BIGTrees ชวนคนเมือง สำรวจสวนใจกลางเมือง มอง – ดม – ชิม – สัมผัสธรรมชาติ ย้ำระบบนิเวศหลากหลายเป็นเรื่องสำคัญใกล้ตัว เด็กจะรักธรรมชาติได้ ต้องให้เขาได้เห็นความสำคัญก่อน
วันนี้ (23 มี.ค. 68) BIGTrees ร่วมกับ Active City Forum จัดกิจกรรม Biodiversity survey: เปิดผัสสะรับรู้ทั้ง 5 ช่องทาง ผ่านธรรมชาติรอบตัว ชวนคนเมืองสำรวจความหลากหลายทางชีวภาพในสวนเบญจสิริ เพื่อสร้างการตระหนักรู้ถึงความสำคัญของระบบนิเวศในเมือง ที่ไม่ได้มีแค่มนุษย์อาศัย แต่เต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตอีกมาก ที่ต้องอาศัยการออกแบบและการพัฒนาเมืองที่คำนึงถึงผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมอย่างรอบด้าน
นัยนา พรมอุดม รุกขกร และนักสื่อสารธรรมชาติจากกลุ่ม BIGTrees เน้นย้ำถึงความสำคัญของต้นไม้ใหญ่และความหลากหลายทางชีวภาพในเมือง โดยระบุว่า ทั้งสองสิ่งมีความเชื่อมโยงกันอย่างแน่นแฟ้น หากต้นไม้และพื้นที่สีเขียวมีคุณภาพดี ย่อมเอื้อต่อการอยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตหลากหลายชนิด ซึ่งช่วยสร้างสมดุลทางระบบนิเวศ

โดยกิจกรรม Biodiversity survey: เปิดผัสสะรับรู้ทั้ง 5 ช่องทางผ่านธรรมชาติรอบตัว ที่กลุ่ม BIGTrees ออกแบบ มุ่งเน้นให้ผู้เข้าร่วมได้ใช้ประสาทสัมผัสทั้ง 5 เพราะการเรียนรู้ที่เกิดจากการสัมผัส ดมกลิ่น และลิ้มรส จะช่วยให้เกิดความเข้าใจและจดจำได้ดีขึ้น นัยนายังเปรียบเทียบกับพฤติกรรมการบริโภคผักของเด็ก ๆ ในเมือง ที่มักรู้จักผักเพียงไม่กี่ชนิด เนื่องจากขาดโอกาสสัมผัสธรรมชาติ ต่างจากเด็กในชนบทที่มีโอกาสเห็นและเรียนรู้จากสภาพแวดล้อมโดยตรง
“การปลูกฝังให้คนเห็นคุณค่าของธรรมชาติสามารถเริ่มต้นได้จากจุดเล็ก ๆ เช่น การสังเกตสัตว์ป่าในเมือง การเห็นนกสายพันธุ์หายากเพียงตัวเดียว อาจเป็นจุดประกายให้เกิดความสนใจในการศึกษาธรรมชาติอย่างลึกซึ้งขึ้น”
นัยนา พรมอุดม
จำนวนพื้นที่สีเขียวที่อุดมไปด้วยความหลากหลายทางชีวภาพส่งผลกระทบต่อคุณภาพอากาศและสุขภาพของประชาชน โดยชี้ให้เห็นว่า พื้นที่สีเขียวสามารถช่วยลดมลพิษทางอากาศและเป็นแหล่งนันทนาการสำคัญ เช่น สวนรถไฟที่มีผู้คนมาสังเกตนกจำนวนมาก การดูนกไม่ใช่แค่กิจกรรมยามว่าง แต่ยังสะท้อนถึงบทบาทของนกในระบบนิเวศ เช่น นกกินแมลง นกช่วยผสมเกสร หรือแม้แต่นกกินปลา ทั้งหมดล้วนเป็นองค์ประกอบของระบบนิเวศที่สมดุล
อย่างไรก็ตาม กรุงเทพมหานคร ยังมีพื้นที่สีเขียวต่อประชากรอยู่น้อย ปัจจุบันอัตราพื้นที่สีเขียวต่อจำนวนประชากรในกรุงเทพมหานคร คือ 7.49 ตารางเมตร/คน และคาดว่าจะถึง 9 ตารางเมตร/คน ภายในปี 2030 ซึ่งเป็นตัวเลขตามคำแนะนำขององค์การอนามัยโลก ขณะที่ทั้งประเทศไทยมีพื้นที่สีเขียวเพียง 2.49 ตารางเมตร/คนเท่านั้น
“ส่วนตัวคิดว่า คนไม่ได้อยากห่างไกลจากธรรมชาติ เราเห็นได้จากจำนวนนักท่องเที่ยวที่เขาใหญ่ในวันหยุด ปัจจุบัน ธรรมชาติกลายเป็นทางเลือกสำคัญสำหรับการพักผ่อน หากกรุงเทพฯ มีพื้นที่สีเขียวที่เพียงพอและมีคุณภาพ ผู้คนคงออกมาใช้ชีวิตกลางแจ้งมากขึ้น”
นัยนา พรมอุดม

