ไทย – ภูฏาน – สิงคโปร์ มุ่งสู่เมืองสุขภาวะ หยุด NCDs ที่ตัวเมือง

เริ่มแล้ว Active City Forum วันแรก! รวมกิจกรรมออกแบบเมืองช่วยกระตุ้นการเคลื่อนไหว เปิดวิสัยทัศน์ 3 เมือง กับเป้าหมายร่วม “พัฒนาเมืองที่เอื้อต่อสุขภาวะที่ดีของประชาชน” เน้นป้องกัน NCDs มากกว่ารักษา ผ่านการสร้างสภาพแวดล้อม สู่การเปลี่ยนพฤติกรรม ชี้ ต้องพึ่งนโยบายที่เหมาะสมสู่การออกแบบโครงสร้างพื้นฐานระดับเมือง

การพัฒนาเมืองที่เอื้อต่อการมีสุขภาพดีของประชาชนอย่างสร้างสรรค์และยั่งยืน เพื่อมุ่งแก้ปัญหาโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง หรือ NCDs (non-communicable diseases) ซึ่งกำลังเป็นปัญหาสุขภาพหลักในเขตเมือง เป็นเป้าหมายของงาน “Active City Forum: Activate City for Healthier Life ปลุกเมืองให้สุขภาพดี ด้วยเราทุกคน” จัดโดยองค์กรภาคีเครือข่าย นำโดย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับกลุ่ม we!park ผ่านการร่วมหาแนวทางการพัฒนาพื้นที่สาธารณะและสภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมให้ทุกคนมีสุขภาวะที่ดีผ่านการออกแบบเมือง

วันนี้ (21 มี.ค. 2568) ช่วงหนึ่งของงาน ในเวทีเสวนาหัวข้อ “ทิศทางนโยบายสู่เมืองสุขภาวะในอนาคต” นพ.ไพโรจน์ เสาน่วม รองผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เปิดประเด็นว่า ปัจจุบันคนไทยป่วยด้วยโรค NCDs (Non-Communicable Diseases) หรือโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ซึ่งเป็นสาเหตุของการเจ็บป่วยและเสียชีวิตถึง 74% โดยมีสาเหตุมาจากพฤติกรรมสุขภาพ เช่น การดื่มสุรา สูบบุหรี่ การบริโภคอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพ หรือการออกกำลังกายน้อย

“โรค NCDs อย่างโรคมะเร็งหรือโรคหัวใจใช้เงินมหาศาลในการรักษา…จะดีกว่านี้ไหมถ้าเรารู้สาเหตุ และปิดก๊อกน้ำก่อนที่มันจะเลอะ ก็จะไม่ต้องใช้ทรัพยากรในการรักษามากมาย เรื่องนี้จะจัดการไม่ยากเลย ถ้าเรารู้สาเหตุ” 

ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดโรค NCDs ในไทยรวมถึงบุหรี่ บุหรี่ไฟฟ้า แอลกอฮอล์ และล่าสุด WHO ได้เพิ่มมลพิษทางอากาศเข้ามาในรายการต้นตอของ NCDs ด้วย ทั้งนี้ หากสามารถจัดการกับสาเหตุเหล่านี้ได้ จะช่วยลดการเจ็บป่วยลงได้ถึง 74% และลดงบประมาณการรักษาไปได้อีกมหาศาล

นพ.ไพโรจน์ ชี้ให้เห็นว่า สภาพแวดล้อมเชิงกายภาพและระบบนโยบายของแต่ละเมือง ส่งผลต่อพฤติกรรมสุขภาพของผู้คน และเป็นปัจจัยหลักที่ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิด NDCs เหล่านี้ได้

“การใช้ชีวิตของเราถูกกำหนดโดยสภาพแวดล้อมเชิงกายภาพ ถึงเราอยากจะขยับเขยื้อนแต่มันไม่มีสวนและมัวแต่นั่งทำงาน หรือเราต้องกินอาหารบางอย่างเพราะมีให้เลือกเท่านี้ ถึงจะอยากกินผักแต่ไม่มีขาย หรือถึงมีก็ราคาแพง”

การพัฒนาเมืองให้เป็นพื้นที่สุขภาวะจึงต้องคำนึงถึงการมีพื้นที่สาธารณะที่ดี ปลอดเหล้า บุหรี่ มีสวนผักให้คนเมืองเข้าถึงได้ง่าย มีสถานที่พักผ่อน อากาศดี มลภาวะน้อย และมีทางเดินที่ปลอดภัย เพื่อลดอุบัติเหตุ

