขาได้เกิดการเรียนรู้ ขณะที่ชาวบ้านเองก็มีโอกาสที่จะขยับทางเศรษฐกิจตามไปด้วย”
ยิ่งยง ปุณโณปถัมภ์
โดยพื้นที่โครงการจะเป็นเขตจอมทอง เขตทุ่งครุ เขตบางขุนเทียน ได้เข้าไปพูดคุยกับโรงเรียน ว่ามีความสนใจที่จะทดลองทำกิจกรรมดังกล่าวร่วมกันหรือไม่ ซึ่งพบว่ามีโรงเรียนตอบรับจำนวนมาก โดยเริ่มจากการสำรวจศักยภาพพื้นที่ ซึ่งแต่ละเขตจะมีธีมของตัวเอง เช่น เขตจอมทอง จะมีวัดที่สามารถเดินถึงกัน มีรถไฟผ่าน อยู่ข้างคลอง และมีเอกลักษณ์ที่เป็นย่านชาวสวนริมคลองเก่า ซึ่งบ้านกับวัดมีความผูกพันกัน ขณะที่ เขตทุ่งครุ มีทั้งชาวพุทธ ชาวจีน มีศาลเจ้า มีชุมชนมุสลิม ก็มีโจทก์ที่ต้องไปเรียนรู้ว่าคน 3 ศาสนา อยู่ร่วมกันอย่างไร ซึ่งหากทำให้เด็กสามารถเรียนรู้เหล่านี้ได้ก็จะทำให้เขาเติบโตมาจากโลกที่เปิดกว้างมากขึ้น ได้เรียนรู้ความหลากหลายมากขึ้น ส่วน เขตบางขุนเทียน พื้นที่ถูกกัดเซาะ มีปัญหาเรื่องปลาหมอคางดำ ซึ่งการจัดกิจกรรมจะเป็นลักษณะ ให้พ่อแม่พาลูกเข้าไปทำกิจกรรมในชุมชนในช่วงวันหยุด ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดการ กระจายเรื่องเศรษฐกิจเข้าไปในชุมชน โดยกิจกรรมที่ทำขึ้นก็มีการพูดคุยกับครู เกิดเป็นคู่มือที่สามารถนำไปเรียนรู้ได้ ที่สำคัญการส่งเสริมกิจกรรมทางกายยังนำไปสู่ การเกิดความรู้ทักษะทัศนคติและการเข้าสังคมได้ ซึ่งขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการขยายผลนำคู่มือไปใช้กับโรงเรียนในสังกัดกรุงเทพมหานครต่อไป
การสร้างสมดุล ระหว่างเมือง-ธรรมชาติ
ศุภวุฒิ บุญมหาธนากร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ใจบ้านสตูดิโอ จำกัด กล่าวว่า เมื่อพูดถึงเมืองสุขภาวะสำหรับผู้คน จึงอยากขอกล่าวถึง มิติที่เล็กๆ แต่สำคัญ เมื่อพูดถึงถิ่นที่อยู่อาศัยนับจากวันนี้ถึงอนาคตก็คือสิ่ง มนุษย์ไม่ใช่ศูนย์กลาง แต่ยังมี สัตว์ พืช สิ่งมีชีวิตเป็นโลกคู่ขนาด โดยนำภาพตัวอย่างของสัตว์ที่จบชีวิตลงในเมือง เช่น นกบินชนกระจกที่สะท้อนพื้นที่สีเขียว นกเค้าโมง ที่หากินตอนกลางคืน ได้รับผลกระทบจากแสงสว่างที่คนเปิดเพื่อความปลอดภัย นกกระเต็นน้อยหลังดำ เป็นนกที่บินไว บินชนกระจก คือ ต้องการจะบอกว่าการ เมืองสร้างเพื่อ ให้มนุษย์มีสุขภาวะที่ดี แต่สิ่งสำคัญคือต้องไม่ลืมสิ่งอื่นที่อาศัยอยู่ร่วมกับเรา โดยจะกล่าวถึง 3 ประเด็นสำคัญ ได้แก่ 1. โลกทัศน์ของการอยู่ร่วม ที่มนุษย์ไม่ใช่ศูนย์กลาง 2. การออกแบบเพื่อฟื้นคืนนิเวศ และความสัมพันธ์ 3. เมืองในฐานะของห้องเรียนแห่งการเรียนรู้ การอ่านออกเขียนได้ในธรรมชาติ

เราจะแบ่งปันพื้นที่แวดล้อมอย่างไร ? ศุภวุฒิ ชวนทดลองดูตัวอย่างข้อมูล จาก National Card Index ที่แต่ละประเทศจำแนกพื้นที่ทั้งดินและทะเล ว่าจะสามารถสร้างพื้นที่เรานั้นขึ้นมาได้อย่างไร ซึ่งประเทศไทย มีพื้นที่ได้รับการอนุรักษ์ปกป้องเพื่อให้สัตว์อยู่อย่างสบาย เช่นเขตอนุรักษ์พันธุ์สัตว์ป่า เขตอุทยาน 19% สิ่งที่ต้องการคือ 16% เอาไว้สำหรับเป็นพื้นที่เพื่อความหลากหลาย
“ชวนลองคิดเล่นเล่นว่าอีก 16% เราจะเพิ่มจากไหนบางคนอาจจะคิดว่าขยายป่าเพิ่มขึ้น ทำเขตอนุรักษ์พันธุ์สัตว์ป่าเพิ่มเพิ่มขึ้น แต่นั่นมันจะต้องมีข้อขัดแย้งกับชุมชน แต่จะบอกว่าพื้นที่เมืองก็สามารถมีส่วนร่วมได้ในการเพิ่มพื้นที่ของความหลากหลาย”
ศุภวุฒิ บุญมหาธนากร
ศุภวุฒิ ยกตัวอย่างสำนักงานที่จังหวัดเชียงใหม่ ได้ใช้พื้นที่ดินโดยแบ่งพื้นที่ครึ่งหนึ่งให้สิ่งมีชีวิตสัตว์ได้อยู่ร่วม โดยใช้พืชพันธุ์พื้นถิ่น นำมาปลูกไว้ในพื้นที่ และทำการจดบันทึกว่าพบแมลงที่เข้ามาใช้นิเวศบริการกี่ชนิด ซึ่งพบว่าแมลงที่หายากก็เข้ามาในพื้นที่ รวมถึงนก ที่แวะเวียนมาในพื้นที่หน้าสำนักงาน และน่าสนใจคือนกหลายชนิดที่พบเป็นนกป่า ที่อยู่ในดอยสุเทพ เนื่องจากมีช่วงที่ไฟไหม้ป่าดอยสุเทพแหล่งอาหารแหล่งน้ำก็หายไป พื้นที่หน้าสำนักงานก็กลายเป็นแหล่งรองรับ เมื่อพื้นที่ธรรมชาติเกิดวิกฤต