ทหารมีไว้ทำไม?
คำถามง่าย ๆ แต่คำตอบกลับซับซ้อนกว่าที่คิด
นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์ผู้ล่วงลับอย่าง นิธิ เอียวศรีวงศ์ เคยตั้งคำถามนี้เช่นกันในบทความ “ทหารมีไว้ทำไม” ปี 2559 จากการที่กองทัพไทยมีบทบาทหลายอย่าง นอกเหนือจากภารกิจปกป้องอธิปไตยของชาติที่เป็นงานหลัก
“คำถามนี้ส่วนหนึ่งเป็นการยืนยันสิ่งที่อาจารย์นิธิเคยถาม เพราะต้องการให้ได้คำตอบว่า ทหารมีไว้ป้องกันประเทศเป็นหลัก หน้าที่อื่นไม่ใช่ มองในแง่หนึ่ง ถึงจะเป็นคำตอบเคาน์เตอร์หรือโต้กลับ แต่ก็ได้ตอกย้ำสิ่งที่อาจารย์นิธิต้องการ บอกให้รู้ว่าทหารต้องทำหน้าที่ป้องกันประเทศอย่างเดียว”
สุภลักษณ์ กาญจนขุนดี สื่อมวลชนและนักวิชาการอิสระ

แต่หลังเหตุการณ์ปะทะตามแนวชายแดนระหว่างไทยกับกัมพูชา คำถามของนิธิได้ย้อนกลับมาอีกครั้ง ซึ่งฝ่ายอนุรักษนิยมและสนับสนุนทหารหลายคนใช้เป็นคำตอบต่อคำถามที่ว่า ทหารมีไว้ทำไม
ในมุมมองของอดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุดอย่าง พลเอก บุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ มองว่า ทหารมีไว้เพื่อปกป้องอธิปไตยของชาติ เปรียบเสมือนรั้วบ้านหรือกำแพงที่ป้องกันผู้ร้ายจากภายนอก เป็นภารกิจที่สำคัญและจำเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่ในยามสงบที่เราไม่สามารถประมาทได้
“ความมั่นคงเปรียบเสมือนอากาศที่เราใช้หายใจ เราอาจไม่เคยนึกถึงมัน แต่เมื่อไรที่ขาดอากาศก็อาจเป็นอันตรายจนถึงแก่ชีวิต”
พลเอก บุญสร้าง สะท้อนทัศนคติของกองทัพ

ในโลกที่ประชาธิปไตยตั้งมั่น ทหารอาชีพจะมุ่งมั่นกับภารกิจหลักของตนเท่านั้น แต่สำหรับประเทศไทย ที่ผ่านมากองทัพยังคงยุ่งเกี่ยวกับการเมืองอย่างแนบแน่น
เมื่อทหารเห็นว่าประเทศอาจตกอยู่ในอันตราย ก็ตัดสินใจเข้ามามีบทบาททางการเมือง ซึ่งนำมาสู่คำถามว่า การที่ทหารเข้าไปมีบทบาททางการเมืองและบริหารประเทศเป็นสิ่งที่เหมาะสมหรือไม่
มีข้อเสนอที่น่าสนใจว่า ในยามปกติ ทหารควรใช้ศักยภาพในการฝึกฝนกำลังพลเพื่อรับมือกับภัยคุกคามทางทหารเป็นหลัก ส่วนภารกิจอื่น ๆ เช่น การพัฒนาประเทศ ควรเป็นเพียงภารกิจเสริมที่ทำร่วมกับหน่วยงานพลเรือนตามคำสั่งรัฐบาล และต้องไม่เข้ามาแทนที่ภารกิจหลัก
หากย้อนประวัติศาสตร์ในสมัยรัชกาลที่ 5 จะเห็นว่ามีกองทัพสมัยใหม่ของไทยเกิดขึ้น เพื่อรับมือภัยคุกคามจากลัทธิล่าอาณานิคม ต่อมาในยุคสงครามเย็น บทบาทของกองทัพขยายไปสู่ “ความมั่นคงภายใน” เช่น การพัฒนาประชาชนและปฏิบัติการจิตวิทยาต่อต้านคอมมิวนิสต์
สำหรับ สุภลักษณ์ มองว่าแม้ปัจจุบันคอมมิวนิสต์หมดไปแล้ว แต่กองทัพกลับสร้าง “ภัยคุกคามใหม่” โดยเพิ่มมิติความมั่นคงภายในไว้อย่างกว้างขวางมากขึ้น เช่น การก่อการร้าย ความแตกแยกในสังคม หรือแนวคิดของเยาวชน จนทำให้กองทัพยังมีบทบาทในสังคม
“เมื่อไม่มีคอมมิวนิสต์แล้ว เขาก็สร้างภัยคุกคามชนิดใหม่ ๆ ขึ้นมา อย่างเช่นการก่อการร้าย ความแตกแยกในสังคม หรือแนวคิดใหม่ ๆ ของกลุ่มเยาวชน ทหารก็ถือว่านี่เป็นภัยคุกคามความมั่นคง ก็จะสามารถหาบทบาทโดยการ identify ว่านี่เป็นภัยคุกคามเพื่อที่จะได้มีบทบาท”
สุภลักษณ์ กาญจนขุนดี
ศ.พวงทอง ภวัครพันธุ์ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้เขียนหนังสือในนามของความมั่นคงภายใน: การแทรกซึมสังคมของกองทัพไทย ชี้ให้เห็นว่า การเปลี่ยนนิยามความมั่นคงนี้ทำให้กองทัพมีอำนาจเหนือพลเรือนมากขึ้น โดยเฉพาะช่วงหลังรัฐประหาร 2549 และ 2557 เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน

กลไกสำคัญที่ ศ.พวงทอง เห็นว่าทำให้กองทัพมีอำนาจเหนือพลเรือนและตำรวจ คือ การที่กองทัพผนวกความมั่นคงรูปแบบใหม่มาเป็นพันธกิจของตน ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงในราชอาณาจักร (กอ.รมน.)