กรุงเทพฯ เมืองน่าอยู่สำหรับทุกคน

รศ.ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร นำเสนอวิสัยทัศน์ของเมืองกรุงเทพฯ คือ “Livable for All” หรือเมืองที่น่าอยู่สำหรับทุกคน ไม่ว่าจะเป็นเด็ก ผู้สูงอายุ หรือผู้มีรายได้น้อย โดยเน้นว่าสุขภาวะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะชี้วัดความสำเร็จในอนาคตของกรุงเทพฯ

“ในอนาคต เมืองกรุงเทพฯ จะใหญ่ขึ้นอีก แรงงานทางการเกษตรจะน้อยลง กรุงเทพฯ จะต้องหนาแน่นต่อไป…เราสามารถแบ่งชีวิตในเมืองออกเป็น 3 ส่วนได้ตามนิยามของฝรั่งเศส นั่นคือ métro boulot และ dodo คือเราเดินทางไปทำงาน เสร็จแล้วก็เดินทางกลับบ้านนอน เพราะฉะนั้น ถ้าสุขภาพจะแย่ก็ด้วยคุณภาพชีวิตในเมืองนี่แหละ”

กรุงเทพฯ กำลังเผชิญกับความท้าทายในเรื่องการเดินทางที่ใช้เวลานาน เนื่องจากคนถูกผลักออกไปอยู่นอกเมืองเพราะที่ดินมีราคาแพง แต่งานยังคงอยู่ในเมือง ทำให้ไม่มีเวลาดูแลสุขภาพตัวเอง

ผู้ว่าฯ ชัชชาติ เปรียบเทียบระบบสุขภาพในเมืองกับเส้นเลือด โดยตัวอย่างของเส้นเลือดใหญ่คือโรงพยาบาลระดับโลกใจกลางเมือง และเส้นเลือดฝอยก็เหมือนศูนย์บริการสาธารณสุขและอนามัยใกล้บ้าน

“ถ้าอนามัยหน้าบ้านไม่เข้มแข็ง คนทุกคนวิ่งไปโรงพยาบาลใหญ่ โรงพยาบาลก็รับไม่ไหว เราเลยต้องพัฒนาเส้นเลือดฝอยให้เข้มแข็ง”

แนวทางการพัฒนากรุงเทพฯ ให้เป็นเมืองสุขภาวะก็ใช้แนวทางในการกระจายระบบสาธารณูปโภคให้ทุกคนเข้าถึงได้ เปรียบเหมือนการทำเส้นเลือดฝอยให้แข็งแรง ให้ทุกคนเข้าถึงสุขภาวะที่ดีได้อย่างเท่าเทียมกัน ยกตัวอย่างได้ด้วยโครงการ เช่น การพัฒนาสวนสาธารณะ 15 นาทีจากที่อยู่อาศัย การให้บริการตู้กดน้ำดื่มฟรี และการปรับพื้นที่รกร้างให้เป็นสวนสาธารณะและลานกีฬา

ผู้ว่าฯ ชัชชาติ ยังเน้นย้ำถึงความสำคัญของความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน ในการสร้างพื้นที่สุขภาวะ

“สุดท้าย มันเป็นระบบนิเวศที่ประชาชน ภาครัฐ และเอกชน ต้องมาร่วมกันสร้างพื้นที่สุขภาวะ”

“Gelephu Mindfulness City” เมืองแห่งสติชายแดนภูฏาน เพื่อความเป็นอยู่ที่ดีแบบองค์รวม

Dasho Dr. Lotay Tshering อดีตนายกรัฐมนตรีภูฏาน ปัจจุบันผู้ว่าการ Gelephu Mindfulness City นำเสนอแนวคิดเมืองแห่งสติที่กำลังพัฒนาในภูฏาน

Dr. Lotay อธิบายถึงประวัติความเป็นมาของภูฏาน ว่าเป็นประเทศที่ให้ความสำคัญกับความสุขและความเป็นอยู่ที่ดีมากว่าร้อยปี เป็นประเทศที่มีการริเริ่ม “วันแห่งความสุขสากล” และมีแนวคิดให้ความสำคัญกับ “ความสุขมวลรวมประชาชาติ” (Gross National Happiness) มากกว่าดัชนี GDP ของประเทศ

โครงการ Gelephu Mindfulness City (GMC) เป็นโครงการพัฒนาเมืองใหม่ที่มีขนาด 1.5 เท่าของกรุงเทพฯ ภายใต้แนวคิด “Self-Administered Region” (SAR) หรือภูมิภาคปกครองตนเอง ซึ่งมีอิสระในการบริหารจัดการส่วนกลางโดยสิ้นเชิง แต่ยังคงเป็นส่วนหนึ่งของประเทศภูฏาน

