บทเรียน ‘Hawker Center สิงคโปร์’ สู่ ความเป็นไปได้พัฒนาหาบเร่แผงลอยไทย

นักเคลื่อนไหวเพื่อวัฒนธรรม Hawker สิงคโปร์ ชี้ อาหารริมทางไทย วัฒนธรรมควรค่าอนุรักษ์ ระบุ ยึดสิงคโปร์เป็นโมเดลได้ แต่ต้องไม่ทั้งหมด แนะ หาจุดสมดุล ให้คนอยากขาย กับ กฎหมาย ย้ำ สิ่งที่ต้องจัดการ คือ คุ้มครองชีวิตผู้ค้า ดูแลค่าครองชีพ ความเป็นอยู่ พร้อมให้ทุกฝ่ายมีส่วนร่วม

วันนี้ (10 มิ.ย. 68) ในเวทีเสวนาสาธารณะ “Hawker Center สิงคโปร์” บทเรียนเพื่อการพัฒนาหาบเร่แผงลอยในประเทศไทย โดยมีการบรรยายพิเศษทั้งในประเด็นนโยบาย – สถาปัตยกรรม วัฒนธรรม – ขบวนการภาคประชาชน

Dr. Lai Chee Kien ผู้แต่ง “Early Hawkers in Singapore” และ “Hawker Center Food” บอกว่า บทบาทของศูนย์หาบเร่ในสิงคโปร์ ช่วงแรกพยายามจัดระเบียบผู้ค้าต่าง ๆ โดยต้องประชาสัมพันธ์ให้มากขึ้น แล้วก็ให้ข้อมูลเกี่ยวกับโรคซาร์ และโควิด รวมถึงการทิ้งขยะให้น้อยลง จนนำไปสู่การที่นักการเมือง เข้าไปพบปะประชาชนที่ศูนย์หาบเร่ คนดังต่าง ๆ ลงพื้นที่ไปในศูนย์หาบเร่ มีบุคคลสำคัญต่าง ๆ เดินทางมา หลังจากนั้นในปี 2019 ได้ขึ้นทะเบียนยูเนสโก้ เป็นมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้

สิ่งที่อยากจะแบ่งปัน คือ วิวัฒนาการของนโยบาย ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงจริง ๆ รวมถึงโครงสร้างต่าง ๆ ที่เปลี่ยนเมืองได้

Dr. Lai Chee Kien ผู้แต่ง “Early Hawkers in Singapore”

ขณะที่ Mr. KF Seetoh ผู้ก่อตั้ง Makansutra และนักเคลื่อนไหวเพื่อวัฒนธรรม Hawker พูดถึงวัฒนธรรมอาหารของสิงคโปร์ในอดีต ในช่วงปี 50s สิงคโปร์ยังมีความสกปรกมาก และเป็นเมืองของผู้อพยพ 

ตั้งแต่ปี 1960 รัฐบาลสิงคโปร์ ให้หาบเร่แผงลอยย้ายออกจากบริเวณถนนทั้งหมด แต่ก็มีอีกฝั่งที่บอกว่าจะไล่พวกเขาออกไปจากถนนไม่ได้ เพราะพวกเขาหล่อเลี้ยงชีวิตของผู้คนที่รายได้น้อย ต่อมาได้จัดสร้างศูนย์ Hawker Center ให้คนที่มีใบอนุญาตได้เข้าไปขายของ และมีการจัดระเบียบผู้ค้า

Seetoh บอกว่า วัฒนธรรมของหาบเร่ ควรได้รับรองจากยูเนสโก ทำให้ทุกคนได้กินอาหารที่ศูนย์อาหารในสิงคโปร์ ไม่ว่าคนรวย หรือ คนจน โดยยูเนสโกอยากรู้ว่า ผู้ค้าหาบเร่ทำอะไร พัฒนาอะไร ให้ดีขึ้น รัฐบาลก็ปรับราคาลงให้ราคาจับต้องได้ และพยายามให้คนรุ่นใหม่เข้ามาขายด้วย ไม่เพียงแต่คนเฒ่าคนแก่ 

“ข้อเสนอต่อยูเนสโกให้ขึ้นทะเบียน เพราะเรามีอาหารที่หลากหลายมาก และสุดท้ายเราก็มีการตั้ง Urban Hawker New York กลายเป็นศูนย์อาหารที่นิยมในอเมริกา ซึ่งต้องใช้ความกล้ามากในการเจาะจงไปที่อาหารสิงคโปร์ ข้าวของเรามีราคาไม่กี่ดอลลาร์ คือเป็นราคาที่ไม่แพง เพราะปกติแล้วคนไม่สามารถหาอาหารดั้งเดิมแบบนี้ได้ ทำให้คนรู้สึกคิดถึงบ้านเวลาที่กินอาหารที่นั่น”