นอกจากนี้ แต่ละเหล่าทัพยังรับภารกิจและงบประมาณในโครงการที่ไม่ใช่งานถนัดของทหาร ไม่ว่าจะเป็นโครงการส่งเสริมการท่องเที่ยวหรือการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า กองทัพได้ก้าวล้ำเส้นจากภารกิจหลัก และเข้าไปมีส่วนร่วมในกิจการทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างกว้างขวาง
เช่นเดียวกับความเห็นของ สุภลักษณ์ มองว่า การรัฐประหารในประเทศไทยทุกครั้ง ไม่เคยอ้างภัยคุกคามจากต่างประเทศเป็นเหตุผลในการยึดอำนาจ หากแต่เป็นภัยภายในประเทศทั้งสิ้น ซึ่งบางครั้งสถานการณ์เหล่านั้นก็ถูกสร้างขึ้นมาเอง เพื่อให้เกิดความวุ่นวายและใช้เป็นข้ออ้างในการรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง
“เพราะฉะนั้น บทบาทของทหารในสังคมไทยจึงครอบคลุมไปทุกเรื่อง ตั้งแต่เรื่องความมั่นคง ขยายมาเรื่องการเมือง ชีวิตและสังคม แม้กระทั่งความคิดและอุดมการณ์ ก็ปลูกฝังให้ประชาชนมีความรู้สึกที่นิยมทหาร เห็นว่าทหารทำภารกิจอะไรก็ดูถูกต้องไปหมด ดีไปหมด งามไปหมด ชอบไปหมด นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นในยุคนี้”
สุภลักษณ์ กาญจนขุนดี
ในมุมมองของ พลเอก บุญสร้าง ยอมรับว่า การที่ทหารเข้าไปแทรกแซงการเมือง ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดความไม่พอใจในสังคม แม้จะมี ‘เจตนาดี’ ในการรักษาความสงบและเป็นระเบียบเรียบร้อยของชาติก็ตาม
การเกณฑ์ทหาร: จำเป็นหรือจำยอม?
หนึ่งในประเด็นร้อนที่สังคมไทยเถียงกันอย่างมากเมื่อพูดถึงการปฏิรูปกองทัพ คือ เรื่องการเกณฑ์ทหาร ฝ่ายหนึ่งมองว่ายังจำเป็นต่อความมั่นคงของชาติ ในขณะที่อีกฝ่ายเชื่อว่าเป็นการสิ้นเปลืองงบประมาณและไม่ได้ตอบโจทย์กำลังพลของกองทัพ โดยเฉพาะในยุคที่เทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามามีบทบาทสำคัญ จนหลายคนตั้งคำถามว่า จำเป็นต้องส่งทหารไปสู้รบจนเสียเลือดเสียเนื้อกันอยู่หรือไม่
การบังคับเกณฑ์ทหารยังสอดคล้องกับยุคสมัยนี้หรือไม่
- พระราชบัญญัติลักษณะเกณฑ์ทหาร ร.ศ. 124 (พ.ศ. 2448)
- พระราชบัญญัติรับราชการทหาร พ.ศ. 2497

พลเอก บุญสร้าง ยืนยันว่า การรบไม่ได้มีแค่เรื่องเทคโนโลยี แต่ยังมีอีกหลายปัจจัยที่ต้องใช้บุคลากรที่ผ่านการฝึกฝนเฉพาะทาง ทั้งการสอดแนม ข่าว การส่งกำลังบำรุง หรือการจัดการภาคสนาม ซึ่งไม่ใช่ใครที่จะทำได้
ทั้งยังตั้งข้อสังเกตอีกว่า การยกเลิกเกณฑ์ทหารเป็นเพียงนโยบายหาเสียงที่นักการเมืองมักนำมาใช้ เพราะในทางปฏิบัติไม่มีใครทำได้อย่างสมบูรณ์ อย่างหลายประเทศทั่วโลกก็ไม่ได้ยกเลิกเกณฑ์ทหาร เช่น อิสราเอลและเกาหลีใต้ นอกจากนี้ หากเปลี่ยนไปใช้ระบบทหารอาชีพทั้งหมดหรือใช้ทหารรับจ้าง (mercenary) จะทำให้ต้องใช้งบประมาณที่สูงมาก และอาจมีกำลังพลไม่เพียงพอต่อความจำเป็น
