เมืองไทยรายสัปดาห์ แกนนำพันธมิตร และบทบาทผู้เฒ่าเล่าเรื่อง

“15 ปี 19 กันยา : 15 ปี ใต้เงารัฐประหาร” EP.1

หากจะกล่าวถึง ‘สนธิ ลิ้มทองกุล’ ภาพจำสำคัญของเขา คือ การเป็นแกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ขบวนการต่อต้านรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร จนนำไปสู่การรัฐประหารในวันที่ 19 กันยายน 2549 จึงไม่ผิดนักหากจะพูดว่าสนธิ เป็นหนึ่งในตัวละครสำคัญ ที่ประกอบสร้างประวัติศาสตร์ในช่วงเวลานั้น ส่งผลทอดยาวสู่ความเป็นไปของการเมืองไทยในปัจจุบัน

เมืองไทยรายสัปดาห์สัญจรครั้งแรกของวงการโทรทัศน์ปลุกระดมมวลชน

ในฐานะสื่อมวลชน และนักจัดรายการมือฉมัง ที่ดึงความสนใจผู้คนได้ทุกครั้งเมื่อต้องอยู่บนเวที ในขณะเดียวกันยังเป็นผู้ก่อตั้งและเจ้าของหนังสือพิมพ์ในเครือผู้จัดการและโทรทัศน์ดาวเทียม ASTV ในเวลานั้น เรียกได้ว่า พรั่งพร้อมไปด้วยความสามารถและทรัพยากร สนธิ ใช้จุดแข็งตรงนี้ขยายการยอมรับของวาระการต่อต้านรัฐบาลทักษิณออกไปอย่างกว้างขวาง ในเวลาอันรวดเร็ว

งานวิจัย “บทบาทประกาศก ของนายสนธิ ลิ้มทองกุลและกลุ่มพันธมิตรประชาชน เพื่อประชาธิปไตย ในการนำเสนอประเด็นสาระธรรมวิทยาแห่งพลเมือง ทางรายการโทรทัศน์เพื่อต่อต้านรัฐบาล ทักษิณ ชินวัตร พ.ศ. 2548-2549” ของ ขจร ฝ้ายเทศ สรุปเอาไว้ว่า การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ ถือเป็น “ครั้งแรกในประเทศไทย” ที่ปลุกเร้าให้เกิดแนวร่วมต่อต้านรัฐบาลโดยนำรายการโทรทัศน์ผสานเข้ากับการชุมนุมต่อต้านในที่สาธารณะ ซึ่งสามารถแสดงภาพ หลักฐานเพื่อการโน้มน้าวใจได้เป็นอย่างดี 

จุดเริ่มต้นของรายการ “เมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร” เกิดขึ้นช่วงเดือนกันยายน ปี 2548 หลังจากที่โมเดิร์นไนน์ทีวี (ช่อง 9 หรือ MCOT HD ในปัจจุบัน) ปรับผังและระงับรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ออกไป และยังถูกฟ้องร้องโดย ทักษิณ ชินวัตร ด้วยข้อหาหมิ่นประมาท และดูหมิ่น เรียกค่าเสียหายจำนวนเงินรวม 2,000 ล้านบาท แต่สนธิ ยังคงเดินหน้าจัดรายการของตนเองขึ้นมาใหม่ ในชื่อว่า “เมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร” โดยจัดเป็นเวทีนอกสถานที่ ณ หอประชุมเล็ก และหอประชุมใหญ่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และสวนลุมพินี ทุกคืนวันศุกร์ โดยแปลเปลี่ยนเนื้อหารายการพุ่งเน้นไปที่การโจมตีรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร และการปราศรัยของสนธิยังให้น้ำหนักกับอุดมการณ์จารีตนิยม ประกอบสร้างความหมายผ่านคำพูด กิจกรรม ที่แสดงความเคารพเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ อันเป็นแนวทางหลอมรวมความเป็นหนึ่งเดียวของมวลชนเอาไว้ได้อย่างเหนียวแน่น

เมื่อมีผู้ร่วมอุดมการณ์มากขึ้น จึงนำมาสู่การก่อตัวของ “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” หรือเรียกว่ากลุ่มพันธมิตรกู้ชาติ หรือกลุ่มคนเสื้อเหลือง เป็นกลุ่มการเคลื่อนไหวทางการเมืองในประเทศไทยที่มีบทบาทสำคัญในช่วง พ.ศ. 2548-2552 โดยมีจุดประสงค์ในการขับไล่ ทักษิณ ชินวัตร ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และแสดงความต้องการให้ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแทนอย่างเปิดเผย

โดยกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย มี 5 แกนนำสำคัญ คือ สนธิ ลิ้มทองกุล, พลตรี จำลอง ศรีเมือง, พิภพ ธงไชย, สมศักดิ์ โกศัยสุข และสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์

