ห่วง ‘ต้นไม้พุทธมณฑล’ ไม่รอด! เหตุเอกชนขนดินถมสูง – จี้ตรวจสอบที่มาหวั่นดินปนเปื้อน

‘บูรณะนิเวศ’ เทียบกรณีภาคตะวันออก พบดินผสมเศษขยะอิเล็กทรอนิกส์ ถูกแจกให้ชาวบ้านใช้ถมที่ กังวลสิ่งแปลกปลอมปนเปื้อน วอนหน่วยงานเกี่ยวข้อง ตรวจสอบที่มาของดิน ขณะที่ ‘รุกขกร’ ชี้ ถมดินสูงทับ ‘บ่ารากต้นไม้’ ไม่ต่างจากคนถูกบีบคอ เสนอเปิดรับคำแนะนำจากวิชาชีพ ดูแลต้นไม้อย่างมีความรู้

จากกรณีที่ รสนา โตสิตระกูล ประธานอนุกรรมการด้านบริการสาธารณะ พลังงาน และสิ่งแวดล้อม สภาผู้บริโภค โพสต์ตั้งคำถาม ผอ.สำนักงานพุทธมณฑล ถึงการปล่อยให้เอกชนนำดินมาถมบริเวณถนนอ้อมหลังพุทธมณฑลสาย ค. ที่คาดว่า มาจากไซต์ก่อสร้าง จนกังวลว่าอาจกระทบต่อต้นไม้ และพื้นที่รับน้ำ

วันนี้ (16 มิ.ย. 68) The Active พูดคุยถึงกรณีที่เกิดขึ้นกับ อรยา สูตะบุตร กรรมการและเลขานุการมูลนิธิรักษ์ไม้ใหญ่ Big Trees Foundation และกรรมการสมาคมรุกขกรรมไทย สะท้อนข้อกังวล โดยชี้ให้เห็นว่า ต้นไม้เหมือนคนตรงที่เขาจะต้องมีพื้นที่ที่ได้รับอากาศ แสง และแร่ธาตุต่าง ๆ ซึ่งบริเวณที่ต้นไม้อยู่ติดกับดิน จุดที่มีหน้าที่ทำสิ่งเหล่านี้ได้ครบถ้วน คือ บริเวณบ่าราก ซึ่งอยู่ตรงโคนต้นไม้ โดยหากสังเกตต้นไม้ที่สุขภาพดี จะเห็นลำต้นที่ปักลงไปในดิน ก็จะมีส่วนที่ค่อย ๆ โค้งลง จากส่วนที่เป็นเส้นตรงของลำต้น ซึ่งจะสโลปลงไปที่ผิวดิน ซึ่งเรียกว่า บ่าราก ซึ่งก็เหมือนบ่าคนเรา บริเวณนี้จะต้องไม่ถูกกดทับ

อรยา อธิบายว่า การปลูกต้นไม้ตามหลักจะต้องเปิดบริเวณบ่ารากเอาไว้ หรือ หากจะถมดินสูงขึ้นจากระดับพื้นดินเดิมที่เคยมองเห็น บ่ารากสูงขึ้นเต็มที่ได้เพียง 30 เซนติเมตร ซึ่งถือว่าเยอะมากแล้ว แต่จากที่สังเกตในภาพที่เกิดขึ้นบริพุทธมณฑลนั้น คาดว่า น่าจะสูงเกิน 1 เมตร ซึ่งการที่ไปถมบริเวณบ่าราก และโคนต้นไม้สูงเกินไป เท่ากับว่า กำลัง “บีบคอต้นไม้”  ไม่ให้ได้รับอากาศ น้ำแร่ธาตุ และแสง เพราะมีดินจำนวนมาก ที่มีน้ำหนักไปปิดกั้นการเข้าถึงของสิ่งเหล่านี้ลงไปหล่อเลี้ยงรากของต้นไม้

สภาพต้นไม้ภายในพื้นที่พุทธมณฑล จ.นครปฐม ที่ถูกเอกชนนำดินมาถมทับ (ภาพ : รสนา โตสิตระกูล)