แต่ในอีกด้านหนึ่ง หลายฝ่ายมองว่า ระบบเกณฑ์ทหารทำให้กองทัพมีกำลังพลมากเกินไปจนกลายเป็นภาระ และไม่มีประสิทธิภาพในการรบยุคใหม่ โดย สุภลักษณ์ ตั้งคำถามว่า ที่กองทัพบอกว่ากำลังพลไม่พอ ก็ต้องชี้แจงว่าไม่พอสำหรับอะไร หรือขาดกำลังพลในส่วนใด เนื่องจากกำลังพลจำนวนมากถูกใช้ไม่เหมาะสมกับภาระหน้าที่ เช่น เอาพลทหารเข้าไปจำนวนมาก แต่ไม่มีงานหลักให้ทำ เอาไปใช้ในงานอย่าง รปภ. หรืองานธุรการ ซึ่งสามารถจ้างเอกชนได้ หรือตำแหน่งนายพลผู้ทรงคุณวุฒิ ที่ตั้งขึ้นลอย ๆ อย่างที่ไม่ได้มีภารกิจที่ชัดเจน
“กองทัพของเรา oversize เพราะว่าเราเห็นกำลังพลที่ไม่มีงานทำเยอะ ในแต่ละหน่วย ถ้าเราดูจำนวนนายพลก็เป็นผู้ทรงคุณวุฒิ เป็นที่ปรึกษา เป็นผู้ชำนาญการพิเศษ แปลว่าอะไร ตำแหน่งเหล่านี้ตั้งลอย ๆ ไม่ได้ปฏิบัติภารกิจอะไรเป็นเรื่องเป็นราว หรือบางอย่างเป็นงานที่พลเรือนทำก็น่าจะดีกว่า เช่น งานพัฒนา งานกู้ภัย บางอย่างทหารเป็นผู้ช่วย ไม่ได้เป็นกำลังหลัก กองทัพของเราน่าจะลดกำลังพลให้มีขนาดเล็กลง เราเอาเฉพาะส่วนที่จำเป็นจริง ๆ ส่วนที่ไม่จำเป็นจะต้องตัดออกไป”
สุภลักษณ์ กาญจนขุนดี
นอกจากนี้ แม้หลายประเทศจะยังคงใช้ระบบเกณฑ์ทหาร แต่ก็น่าสนใจว่าโมเดลของต่างประเทศแตกต่างจากของไทย
อิสราเอลที่ต้องเผชิญหน้ากับความขัดแย้งอย่างต่อเนื่อง มีการใช้ระบบการคัดเลือกแบบคัดสรร หรือ selective draft เพื่อนำคนที่มีทักษะและความสามารถพิเศษไปประจำการในหน่วยงานที่เหมาะสม เพื่อต่อยอดนวัตกรรมและเศรษฐกิจของประเทศ
เช่นเดียวกับเกาหลีใต้ที่มีโปรแกรมทางเลือกสำหรับผู้มีทักษะเฉพาะด้าน เช่น ผู้เชี่ยวชาญด้านไซเบอร์หรือผู้มีความสามารถด้านดนตรี เพื่อให้บุคคลเหล่านี้ได้ใช้ความสามารถในการรับใช้ชาติอย่างเต็มที่
ในการปฏิรูปกองทัพ จึงมีข้อเสนอให้ปรับลดขนาดกองทัพลง และหันไปใช้ระบบทหารอาชีพ ที่เน้นความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง ซึ่งบุคลากรเหล่านี้จะได้รับการฝึกฝนด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย และสามารถปกป้องประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วยงบประมาณน้อยกว่า เมื่อเทียบกับปัจจุบันที่มีการใช้กำลังพลที่มากกว่า แต่ขาดทักษะการรบ
แม้จะมีความพยายามลดขนาดกองทัพ แต่โครงการเหล่านั้นก็ยังไม่คืบหน้าเท่าที่ควร เพราะสวัสดิการและผลประโยชน์ที่ข้าราชการทหารได้รับตลอดชีวิตยังคงเป็นแรงจูงใจสำคัญ ทำให้ไม่มีใครอยากลาออกก่อนกำหนด
อย่างไรก็ตาม การปฏิรูปก็ยังมีความเป็นไปได้ หากกองทัพทบทวนหลักการจัดกำลังพลใหม่ให้สอดคล้องกับความจำเป็นในปัจจุบัน ค่อย ๆ ลดกำลังพลในส่วนที่ไม่เกี่ยวข้องกับการรบโดยตรง และเปิดรับ ‘ข้าราชการพลเรือนฝ่ายกลาโหม’ เข้ามาทำงานแทน พร้อมเพิ่มแรงจูงใจในการสมัครเป็นทหาร เช่น ค่าตอบแทน ทุนการศึกษา หรือสวัสดิการอื่น ๆ เพื่อให้ได้บุคลากรที่มีคุณภาพและสมัครใจเข้ามารับใช้ชาติจริง ๆ
ระบบยุติธรรมทหาร: เอกเทศและขาดความโปร่งใส
ในยามที่ไม่มีศึกสงคราม จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมีการฝึกซ้อมอย่างสม่ำเสมอ เพราะในสนามรบจริงที่ต้องเผชิญกับความเป็นความตาย การเตรียมความพร้อมจึงเป็นสิ่งที่จะช่วยลดความสูญเสียได้