KF Seetoh

Mr. KF Seetoh ผู้ก่อตั้ง Makansutra และนักเคลื่อนไหวเพื่อวัฒนธรรม Hawker

เขายังระบุว่า สำหรับคนที่มากรุงเทพฯ ก็จะเห็นร้านค้าข้างทางที่กางร่ม ซึ่งเป็นวัฒนธรรมอย่างหนึ่ง คงยังจะต้องทำงานกับรัฐบาล ซึ่งอาจทำตามสิงคโปร์ได้ แต่อย่าทำตามทั้งหมด เพราะวัฒนธรรมต่างกัน และเมืองไทยก็เป็นเมืองที่สวยงาม คนที่อยากจะขายต้องหาสมดุลกับกฎหมายให้ได้

นอกจากนี้ยังได้พูดถึงปัญหาบางจุดของตลาดในกรุงเทพฯ และช่วยชี้แนะการสร้างพื้นที่และกิจกรรมต่าง ๆ ในพื้นที่ เช่น ตลาดพลู โดยสิ่งที่ต้องจัดการ คือ ต้องคุ้มครองชีวิตผู้ค้าหาบเร่แผงลอย ค่าครองชีพ ความเป็นอยู่ของผู้ค้าหาบเร่แผงลอย ที่ยังต้องคงอยู่ได้ วัฒนธรรมของหาบเร่แผงลอย ต้องให้ทุกฝ่ายที่มีส่วนได้ส่วนเสียเกิดความภาคภูมิใจ

พูลทรัพย์ สวนเมือง ตุลาพันธ์ ผู้อำนวยการมูลนิธิเพื่อการพัฒนาแรงงานและอาชีพ บอกว่า สิงคโปร์มองเห็นความสำคัญของอาหารริมทาง และผู้ค้าก็เป็นส่วนหนึ่งของความมั่นคงทางอาหาร และหาบเร่แผงลอยเป็นสิ่งสำคัญ การมีงานทำ และการมีอาหารการกินเป็นเรื่องเดียวกัน

“สิ่งที่ประทับใจในบทเรียนของสิงคโปร์ คือ เขาเริ่มจากการทำเรื่องความปลอดภัยในอาหาร ทำอย่างไรให้อาหารมีสุขอนามัยที่ดี นอกจากนี้สิงคโปร์ไม่ได้มีแนวคิดที่จะไล่ผู้ค้าออก อีกทั้งให้ความสำคัญกับเศรษฐกิจท้องถิ่น เห็นจุดแข็งของความหลากหลายของอาหารและนำไปพัฒนา”

พูลทรัพย์ สวนเมือง ตุลาพันธ์

ที่สำคัญการจัดการหาบเร่แผงลอย ไม่ได้ทำงานแค่หน่วยงานเดียว แต่มีหลายองค์กรที่ช่วยกันจัดตั้ง Hawker Center และในขณะเดียวกัน คนต่างประเทศอยากไปดูชีวิตชีวาของประเทศไทย แต่กลับถูกทำลายให้หมดไป ดังนั้นต้องรักษา และชื่นชมกับสิ่งที่เรามี

พูลทรัพย์ สวนเมือง ตุลาพันธ์ ผู้อำนวยการมูลนิธิเพื่อการพัฒนาแรงงานและอาชีพ

“เรามีแรงบันดาลใจมากขึ้น และเห็นโอกาส เห็นทางออก ตอนนี้เรายังอยู่คนละขั้วกันไปไหม เราไม่มีเวลามาขัดแย้งกัน แต่เราต้องนำทุกฝ่ายมาพูดคุยกัน”

พูลทรัพย์ สวนเมือง ตุลาพันธ์

Dr. Lai Chee Kien ก็มองว่า การทำให้ภาครัฐเข้าใจ และสนับสนุนสำคัญมาก การทำงานกับทุกภาคส่วนก็สำคัญไม่แพ้กัน จะให้คนที่อยู่ในถิ่นที่อยู่เหล่านั้นมีส่วนร่วม ออกแบบนโยบายและพื้นที่ที่จะใช้ร่วมกัน การที่จะให้คนรุ่นใหม่เข้ามาร่วมด้วยก็สำคัญเช่นกัน ทำให้พวกเขารู้สึกว่ามีส่วนได้ส่วนเสียในอนาคต