ในช่วง 5-10 ปีที่ผ่านมา นัยนา เห็นว่า กรุงเทพมหานคร มีความพยายามพัฒนาพื้นที่สีเขียวและดูแลต้นไม้ใหญ่มากขึ้น ซึ่งเป็นแนวโน้มที่ดีต่อคุณภาพชีวิตของประชาชน อย่างไรก็ตาม เธอเน้นว่านโยบายด้านสิ่งแวดล้อมควรได้รับการสนับสนุนจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วน รวมถึงเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องควรได้รับการอบรมให้เข้าใจระบบนิเวศอย่างลึกซึ้ง เพื่อให้สามารถวางแผนพัฒนาเมืองอย่างยั่งยืนต่อไป
เพราะเมืองใหญ่ ทำให้เด็กรุ่นใหม่ห่างไกลผัก
หนึ่งในผู้เข้าร่วมกิจกรรม เผยว่า ตัดสินใจเข้าร่วมเพราะต้องการเรียนรู้เกี่ยวกับความหลากหลายทางชีวภาพ และทำความเข้าใจว่าธรรมชาติมีความสำคัญต่อชีวิตคนเมืองอย่างไร โดยปกติแม้จะอาศัยอยู่ในเมือง แต่แทบไม่มีโอกาสได้สัมผัสหรือใกล้ชิดกับธรรมชาติแบบนี้มาก่อน กิจกรรมครั้งนี้จึงช่วยเปิดมุมมองใหม่ และทำให้ตระหนักว่าธรรมชาติไม่ได้อยู่ไกลตัวอย่างที่เคยคิด
หลายคนรู้สึกประทับใจที่ได้ใกล้ชิดธรรมชาติและเรียนรู้เกี่ยวกับระบบนิเวศรอบตัว เพราะปกติใช้ชีวิตในห้องและไม่ค่อยได้สัมผัสธรรมชาติ แต่มาร่วมกิจกรรมครั้งนี้ทำให้เปิดโลก ได้รู้จักพืชและสัตว์มากขึ้น เช่น การแยกแยะระหว่างเต่าบกและเต่าน้ำ รวมถึงการค้นพบว่า พืชบางชนิดสามารถรับประทานได้ หลายคนสะท้อนว่า กิจกรรมทำให้ตระหนักถึงความสำคัญของพื้นที่สีเขียวในเมือง โดยเฉพาะเรื่องความหลากหลายทางชีวภาพ ซึ่งพวกเขาไม่เคยสังเกตมาก่อน การได้เห็นนกหายากหรือสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ ในสวนช่วยให้พวกเขามองธรรมชาติรอบตัวแตกต่างไปจากเดิม และอยากใช้เวลากลางแจ้งมากขึ้นแทนการอยู่แต่ในห้อง
“วิถีชีวิตแบบคนเมือง ทำให้เราและเด็กรุ่นใหม่ห่างไกลผักมากขึ้น ต้นทางของผักผลไม้
ก็มาจากซูเปอร์มาร์เก็ต เรารู้จักผักเท่าที่ห้างขาย แต่ถ้าเรามีสวนผักชุมชน
ให้คนมาแบ่งกัน น่าจะทำให้มีอาหารหลากหลาย และได้มีกิจกรรมทางกายมากขึ้น”

ผู้เข้าร่วมกิจกรรม ยังเสนอว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรส่งเสริมพื้นที่สีเขียวในเมืองให้มากขึ้น เพื่อให้ประชาชนได้มีโอกาสเข้าถึงและเชื่อมโยงกับธรรมชาติได้ง่ายขึ้น ซึ่งจะช่วยเปลี่ยนวิถีชีวิตคนเมืองให้มีความสมดุล และเข้าใจถึงความสำคัญของสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น
อีกหนึ่งประเด็นที่ถูกหยิบยกขึ้นมาคือ เด็กในยุคปัจจุบันอาจไม่คุ้นเคยกับพืชผัก เนื่องจากพวกเขาเติบโตมากับอาหารสำเร็จรูป มักพบเห็นแต่ในรูปแบบสำเร็จรูปในห้างสรรพสินค้า และขาดโอกาสเรียนรู้ถึงที่มาของอาหาร การใช้ชีวิตในเมืองอาจทำให้ห่างไกลจากความหลากหลาย ไม่เพียงแค่ในเชิงระบบนิเวศ แต่ยังรวมถึงความหลากหลายของอาหารที่บริโภคในชีวิตประจำวัน หากมีพื้นที่สำหรับปลูกผักสวนครัวในเมือง ก็อาจช่วยให้ผู้คนเข้าถึงอาหารสดและปลูกฝังความรู้เรื่องแหล่งที่มาของอาหารได้ง่ายขึ้น