นี่คือเหตุผลของฝ่ายทหารที่เชื่อมั่นว่า การฝึกฝน และการธำรงวินัย หรือที่เรียกว่า ‘การซ่อม’ เป็นหลักสูตรสากลที่จำเป็น โดยเฉพาะในช่วงปีแรก เพื่อเตรียมทหารใหม่ให้พร้อมสำหรับปฏิบัติภารกิจ มีความเข้มแข็งและมีระเบียบวินัยอย่างรวดเร็ว และก้าวสู่การเป็นทหารอาชีพอย่างเต็มตัว
แต่ในอีกด้านหนึ่ง แม้ว่าการฝึกจะเป็นสิ่งจำเป็น แต่ก็มักมีข่าวการฝึกที่รุนแรงเกินไปจนเป็นอันตรายถึงชีวิต ส่วนหนึ่งอาจเป็นผลมาจากการรับบุคลากรที่ไม่ได้สมัครใจเข้ามาด้วย ทำให้สังคมตั้งคำถามว่า การฝึกหนักแบบนี้ยังจำเป็นอยู่หรือไม่
ระบบที่ใช้ความรุนแรงในหมู่ทหาร ไม่ว่าจะเป็นการเอาหัวปักพื้น การทุบตี การบังคับให้ลงไปแช่ในบ่ออุจจาระ การพุ่งหลัง การแถกปลาหมอ แม้ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา สังคมจะเริ่มจับตามองมากขึ้น แต่ความรุนแรงก็ยังเกิดขึ้นหลังกำแพงค่ายทหารอย่างต่อเนื่อง
ตัวอย่างหนึ่งคือ กรณีของ “เมย” นักเรียนเตรียมทหาร ที่แม้จะมีการตัดสินโทษไปแล้ว แต่สังคมก็ยังตั้งคำถามถึงความเหมาะสมของบทลงโทษที่ไม่เป็นธรรม การปฏิรูปกองทัพจึงไม่ได้จำกัดอยู่แค่การฝึก แต่รวมถึงวัฒนธรรมองค์กรและกระบวนการยุติธรรมด้วย

“หลายแห่งโดยเฉพาะประเทศเจริญแล้วจะไม่มีการทำร้ายกันใด ๆ ทั้งสิ้น ใครทำร้ายหรือไปทำอะไรไม่ดีกับเด็กใหม่ แม้แต่ถูกเนื้อต้องตัว เขาไล่ออก ก็จะไม่มีการทำผิดในเรื่องนี้ เพราะการถูกไล่ออกเป็นเรื่องใหญ่มาก ถ้าเราไม่จัดการเรื่องนี้มันก็จะมีอยู่เรื่อยไป”
พลเอก บุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุด
แม้ปัจจุบันมีการทบทวนกฎหมายหลายฉบับ เช่น พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย แต่ก็มีคำถามว่าแล้วใครจะกล้าตรวจสอบภายในกองทัพ เพราะคดีความในค่ายทหารมักเป็นเรื่องภายในที่บุคคลภายนอกเข้าถึงได้ยาก
ปัญหาจึงอยู่ที่ระบบยุติธรรมทหาร ซึ่งมีความเป็นเอกเทศและขาดความโปร่งใส ผู้พิพากษา บางครั้งก็เป็นเพียงผู้บังคับบัญชาโดยตำแหน่ง ไม่ได้มีความเชี่ยวชาญด้านกฎหมาย ทำให้การตัดสินและบทลงโทษอาจไม่เป็นธรรม
สุภลักษณ์ มีข้อเสนอว่า การปฏิรูปต้องเริ่มจากการจำกัดอำนาจศาลทหารให้ใช้ในยามจำเป็นเท่านั้น เช่น ในสถานการณ์สงคราม หรือกรณีที่เป็นความผิดวินัยทางทหาร ส่วนคดีอาญาในค่ายทหารที่เกี่ยวข้องกับชีวิตหรือการทำร้ายร่างกาย ควรเข้าสู่กระบวนการของศาลพลเรือนเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและความโปร่งใสในการตรวจสอบ
ท้ายที่สุด การปฏิรูปที่ยั่งยืนคือการที่กองทัพต้องเปลี่ยนทัศนคติว่ากำลังพลทุกคนคือบุคลากรที่ต้องได้รับการปฏิบัติอย่างมืออาชีพ ไม่ใช่แค่การใช้อำนาจหรืออาวุโสในการสั่งการอย่างไร้เหตุผล เพื่อให้กองทัพเป็นสถาบันที่มุ่งมั่นกับภารกิจหลัก และเป็นที่ยอมรับของประชาชน
ธุรกิจกองทัพ: สวัสดิการกำลังพล…หรือผลประโยชน์ใคร?