“เหมือนเราโดนบีบคอไปเรื่อย ๆ เราก็จะหน้าเขียวใช่ไหมคะ หรืออาจถึงขนาดเสียชีวิตได้ นี่คือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับต้นไม้ที่พุทธมณฑล และเมื่อดูเร็ว ๆ จะเห็นว่าบางต้น เหลือแต่กิ่งเริ่มไม่มีใบแล้ว เมื่อต้นไม้ป่วยสัญญาณแรกที่เห็นเลยคือการทิ้งใบ ซึ่งช่วงนี้เป็นฤดูฝน ที่ต้นไม้ควรจะปลีกใบใหม่ เนื่องจากว่าได้รับน้ำเต็มที่ แต่ที่พุทธมณฑลต้นไม้ดูหงอยเหงามาก เพราะไม่มีใบ นี่คือการกระทำที่ผิดทุกข้อ”

อรยา สูตะบุตร

‘ดินไม่ดี’ ต้องปรุงใหม่ ก่อนไปใช้กับต้นไม้

เมื่อถามถึงข้อกังวลเรื่องที่มาของดิน ที่อาจจะมีการปนเปื้อนหรือไม่นั้น อรยา บอกว่า จากการสังเกตลักษณะของดินด้วยตาเปล่า เป็นดินที่แห้งมาก ซึ่งดินที่ดีจะต้องมีลักษณะ มีสีดำเข้ม ร่วนแต่ไม่มาก มีความชื้น ถึงจะดีกับต้นไม้ แต่ในภาพจะเห็นว่าเป็นดินที่มีสีซีด ดูแข็ง เหมือนว่าเป็นดินที่ตักออกมาจากไซต์ก่อสร้าง ไม่มีที่ทิ้งแล้วนำมาถมไว้ ซึ่งจริง ๆ แล้ว สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) หรือ สำนักงานพุทธมณฑล หากเข้าใจเรื่องนี้สักนิด การที่ได้ดินมาจำนวนมากแบบนี้ สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ เช่น นำไปคลุกกับสารอินทรีย์อื่น คลุกกับปุ๋ย แต่ต้องนำไปพักไว้อีกที่หนึ่ง หรือที่เรียกว่าเป็นการ “ปรุงดิน” ให้เป็นดินที่มีคุณภาพเป็นดินที่มีความอุดมสมบูรณ์ แล้วนำไปใส่ตามต้นไม้ที่ต้องการ 

“เรื่องนี้สะท้อนให้เห็นว่าที่สำนักงานพุทธมณฑล ไม่มีคนที่มีเชี่ยวชาญเรื่องการดูแลต้นไม้ และใครจะมาทำอะไรกับต้นไม้ก็ทำหมด ไม่มีใครแนะนำว่าแบบนี้ไม่ควรทำ ที่สำคัญ คือ บริเวณนี้เป็นสถานที่ที่ประชาชนชอบไป เพราะบรรยากาศร่มรื่น มีต้นไม้ใหญ่เยอะ ไปเดินเล่น ออกกำลังกาย ปั่นจักรยาน”

อรยา สูตะบุตร

อรยา ยังระบุด้วยว่า หากสำนักพุทธฯ ปล่อยให้เอกชนทำอะไรก็ได้กับต้นไม้ ในกรณีนี้คือ การทำให้เสียหาย อ่อนแอ และมองว่าหากเอกชนเจ้านี้ทำได้ ในอนาคตอาจจะเกิดการนำมาทิ้งอีก ทำให้ที่ตรงนี้อาจจะกลายเป็นที่ทิ้งขยะ หรือเป็นที่ทิ้งสิ่งที่คนไม่อยากได้ และต้นไม้ก็จะเสียหาย ก็จะตายเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ เท่ากับว่าผิดวัตถุประสงค์ในการมีพุทธมณฑล ที่มีความตั้งใจในการก่อตั้งสถานที่แห่งนี้ขึ้นมาตั้งแต่ครั้งแรก

“ลองนึกภาพว่าถ้ามันกลายเป็นพื้นที่กว้าง ๆ อากาศร้อน มีแต่ต้นไม้พุ่มเตี้ยและสนามหญ้า ก็ค่อนข้างมั่นใจว่าคนคงไม่ไปกันแล้ว และที่เคยเป็นสถานที่ทำบุญ คนไปบริจาค หรือจัดกิจกรรมทางศาสนาต่าง ๆ เขาก็คงไม่มากันแล้ว”

อรยา สูตะบุตร

สภาพต้นไม้ภายในพื้นที่พุทธมณฑล จ.นครปฐม ที่ถูกเอกชนนำดินมาถมทับ (ภาพ : รสนา โตสิตระกูล)