“GMC จะกลายเป็นเมืองต้นแบบที่เน้นการอนุรักษ์ธรรมชาติและจิตใจ โดย 90% ของพื้นที่เป็นพื้นที่สีเขียวอยู่ตอนนี้ และเราจะรักษาพื้นที่ป่าไว้ที่ 80% ตลอดไป”

Dr. Lotay กล่าว

นโยบายเรื่องเมืองด้านสุขภาวะที่โดดเด่นของ GMC ได้แก่:

  • เป็นเมืองที่จะกำหนดให้มีอาคารสูงไม่เกินประมาณ​ 5 – 6 ชั้น ตามกรอบ Low-rise, Low-density หรืออาคารเตี้ย และไม่หนาแน่น
  • ออกแบบให้โครงสร้างเมืองมีความคล้ายกับหมู่บ้านมากกว่าเมือง
  • เป็นเมืองมีการปล่อยคาร์บอนเป็นลบ (Carbon Negative) โดยคำนวณการปล่อยคาร์บอนละเอียดถึงวัสดุที่ใช้ก่อสร้างอาคาร
  • เน้นการเลือกใช้วัสดุที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และมอบความสงบให้ผู้อยู่อาศัยตามหลักศาสนาพุทธ

Dr. Lotay ยังเน้นย้ำถึงหลักการสำคัญของเมืองสุขภาวะ ไม่เพียงแต่เมืองที่ต้องเปลี่ยนไป แต่คนในเมืองก็ต้องเปลี่ยนวิธีคิดและวิถีชีวิตไปพร้อม ๆ กันด้วย โดยเปรียบเหมือนอาหารสองประเภท

“มนุษย์ทุกคนมีอาหารสองประเภท คือ อาหารที่เรารักที่จะกิน และอาหารที่เราควรกิน เราควรรู้และเปลี่ยนไปกินอาหารที่ควรกิน เพื่อสุขภาพที่ดีขึ้น มีประสิทธิภาพมากขึ้น และอายุยืนยาวขึ้น”

สิงคโปร์: เมืองแห่งสวน เมืองในสวน สู่เมืองในธรรมชาติ

Eugene Lau ผู้อำนวยการด้านสถาปัตยกรรมและการออกแบบเมือง หน่วยงานพัฒนาเมืองสิงคโปร์ (URA) นำเสนอแนวทางการพัฒนาเมืองสีเขียวของสิงคโปร์ ภายใต้แผนยุทธศาสตร์ Green Plan 2030 โดยสิงคโปร์ถือเป็นต้นแบบของการพัฒนาเมืองสีเขียว ภายใต้ข้อจำกัดทั้งเรื่องพื้นที่ขนาดเล็ก และระบบของเมืองที่ปกครองตัวเอง (city-state)

“สิงคโปร์ไม่ใช่เมืองใหญ่ มีขนาดเพียงครึ่งหนึ่งของกรุงเทพฯ เราอยู่ในสถานการณ์ที่ท้าทาย มีพื้นที่น้อย และต้องวางแผนทั้งความต้องการของเมือง อย่างเรื่องที่อยู่อาศัยและพาณิชยกรรม และความต้องการของประเทศอย่างทหารหรือท่าเรือ”

แนวทางการพัฒนาพื้นที่สีเขียวและสุขภาพของสิงคโปร์มี 3 ประเด็นหลัก:

  1. การเสริมสร้างสุขภาพกายและใจผ่านโครงสร้างพื้นฐานสีเขียว เช่น สวนสาธารณะ และทางเชื่อมต่อ รวมถึงสวนเพื่อการบำบัด (Therapeutic Gardens) เพื่อสุขภาพจิตที่ดี
  2. อากาศบริสุทธิ์: โครงสร้างพื้นฐานสีเขียวทำหน้าที่ช่วยกรองมลพิษได้ โดยมีโครงการมุ่งเป้าปลูกต้นไม้ 1 ล้านต้นเหมือนเมืองกรุงเทพฯ ตั้งแต่ปี 2020
  3. โครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน อาคาร ผ่านนโยบายต่าง ๆ

สิงคโปร์มีการพัฒนาแนวคิดจาก “เมืองแห่งสวน” (Garden City) สู่ “เมืองที่อยู่ในสวน” (City in Garden) และปัจจุบันคือ “เมืองที่อยู่ในธรรมชาติ” (City in Nature) ซึ่งเน้นการอยู่ร่วมกับธรรมชาติมากขึ้น