อีกประเด็นที่ถูกตั้งคำถามมาตลอด คือ ธุรกิจกองทัพ เพราะหลายเหตุการณ์กองทัพต้องทำธุรกิจที่ดูแล้วไม่เกี่ยวข้องกับภารกิจหลักในการป้องกันประเทศ รวมถึงการมีนายทหารเข้าไปนั่งเป็นกรรมการในบริษัทใหญ่ และรัฐวิสาหกิจต่าง ๆ จำนวนไม่น้อย
หากจะทำความเข้าใจในเรื่องนี้ ต้องย้อนกลับไปในยุคเริ่มต้นที่กองทัพเข้ามาเกี่ยวข้องกับธุรกิจ ซึ่งในยุคนั้นภาคเอกชนยังไม่แข็งแรงพอ และยังเป็นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงของประเทศ อาทิ ธุรกิจพลังงานและคลื่นความถี่ อย่างสื่อวิทยุ โทรทัศน์
ในปัจจุบัน แม้บริบททางเศรษฐกิจ และความมั่นคงจะเปลี่ยนไปแล้ว แต่กองทัพได้ให้เหตุผลว่าที่ยังต้องทำธุรกิจเหล่านี้อยู่ก็เพื่อหารายได้เสริมเพื่อสวัสดิการกำลังพล โดยอาศัยการถือครองที่ดินของรัฐจำนวนมหาศาล ทำธุรกิจต่าง ๆ ตั้งแต่สนามกอล์ฟ ที่พัก โรงแรม ไปจนถึงกิจการสื่อ
ท้ายที่สุดแล้ว กิจการเหล่านี้กลับประสบปัญหามากมาย เช่น ขาดประสิทธิภาพและขาดทุน เพราะกองทัพขาดความเชี่ยวชาญในการบริหารธุรกิจที่ซับซ้อน โดย สุภลักษณ์ ชี้ว่า กิจการหลายอย่างกลายเป็นภาระ และไม่สร้างรายได้เพียงพอที่จะนำมาใช้เป็นสวัสดิการอย่างที่อ้างไว้
สุภลักษณ์ ขยายความในเรื่องนี้ว่า รายได้จากธุรกิจเหล่านี้มักตกไม่ถึงกำลังพลชั้นล่าง แต่กลับกลายเป็นผลประโยชน์ของนายทหารระดับสูง ขณะที่กิจการบางอย่าง เช่น โรงแรมระดับ 4-5 ดาว ที่อ้างว่าเป็นสถานพักฟื้นของทหารผ่านศึก ก็สร้างความไม่เป็นธรรมเมื่อเทียบกับข้าราชการพลเรือนที่ไม่มีสวัสดิการแบบเดียวกัน
นอกจากนี้ ธุรกิจเหล่านี้ยังไม่ตอบโจทย์ความมั่นคง เช่น กิจการด้านสื่อที่ผลิตเนื้อหาความบันเทิงเป็นส่วนใหญ่ หรือกิจการพลังงานก็ให้ผลประกอบการที่น้อยมากเมื่อเทียบสัดส่วนกับความต้องการที่แท้จริง อีกทั้งยังไม่สามารถตอบสนองด้านสวัสดิการแก่กำลังพลได้ เพราะผูกอยู่กับความเสี่ยงทางธุรกิจมากเกินไป มิหนำซ้ำบางธุรกิจไม่เคยจ่ายเงินปันผลให้กับกองทุนสวัสดิการเลย
“กองทัพไม่ต้องทำธุรกิจหรอก เพราะทำให้สวัสดิการของกำลังพลไม่แน่นอน ผูกอยู่กับผลกำไรและความเสี่ยงทางธุรกิจ ถ้าเงินจำนวนแค่ร้อยล้าน ตั้งเป็นงบประมาณแล้วของบประมาณประจำปี ก็จะง่ายกว่า กองทัพก็จะได้โละธุรกิจนี้ออกไปเสีย แล้วภารกิจนี้ก็ไม่ต้องทำ แล้วไปโฟกัสที่เรื่องการป้องกันประเทศอย่างเดียว”
สุภลักษณ์ กาญจนขุนดี นักข่าวอิสระและนักวิชาการอิสระ
งบประมาณและการจัดซื้ออาวุธ: ช่องโหว่การตรวจสอบ การซ้ำซ้อนในการจัดซื้อ
งบประมาณของกระทรวงกลาโหมเป็นหนึ่งในประเด็นที่ถูกจับตามองมากที่สุด เพราะมีปริมาณสูง โดยเฉพาะงบประมาณที่สามเหล่าทัพใช้ในการจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์รวมกันแล้วก็ประมาณ 3 หมื่นล้านบาท
งบประมาณกลาโหมปี 2569 รวม 204,434 ล้านบาท
1. กองทัพบก 97,169 ล้านบาท
2. กองทัพเรือ 43,491 ล้านบาท
3. กองทัพอากาศ 37,721 ล้านบาท
4. กองบัญชาการกองทัพไทย 15,213 ล้านบาท
5. สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม 9,696 ล้านบาท
6. สถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ 1,142 ล้านบาท

เมื่อเกิดความขัดแย้งบริเวณชายแดน เรากลับเห็นการเปิดรับบริจาคเพื่อซื้ออุปกรณ์ช่วยเหลือทหาร ไม่ต่างจากเมื่อเกิดภัยพิบัติ แม้ภายหลังกองทัพได้ออกมาชี้แจงว่าเป็นเหตุจำเป็น เร่งด่วน แต่ก็ยังเกิดคำถาม ต่องบประมาณของกองทัพที่สูงลิ่วอยู่ดี