อรยา ยังเผยด้วยว่า ที่ผ่านมาสมาคมรุกขกรรมไทย เคยเข้าไปจัดฝึกอบรมให้กับเจ้าหน้าที่ เป็นการอบรมเกี่ยวกับด้านรุกขกร เกี่ยวกับการดูแลต้นไม้ เป็นการอบรมทุกเรื่องตั้งแต่การดูแลต้นไม้ การตัดแต่ง การเฝ้าระวังสังเกต ตรวจตราดูสุขภาพของต้นไม้ ซึ่งเคยทำไปครั้งเดียวสมัยช่วงก่อนเกิดโรคระบาดโควิด-19 และเมื่อเร็ว ๆ นี้ เคยพานายกสมาคมรุกขกรรมไทย ไปเสนอกับทางสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เพื่อจัดอบรมให้ความรู้เกี่ยวกับการดูแลต้นไม้ แต่ได้รับการตอบกลับว่าอบรมได้ แต่ไม่มีงบฯ สนับสนุน ไม่มั่นใจว่าจัดได้ไหม เพราะมีเพียงสถานที่ให้ และบอกว่ามีเอกชนที่รับจ้างดูแลสวนอีกรายหนึ่งอยู่แล้ว ซึ่งส่วนตัวไม่มั่นใจว่า ดูแลเป็นประจำหรือไม่ ? มองว่าหากเขาปรึกษาเอกชนรายใหญ่ที่ดูแลสวนจริง เชื่อว่า เอกชนก็มีองค์ความรู้พอ ที่จะแนะนำได้ ว่าอะไรควร อะไรไม่ควร

“หลังจากครั้งนั้นก็รู้สึกว่าเขาไม่ได้สนใจ และนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ คุณรสนา มีประเด็นเรื่องการดูแลจัดการต้นไม้ที่ถูกต้องของพุทธมณฑล ครั้งก่อนก็ไม่สนใจ และครั้งนี้ก็อาจจะไม่สนใจอีก”

อรยา สูตะบุตร

กรรมการและเลขานุการมูลนิธิรักษ์ไม้ใหญ่ บอกอีกว่า อยากให้ผู้อำนวยการสำนักงานพุทธมณฑล เปิดรับคำแนะนำขององค์กรวิชาชีพอย่างสมาคมรุกขกรรมไทย ซึ่งเคยจัดอบรมไปแล้วครั้งหนึ่งแล้วจบไป ซึ่งล่าสุดจากการเข้าใช้สถานที่ปั่นจักรยาน ก็พบว่ามีการตัดแต่งต้นไม้ที่ไม่ถูกต้อง และหากจะให้เกิดเกิดขึ้นอีกทางสมาคมยินดีที่จะเข้าไปพูดคุยในการร่วมกันจัด แต่อาจไม่สามารถทำได้ในลักษณะจิตอาสา 100% 

“จากประสบการณ์ที่ผ่านมา ได้ไปอบรมมาแล้วแต่ยังพบว่ามีการทำไม่ถูกต้อง ก็มีความหวังว่า ผู้อำนวยการจะเห็นความสำคัญ และมาพูดคุยกันก็ยินดี ขอพูดในนามกรรมการสมาคมคนหนึ่ง ซึ่งจะต้องกลับไปคุยกับทางกรรมการท่านอื่นและนายกสมาคม แต่เชื่อว่าไม่ว่าจะเป็นใครก็อยากให้ต้นไม้ทุกที่แข็งแรง สวยงาม”

อรยา สูตะบุตร

อรยา สูตะบุตร กรรมการและเลขานุการมูลนิธิรักษ์ไม้ใหญ่ Big Trees Foundation

งบฯ ดูแล สำคัญไม่แพ้ งบฯ ปลูก

อรยา ทิ้งท้ายว่า ที่สำคัญหน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรงคือสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และสิ่งสำคัญมากกว่าการปลูก คือ การดูแล เพราะหากเราปลูกแล้วไม่กลับมาดูแลอีกเลย ต้นไม้ที่ปลูก โอกาสที่จะค่อย ๆ แย่ลงไปหรือในที่สุดก็จะไม่รอด