สำหรับความกังวลของสิงคโปร์ พื้นที่ที่อยู่ใน Hawker Center การใช้พื้นที่ตรงนี้เปลี่ยนไป ก็ควรสร้างพื้นที่ปลอดภัย แต่ในสิงคโปร์ ศูนย์อาหารจำนวนมาก ก็จะมีครัวกลาง นอกจากนี้ก็ยังเป็นที่สำหรับการนัดเจอกัน ดังนั้น สถานะของศูนย์มีการเปลี่ยนไป วิถีชีวิตของคนก็เปลี่ยน เราต้องทำให้พื้นที่ เอาไปใช้อย่างอื่นได้ด้วย จึงอยากเห็นการทำแบบนี้ในประเทศไทยได้ด้วย

ส่วนของค่าเช่าที่ก็เป็นปัญหาใหญ่มาตลอด ที่สิงคโปร์ในอดีตค่าเช่าก็ต้องไปตกลงกับรัฐบาลโดยตรง ราคาก็เพิ่มไปตามราคาตลาดเป็นราคาที่เปลี่ยนแปลงเรื่อย ๆ ต้องมีสมาคมผู้ค้าหาบเร่แผงลอยไปคุยกับเจ้าหน้าที่รัฐ ในโลกทุนนิยม มักจะเกิดขึ้นแบบนี้ แต่ก็คงจะดีถ้าสามารถควบคุมราคาได้ ก็ยังเป็นปัญหาในสิงคโปร์

“เราต้องมีการเจราจากันระหว่างคนในพื้นที่ ผู้ค้าศูนย์หาเร่ แต่ละพื้นที่ก็จะมีความยากในการกำกับพื้นที่ที่ต่างกัน กฎระเบียบต่าง ๆก็ต้องมีความยืดหยุ่นด้วย วัฒนธรรมสตรีทฟู้ดเป็นวัฒนธรรมที่เฉพาะตัว ฉะนั้น ถึงเวลาแล้วที่จะทำให้วัฒนธรรมของเรานั้นพิเศษ”

Lai Chee Kien

Mr. KF Seetoh ยังบอกว่า แต่ละชุมชนมีราคาอาหารที่แตกต่างกัน คนที่อยู่ในท้องถิ่นจะหากินตามซอย บางพื้นที่อาจจะเงียบ ๆ แต่ก็สามารถไปตั้งร้านให้มีชีวิตชีวาได้ การจัดการผู้ค้าหาบเร่แผงลอยเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ในสิงคโปร์มีบริษัทที่ตรวจสอบความสะอาดของอาหารหาบเร่แผงลอย จะต้องมีการไปอบรมผู้ค้าด้วย ต้องดูว่าเขาทำตามไหม ถ้าไม่ทำตามก็มีการปรับใบอนุญาต แต่ไม่ถึงกับไล่ออก

“อย่างแรกต้องมีคำถามว่า ทำไมเราถึงอยากรักษาความเป็นหาบเร่แผงลอยเอาไว้อยู่ และเราต้องคุยกันในเรื่องรายละเอียดการรักษาความสะอาด การจัดการ”

Mr. KF Seetoh

ประเทศไทยจะมี Hawker Center ได้หรือไม่ ?

“เรามีแรงบันดาลใจมากขึ้น และเห็นโอกาส เห็นทางออก ตอนนี้เรายังอยู่คนละขั้วกันไปไหม เราไม่มีเวลามาขัดแย้งกัน แต่เราต้องนำทุกฝ่ายมาพูดคุยกัน”

พูลทรัพย์ ยังได้บอกกับ The Active ว่า อยากให้ กทม. ทบทวนนโยบายที่ออกมาว่า จะให้หาบเร่แผงลอยออกไปจากจุดเดิมให้หมด เพื่อรักษาความสะอาดเรียบร้อยของถนน แต่เบื้องหลังความสะอาดของถนนนั้น มีคนที่ขาดรายได้ กระทบต่อครอบครัวพวกเขา

จริง ๆ อยากจะเสนอกับ กทม.ด้วยว่า เปิดเวทีแลกเปลี่ยนให้ทุกฝ่ายได้พูดคุยกันเพื่อแก้ปัญหา ส่วนโมเดลจากสิงคโปร จะเห็นว่ารัฐมีบทบาทสำคัญมากในการหาพื้นที่ การควบคุมราคาอาหาร หรือการกำหนดมาตรการความปลอดภัยของอาหาร ซึ่งสุขอนามัยเป็นเรื่องที่สำคัญ สิ่งเหล่านี้เป็นบทบาทของรัฐ

“ประเทศไทยไม่ใช่ไม่มีความสามารถที่จะทำ เราสามารถที่จะใช้นโยบายและใช้งบประมาณ มาดูแลเรื่องนี้ แล้วสามารถที่ช่วยสร้างงาน คิดว่าผลลัพธ์ที่ออกมาน่าจะมากกว่างบประมาณที่เราลงทุนด้วยซ้ำ”

พูลทรัพย์ สวนเมือง ตุลาพันธ์

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active