สุภลักษณ์ ชี้ว่า การบริจาคเป็นเพียงเรื่องที่สังคมต้องการบำรุงขวัญกำลังใจของทหาร มากกว่าจะเป็นความจริงจัง เพราะเงินบริจาคไม่อาจทดแทนงบประมาณมหาศาลได้ และการจัดซื้อยุทโธปกรณ์ผ่านการบริจาคก็อาจไม่เกิดประโยชน์ เพราะของที่ใช้ในกองทัพต้องเป็น ‘เกรดทหาร’ ที่มีสมรรถนะเฉพาะทาง ไม่ใช่ของที่หาซื้อได้ทั่วไปในตลาด
ที่สำคัญกว่านั้น การบริจาคยังสร้างช่องโหว่ให้กับการตรวจสอบ เพราะขาดระบบจัดซื้อจัดจ้างที่ชัดเจนและโปร่งใสเหมือนการใช้งบประมาณปกติ
นอกจากนี้ แม้จะมีการใช้งบประมาณมหาศาลเพื่อซื้ออาวุธที่ทันสมัย แต่ก็ยังมีปัญหาตามมา เพราะกองทัพไทยยังขาดหลักการ หรือ doctrine ที่ชัดเจนในการใช้งานเทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น โดรนหรืออากาศยานไร้คนขับ ทำให้แต่ละหน่วยงานต่างคนต่างซื้อจนเกิดความซ้ำซ้อนและสิ้นเปลืองงบประมาณ
อีกทั้ง สังคมยังตั้งคำถามกับความคุ้มค่าในการจัดซื้ออาวุธของกองทัพ โดยเฉพาะกรณีเรือดำน้ำที่ได้เครื่องยนต์ไม่ตรงตามสัญญา ซึ่ง พลเอก บุญสร้าง เห็นว่า ทหารเองก็ได้รับการอบรมให้มีความซื่อสัตย์ เห็นพ้องว่าความโปร่งใสเป็นสิ่งสำคัญ แต่ก็มีบางประเด็นที่ต้องพิจารณา เพราะมี ‘ความลับ’ ทางการทหารที่ไม่สามารถเปิดเผยได้ทั้งหมด
พลเอก บุญสร้าง เสนอว่า การปฏิรูปกองทัพเพื่อให้ทหารกับภาคประชาชนทำงานร่วมกันในการสร้างความมั่นคงของชาติ จะต้องเริ่มจากการถกเถียงบนพื้นฐานข้อเท็จจริง ไม่ใช่อคติหรือการรับฟังความเห็นข้างเดียว
คำถามสำคัญคือ เป้าหมายที่แท้จริงของการปฏิรูปกองทัพคืออะไร?
ผู้ต้องการปฏิรูปกองทัพเห็นตรงกันว่า การปฏิรูปไม่ได้หมายถึงการทำให้กองทัพอ่อนแอ แต่คือการสร้าง ‘อำนาจกำลังรบ’ ที่มีประสิทธิภาพภายใต้งบประมาณที่จำกัด
อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุดอย่าง พลเอก บุญสร้าง อธิบายว่า สิ่งที่ทุกกองทัพต้องการเหมือนกันคือ ชัยชนะในสงคราม ซึ่งปัจจัยสำคัญไม่ได้ขึ้นอยู่กับแค่ปริมาณเท่านั้น แต่ยังรวมถึงคุณภาพของบุคลากร อาวุธที่ทันสมัย และยุทธศาสตร์การรบที่ชาญฉลาดด้วย
ขณะที่นักวิชาการอิสระอย่าง สุภลักษณ์ มองว่า กองทัพที่เข้มแข็งต้องมีขนาดที่เหมาะสมกับภัยคุกคาม ไม่ใช่มีขนาดใหญ่เกินจำเป็น
“ปัจจุบันเรามีกำลังพลสูญเสียในการปะทะกับกัมพูชา เราไม่ใช้เทคโนโลยีอย่างเพียงพอหรือ ทำไมเราเหยียบกับระเบิด เราไม่มีอะไรที่ detect กับระเบิดก่อนที่จะให้ทหารเดินลาดตระเวนหรือ ทำไมเราไม่มีลักษณะของการเดินลาดตระเวนเป็นแบบไหน ทำไมถึงเหยียบกับระเบิดกันบ่อย แทนที่จะชี้นิ้วไปยังประเทศไหนก็ไม่รู้ว่าทำไมเอาระเบิดมาวาง ทำไมไม่บอกว่าเราไม่มีเทคโนโลยีที่ตรวจระเบิดก่อนเหรอ”
สุภลักษณ์ กาญจนขุนดี
ตัวอย่างการปฏิรูปกองทัพ ในภูมิภาคเอเชีย เกิดขึ้นจากปัจจัยที่แตกต่างกัน แต่บรรทัดสุดท้ายของคำตอบ คือ กองทัพ ต้องกลับไปทำหน้าที่ปกป้องประเทศเป็นภารกิจหลัก ภารกิจเดียว
ประเทศอินโดนีเซีย ในช่วง 3 ทศวรรษ ที่ประธานาธิบดีซูฮาร์โตมีอำนาจ ทหารมีบทบาทแทรกแซงทั้งการเมืองและเศรษฐกิจ ภายใต้หลักการ ‘สองหน้าที่’ หรือ dwifungsi (ทวิฟุงซี) ที่นายทหารเข้าไปนั่งในตำแหน่งสำคัญและทำธุรกิจมากมาย ซึ่งก่อให้เกิดการทุจริตและความเหลื่อมล้ำ