“ก็เหมือนกับเวลาเรามีลูกที่คลอดออกมาแล้ว ปล่อยให้เขาเดินไปตามพื้น หาของกินเอง เรียนรู้เอง เอาตัวรอดเอง ก็ไม่มีทางที่จะรอดและเติบโตขึ้นมาได้ ต้นไม้ก็เช่นกันเมื่อมันไม่ได้อยู่ในป่า อยู่ในสภาพตามธรรมชาติ ไม่ได้เกิดจากเมล็ดที่อยู่ใกล้ต้นแม่ ที่สามารถอาศัยร่มเงาของต้นแม่ได้ แต่เมื่อเราปลูกมันอยู่ในเมืองที่ล้อมรอบด้วยคอนกรีต โอกาสที่จะไม่รอดเพราะไม่ได้ตั้งงบประมาณ หรือไม่มีคนดูแลเลย โอกาสที่จะไม่รอดก็ค่อนข้างสูง ซึ่งมันก็เป็นการใช้งบประมาณที่สิ้นเปลือง เพราะมีงบปลูกไม่มีงบฯ ดูแล”

อรยา สูตะบุตร

The Active ได้ติดต่อไปยัง ธานี พิกุลทอง ผู้อำนวยการสำนักงานพุทธมณฑล เพื่อขอคำชี้แจงต่อกรณีดังกล่าว โดยประสานผ่านไปยังเลขาฯ หน้าห้องทำงาน ได้รับคำตอบว่า ขณะนี้ ผอ.สำนักงานพุทธมณฑล ทราบเรื่องแล้ว แต่เนื่องจากเพิ่งเข้ามารับตำแหน่งไม่นาน จึงขอเวลาศึกษาข้อเท็จจริงก่อน เพื่อเตรียมให้ข้อมูลเรื่องนี้ ซึ่ง The Active จะรายงานความคืบหน้าให้ทราบต่อไป

‘บูรณะนิเวศ’ จี้ตรวจสอบดิน-ที่มาของดิน หวั่นปนเปื้อน

ขณะที่ มูลนิธิบูรณะนิเวศ โพสต์ระบุถึงข้อห่วงใยที่เกิดขึ้น พร้อมเรียกร้องเพิ่มเติมให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรจะตรวจสอบดิน หรือสิ่งที่นำไปถมพื้นที่พุทธมณฑลอย่างจริงจัง เนื่องจากตามปกติแล้ว หากเป็นดินธรรมชาติ ที่ใช้ถมที่ดินได้ ย่อมจะเป็นสิ่งที่มีมูลค่า ราคาดินต่อ 1 คันรถบรรทุกหกล้อไม่ต่ำกว่า 2,500 บาท หรือมากกว่า 4,500 บาท/คันรถสิบล้อ ดังนั้นหากมีเอกชนรายใด ที่ต้องมาขอใช้พื้นที่พุทธมณฑลเพื่อทิ้งดิน ก็นับว่าไม่สมเหตุสมผล

สภาพต้นไม้ภายในพื้นที่พุทธมณฑล จ.นครปฐม ที่ถูกเอกชนนำดินมาถมทับ (ภาพ : รสนา โตสิตระกูล)

มูลนิธิบูรณะนิเวศ ระบุด้วยว่า ปัจจุบันมีปรากฏการณ์หนึ่งที่กำลังเกิดแพร่ระบาดในหลาย ๆ พื้นที่ โดยเฉพาะทางจังหวัดภาคตะวันออก นั่นคือมีการนำดินมาเสนอแจกจ่ายแก่ชาวบ้าน ให้ไปใช้ถมที่บ้าง หรืออ้างว่าเป็นปุ๋ย สามารถใส่ในพื้นที่เกษตรเพื่อบำรุงพืชผล แต่ความจริงแล้วกลับพบในภายหลังว่าเป็นดินผสมเศษขยะอิเล็กทรอนิกส์บดย่อย

ดังนั้น ในกรณีพุทธมณฑล หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นเจ้าของพื้นที่ หน่วยงานปกครองที่ดูแลพื้นที่อันเป็นที่ตั้งของพุทธมณฑล หรือแม้แต่กรมควบคุมมลพิษ จึงควรที่จะเข้ามานำดินที่มีการนำมาถมนี้ไปตรวจสอบว่ามีสิ่งแปลกปลอมใดปนเปื้อนมาด้วยหรือไม่ อีกทั้งติดตามตรวจสอบต้นทางที่มาของดินหรือสิ่งที่นำมาถมพื้นที่นั้นด้วย โดยควรที่จะเปิดเผยเรื่องดังกล่าวต่อสาธารณะให้รับทราบโดยทั่วกันต่อไป

เนื่องจากพุทธมณฑลเป็นทั้งสถานที่สำคัญทางศาสนา และเป็นพื้นที่สาธารณะประโยชน์ที่ประชาชนทั่วไปอาจเข้าไปสัมผัสได้ จึงไม่ควรปล่อยให้เกิดความเสี่ยงขึ้น

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active