“เรามีความท้าทายในฐานะศูนย์กลางเศรษฐกิจและโลจิสติกส์ แต่เราไม่สามารถลืมพื้นที่สีเขียวและมองแต่ GDP ไม่ว่าคุณจะรวยหรือจน คุณต้องเข้าถึงสวนสาธารณะได้” Eugene กล่าว

โครงการสำคัญในการเพิ่มพื้นที่สีเขียวของสิงคโปร์ ได้แก่:

  • Park Connectors: เส้นทางเชื่อมต่อระหว่างสวนสาธารณะ ให้แน่ใจว่าทุกคนในสิงคโปร์อยู่ใกล้กับสวนไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน
  • ตัวอย่างการปรับเปลี่ยนคลองคอนกรีตให้เป็นแม่น้ำธรรมชาติ นำระบบนิเวศและสัตว์กลับคืนมา
  • Rail Corridor: การปรับเปลี่ยนทางรถไฟเก่าให้เป็นทางเดินธรรมชาติยาว 25 กิโลเมตร
  • ถนนสีเขียว: สร้างภาพลักษณ์เมืองธรรมชาติด้วยต้นไม้ที่หนาแน่นริมถนนตั้งแต่ออกจากประตูสนามบินชางงี
  • Marina Barrage: พื้นที่สาธารณะใกล้ Marina Bay Sands ที่ช่วยควบคุมระดับน้ำในช่วงที่เกิดน้ำท่วมและสามารถเป็นพื้นที่พักผ่อนสำหรับทุกคน
  • Gardens by the Bay: สวนขนาดใหญ่ใจกลางเมือง จุดดึงดูดนักท่องเที่ยวทั่วโลกด้วยธรรมชาติ
  • นโยบาย LUSH (Landscaping for Urban Spaces and High-Rises): กำหนดให้อาคารต้องมีการออกแบบที่รวมพื้นที่สีเขียวเข้าไปด้วย รวมถึงสวนบนหลังคา เป็นพื้นที่พักผ่อนสวยงามของผู้อยู่อาศัยทุกคน

“การเปลี่ยนโครงสร้างเมืองเป็นการเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ใหม่ โดยปกติแล้วสนามเด็กเล่นมักจะดีใช่ไหม แต่บางคนก็จะบอกคิดถึงเครื่องออกกำลังกายที่ต้องเอาออกไปเพื่อสนามเด็กเล่น แล้วให้ผมไปที่ไหนแทน”

“มันเป็นการแลกเปลี่ยนกัน เพราะฉะนั้นก็ต้องพึ่งพาความเคารพกัน ให้เกียรติกันในสังคม แม้ว่าจะมีความต้องการเรื่องพื้นที่เปิดสาธารณะแตกต่างกัน”

3 เมือง 1 เป้าหมาย: เมืองแห่งสุขภาวะ เพื่อสุขภาวะ

แม้จะมีบริบทและวิธีการที่แตกต่างกัน แต่ทั้ง 3 ประเทศมีเป้าหมายร่วมกันคือการพัฒนาเมืองที่เอื้อต่อสุขภาวะที่ดีของประชาชน ด้วยการเน้นการป้องกัน NDCs มากกว่าการรักษา ผ่านการสร้างสภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมสุขภาพ ที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของประชาชน ทั้งหมดนี้ต้องพึ่งพานโยบายที่เหมาะสมที่จะนำไปสู่การออกแบบโครงสร้างพื้นฐาน

การเรียนรู้จากประสบการณ์ของทั้งสามประเทศจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการพัฒนาเมืองสุขภาวะที่ยั่งยืนและครอบคลุมสำหรับทุกคนในอนาคต

สำหรับงาน “Active City Forum: Activate City for Healthier Life ปลุกเมืองให้สุขภาพดี ด้วยเราทุกคน” จัดขึ้นระหว่างวันที่ 21-23 มี.ค. 2568 ที่ EMSPHERE, Em Glass & Em Yard (ชั้น G) โดย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับกลุ่ม we!park และภาคีเครือข่าย เพื่อสร้างพื้นที่แห่งการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้เรื่องเมืองสุขภาวะ ประกอบด้วยงานทอล์ก บูธแสดงผลงาน และเวิร์กชอปแลกเปลี่ยนความคิดเพื่อผลักดันให้เกิดข้อเสนอเชิงนโยบายในการพัฒนาพื้นที่สุขภาวะ

เข้าร่วมฟรี! ไม่เสียค่าใช้จ่าย ดูรายละเอียดกิจกรรมทั้งหมด ได้ที่ We Park และ Policy Watch

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active