จนเมื่อเกิดวิกฤตเศรษฐกิจในทศวรรษ 1990 ความไม่พอใจก็ปะทุขึ้น กลายเป็นความขัดแย้งรุนแรง และกองทัพใช้กำลังปราบปรามจนเกิดการนองเลือด ท้ายที่สุดซูฮาร์โตต้องลาออก และอินโดนีเซียได้เริ่มต้นการปฏิรูปครั้งใหญ่เพื่อนำทหารออกจากการเมืองและธุรกิจอย่างถาวร
ประเทศเกาหลีใต้ ตลอดหลายทศวรรษหลังสงครามเกาหลี กองทัพมีบทบาททางการเมืองสูงมาก โดยเฉพาะในยุคที่ปกครองโดยผู้นำเผด็จการทหาร ซึ่งใช้กำลังปราบปรามผู้เห็นต่างอย่างรุนแรง เช่น เหตุการณ์สังหารหมู่ที่เมืองกวางจูในปี 1980 เหตุการณ์นี้กลายเป็นบาดแผลทางประวัติศาสตร์ จุดประกายให้เกิดการเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยครั้งใหญ่ในเกาหลีใต้ รวมถึงการปฏิรูปกองทัพให้ทหารมีภารกิจคือการปกป้องชาติและประชาชน ไม่ใช่แทรกแซงการเมือง


ดังเหตุการณ์ เมื่อ 3 ธันวาคม 2567 ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ประกาศกฎอัยการศึกเพื่อระงับการทำงานของรัฐสภา ทหารที่คุมกองกำลังเลือกที่จะไม่ปฏิบัติตามคำสั่งที่ขัดต่อหลักการประชาธิปไตยนี้ และเลือกที่จะยืนอยู่ข้างประชาชน สุดท้ายรัฐสภาสามารถลงมติยกเลิกกฎอัยการศึกได้ภายในไม่กี่ชั่วโมง และประธานาธิบดีก็ต้องยอมถอย
แต่การปฏิรูปกองทัพสามารถทำได้โดยไม่ต้องรอให้เกิดวิกฤตการณ์ร้ายแรงเหมือนในอินโดนีเซียหรือเกาหลีใต้ สิ่งแรกที่จะป้องกันความเสียหายได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ คือ การสร้างหลักการรับผิดชอบที่ชัดเจน
สุภลักษณ์ ย้ำชัดในแนวคิด “การเมือง นำการทหาร” เพราะรัฐบาลพลเรือนซึ่งมาจากการเลือกตั้งและได้รับอำนาจจากประชาชน ควรเป็นผู้รับผิดชอบการตัดสินใจเชิงยุทธศาสตร์ของประเทศ เพื่อไม่ให้กองทัพต้องรับภาระที่ไม่ใช่หน้าที่ของตน ซึ่งเป็นการ ‘เซฟกองทัพ’ จากความผิดพลาดทางการเมือง และทำให้ทหารมุ่งเน้นกับภารกิจทางยุทธวิธีได้อย่างเต็มที่
กำแพงปฏิรูป ทำไมกองทัพไทยเปลี่ยนยาก?
การปฏิรูปกองทัพโดยรัฐบาลพลเรือนในประเทศไทยเป็นเรื่องที่ทำได้ยากและไม่มีแนวโน้มว่าจะประสบความสำเร็จในอนาคตอันใกล้ ซึ่งอุปสรรคสำคัญที่สุดก็คือ ความไม่เข้มแข็งทางการเมืองของรัฐบาลพลเรือน
พรรคการเมืองมักต้องประนีประนอมกับกองทัพเพื่อความอยู่รอด เพราะในประเทศที่มีประวัติศาสตร์รัฐประหารอยู่บ่อยครั้ง การขัดแย้งกับทหารอาจนำไปสู่การถูกยึดอำนาจได้ง่าย ๆ คล้ายเดินอยู่กลางดงทุ่นระเบิด ทำให้แม้จะหาเสียงด้วยนโยบายปฏิรูปกองทัพ แต่เมื่อขึ้นสู่อำนาจก็ทำตามสัญญาไม่ได้
“ยกตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดตอนนี้ คือ พรรคเพื่อไทยตอนหาเสียงก็บอกอยากปฏิรูปกองทัพ แต่พอขึ้นสู่อำนาจจริง ๆ พอไม่ชนะเลือกตั้ง ก็ต้องทำดีล ประนีประนอมกับคนที่มีอำนาจอยู่เดิม ซึ่งส่วนหนึ่งก็คือกองทัพ เพราะฉะนั้นถึงเวลาที่เข้ามามีอำนาจ อะไรที่สัญญาไว้กับประชาชนก็ทำไม่ได้ เพราะกองทัพไม่ยอม
ส่วนเรื่องการจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์ที่บอกว่าจะเปลี่ยน ก็ไม่เห็นเปลี่ยน กองทัพอยากได้เรือดำน้ำในที่สุดก็ได้ โดยที่พรรคเพื่อไทยทำอะไรไม่ได้เลยแม้แต่น้อย การลดกำลังพล กองทัพบอกว่าจำเป็นต้องใช้อยู่แค่นี้ ก็เถียงไม่ออกแล้ว”
สุภลักษณ์ กาญจนขุนดี