รัฐประหาร 19 กันยายน 2549

กลุ่มพันธมิตรฯ มีกำหนดการที่จะเดินขบวนครั้งใหญ่ ในวันที่ 20 กันยายน 2549 แต่ก่อนที่จะมีการเดินขบวน ปรากฏว่ามีข่าวลือว่าจะมีเหตุการณ์นองเลือด สืบเนื่องจากที่เริ่มมีความเคลื่อนไหวของประชาชนที่เห็นต่างกับกลุ่มพันธมิตรฯ และให้การสนับสนุนทักษิณ ชินวัตร ทำให้ในวันที่ 19 กันยายน 2549 พลเอก สนธิ บุญรัตกลิน ผู้บัญชาการทหารบกในขณะนั้น ได้ทำการรัฐประหารยึดอำนาจรัฐบาลทักษิณ ในขณะที่ทักษิณ อยู่ต่างประเทศ และเมื่อมีการรัฐประหารเกิดขึ้น แกนนำพันธมิตรฯ จึงประกาศยกเลิกการประท้วงในครั้งนั้นไป

มีข้อครหาเกิดขึ้นมากมายกับสนธิ และแกนนำพันธมิตรฯ ว่ารู้เห็นเป็นใจต่อการรัฐประหารในครั้งนั้นหรือไม่ ซึ่งแน่นอนว่าไม่สามารถตอบได้อย่างชัดเจน แต่สิ่งที่ทำให้ตีความได้ถึงความรู้สึกเห็นด้วยต่อการรัฐประหารของสนธินั้น คือภายหลังเหตุการณ์ดังกล่าว สนธิ ได้เดินทางไปทัวร์ยัง ลอนดอน วอชิงตัน ดี.ซี. และนิวยอร์ก เพื่อเฉลิมฉลองกับพันธมิตรฯ ที่อยู่ต่างประเทศด้วยนั่นเอง

ปิดตำนานพันธมิตรศาลตัดสินจำคุก 20 ปี

ศาลฎีกาอ่านคำพิพากษา เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2559 สั่งจำคุกสนธิ 20 ปี ฐานกระทำผิด พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 จากกรณีที่บริษัท แมเนเจอร์ มีเดีย กรุ๊ป ทำสำเนา รายงานการประชุมของกรรมการบริษัท ที่เป็นเท็จว่า มีมติให้ บริษัทเป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้ธนาคารกรุงไทย ให้กับบริษัท เดอะ เอ็ม กรุ๊ป อันถือเป็นการปิดตำนาน และส่งผลถึงการรวมกลุ่มของพันธมิตรฯ ที่หยุดนิ่งไปหลังจากนั้น 

และด้วยความประพฤติระหว่างต้องโทษ อายุที่ล่วงเข้าวัย 72 ปี และการได้รับพระราชทานอภัยโทษ ทำให้สนธิ พ้นโทษในวันที่ 4 เมษายน 2562 รวมระยะเวลารับโทษ 3 ปี 1 เดือน โดยในประเด็นความสงสัยของสังคมว่าเหตุใดจึงรับโทษน้อยกว่าที่พิพากษานั้น พันตำรวจเอก ณรัชต์ เศวตนันทน์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ในขณะนั้น ได้ชี้แจงในประเด็นข้อกฎหมายและข้อเท็จจริงอย่างครบถ้วน โดยยืนยันว่า “ได้มีการหารือกับผู้พิพากษาชั้นผู้ใหญ่และคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องอย่างละเอียดรอบคอบ มิได้มีเบื้องหน้าเบื้องหลัง หรือมีใบสั่งจากผู้ใด รวมทั้งไม่ได้เกี่ยวข้องกับฝ่ายการเมืองแต่อย่างใดทั้งสิ้น”

นำความคิดมวลชนออนไลน์ในบทบาทผู้เฒ่าเล่าเรื่อง

ภายหลังพ้นโทษไม่นาน สนธิ ลงสู่สนามสื่อออนไลน์ รายการ “สนธิ ทอล์ค” โดยได้หยิบประเด็นข่าวสารที่น่าสนใจในรอบสัปดาห์มาวิเคราะห์ และวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาล หน่วยงานราชการ บุคคลผู้เป็นที่สนใจในขณะนั้นอย่างตรงไปตรงมา ผ่านเฟซบุ๊ก “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” และ ช่องยูทูป  “Sondhitalk”

ระยะเวลาเพียงสองปี สนธิ สร้างผู้ติดตามในเฟซบุ๊กอย่างน้อย 3.3 ล้านคน และทางช่องยูทูป อีก 1.1 ล้านคน โดยวิดีโอที่มีผู้รับชมมากที่สุดในช่องยูทูป ชื่อตอนว่า “เสี่ยโป้แค่เบี้ย คนชักใยใหญ่คือใคร” มียอดผู้ชมสูงถึง 2.1 ล้านครั้ง นับเป็นจำนวนผู้ชมที่สูงเป็นอย่างมาก นั่นหมายความว่าการเล่าเรื่อง ผสมกับลีลาและท่วงทำนองของสนธิ ยังสามารถดึงความสนใจของผู้คนได้มากทีเดียวในยุคปัจจุบัน


อ้างอิง

Author

Alternative Text
AUTHOR

ธีร์วัฒน์ ชูรัตน์

เรียนจบกฎหมาย มาเป็นนักข่าว เด็กหลังห้อง ที่มักตั้งคำถามด้วยความไม่รู้