นอกจากนี้ พรรคการเมืองส่วนใหญ่ยังขาดการศึกษาและข้อมูลที่เพียงพอเกี่ยวกับความจำเป็นด้านความมั่นคงที่แท้จริง ทำให้ไม่สามารถโต้แย้งหรือกำหนดทิศทางในการปฏิรูปกองทัพได้อย่างมีประสิทธิภาพ
“ไม่มีการศึกษาอย่างชัดเจนละเอียดว่า กำลังพลที่จำเป็นเท่าไร การ downsize ไม่ใช่จู่ ๆ นึกอยากจะทำก็ทำ ต้องคำนึงถึงภารกิจที่จะต้องทำ ส่วนใหญ่พรรคการเมืองร้อยทั้งร้อยไม่เคยศึกษาความจำเป็นในเรื่องความมั่นคงของกองทัพสักเท่าไร”
สุภลักษณ์ กาญจนขุนดี
อุปสรรคอีกประการหนึ่งคือ ปัจจัยภายในกองทัพเอง ทั้งทัศนคติที่ไม่ยอมเปลี่ยนแปลง และผลประโยชน์แอบแฝงของนายทหารระดับสูง ทำให้การเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องยาก แม้จะมีการเสนอแนะจากนายทหารรุ่นใหม่ ๆ ที่อยากเห็นกองทัพทันสมัยก็ตาม
ไม่เพียงเท่านั้น สุภลักษณ์ มองว่า กองทัพไทยยังไม่เคยผ่านการปฏิรูปอย่างจริงจังเหมือนในต่างประเทศ และเมื่อมีโอกาสเข้ามาบริหารประเทศแต่ประสบความล้มเหลว ก็ไม่เคยแสดงความรับผิดชอบ
“การปฏิรูปจะถูกต่อต้านอยู่เสมอ เพราะกองทัพไม่ตระหนักว่าภาระหน้าที่หลักของตัวเองทำได้ดีแค่ไหน แล้วภาระหน้าที่อื่นที่ทำอยู่ทำไปทำไม”
สุภลักษณ์ กาญจนขุนดี
ผนึกกำลัง ทหาร-รัฐบาลพลเรือน-พรรคการเมือง-ประชาชน
การปฏิรูปกองทัพจะสำเร็จได้ ยังต้องอาศัยแรงผลักดันจากภาคส่วนต่าง ๆ ในสังคม โดยเฉพาะพรรคการเมืองและภาคประชาสังคม
พรรคการเมืองต้องกล้าที่จะผลักดันการปฏิรูปเชิงโครงสร้าง มีนโยบายที่ชัดเจนในการลดบทบาททางการเมืองของกองทัพ และที่สำคัญ ต้องศึกษาและตั้งคำถามเกี่ยวกับงบประมาณและการจัดซื้ออาวุธอย่างละเอียดว่า คุ้มค่าเงินภาษีของประชาชน และตอบสนองต่อยุทธศาสตร์ความมั่นคงจริงหรือไม่ ไม่ใช่แค่พูดเพื่อหาเสียงแล้วทำไม่ได้จริง
การปฏิรูปกองทัพที่แท้จริงต้องทำให้ประชาชนเชื่อมั่นว่า ‘ระบบ’ ที่ดีจะผลิตผู้นำทหารที่มีคุณภาพขึ้นมาได้อย่างต่อเนื่อง โดยไม่ต้องยึดติดกับบุคคลใดบุคคลหนึ่ง และทุกคนในกองทัพก็มีความสามารถที่จะปฏิบัติภารกิจของตนได้
“ประชาชนมีส่วนอย่างมากที่จะ shape ให้กองทัพของเราเป็นหรือไม่เป็นอะไรอย่างไร ถ้าประชาชนมีความคิดนี้ พรรคการเมืองไหนไม่เสนอก็ไม่เลือก จึงเป็นเรื่องที่ต้องมาจาก public opinion ก่อน”
สุภลักษณ์ กาญจนขุนดี
ดังนั้น การปฏิรูปกองทัพจะต้องประกอบด้วยเจตจำนงของประชาชน รัฐบาลพลเรือน และพรรคการเมือง อีกทั้งยังต้องการความร่วมมือจากภายในกองทัพเองด้วย เพื่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงและยั่งยืน
นอกจากนี้ สังคมเองก็จะต้องมีบทบาทในการตั้งคำถามและตรวจสอบการทำงานของกองทัพไปพร้อมกัน
สิ่งที่ซ่อนมากับคำถาม “ทหารมีไว้ทำไม?” จึงสะท้อนถึงปัญหาเชิงโครงสร้างและบทบาทของกองทัพไทยที่กว้างไกลเกินกว่าหน้าที่หลักในการป้องกันประเทศ ไม่ว่าจะเป็นการเมือง เศรษฐกิจ หรือแม้กระทั่งความคิดและอุดมการณ์ของประชาชน
การถกเถียงจึงไม่ใช่เพียงเรื่องความจำเป็นของกองทัพ แต่คือการตั้งโจทย์ใหม่ว่า ประเทศไทยต้องการกองทัพแบบใดในศตวรรษนี้ และการปฏิรูปกองทัพไม่ใช่เรื่องเป็นไปไม่ได้ หากแต่ต้องเริ่มต้นจากการยอมรับว่า ทหารต้องกลับไปยืนในจุดที่ควรยืน คือเป็น “รั้วของชาติ” ที่ทำหน้าที่ปกป้องประเทศ เพื่อให้กองทัพเป็นสถาบันที่โปร่งใส เป็นมืออาชีพ และเป็นที่เชื่อมั่นของสังคม

