มองปมชายแดนไทย–กัมพูชา : ผ่านสายตา…ว่าที่ ‘นักรัฐศาสตร์-นิติศาสตร์’ รุ่นใหม่

ในห้วงเวลาที่เสียงปะทะตลอดแนวชายแดนไทย–กัมพูชายังไม่จางหาย ผู้คนนับแสนต้องอพยพออกจากบ้านซ้ำแล้วซ้ำเล่า ใช้ชีวิตภายใต้ความไม่แน่นอน กระทบทั้งปากท้อง ความปลอดภัย ในชั่วข้ามคืน คำถามว่า ความขัดแย้งนี้จะจบลงอย่างไร ? ก็ยังคงไร้ซึ่งคำตอบ

แม้เสียงส่วนใหญ่ของสังคมปรารถนาให้สถานการณ์คลี่คลายโดยเร็ว แต่การยุติความรุนแรงเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ ท่ามกลางภัยคุกคามและความสูญเสีย

ผู้เชี่ยวชาญหลากหลายสาขาออกมาอธิบายทั้งสาเหตุ ผลกระทบ และวิพากษ์วิจารณ์บทบาทการรับมือของรัฐ ทว่ายังมีอีกหนึ่งเสียงที่ค่อย ๆ ดังขึ้น นั่นคือเสียงของ คนรุ่นใหม่ ที่กำลังเรียนรู้กฎหมาย การเมือง และติดตามสถานการณ์นี้อย่างใกล้ชิด

The Active ชวนฟังมุมมองของว่าที่ นักนิติศาสตร์ และนักรัฐศาสตร์รุ่นใหม่ จากมหาวิทยาลัยในพื้นที่ใกล้แนวปะทะ ทั้งผู้ที่ศึกษาเหตุการณ์ผ่านตำรา และผู้ที่มีบ้านเกิดอยู่ท่ามกลางความขัดแย้งจริง บทสัมภาษณ์นี้สะท้อนคำถาม ข้อเสนอ และทางออกที่พวกเขาอยากเห็นต่อ ข้อพิพาทชายแดนไทย–กัมพูชา ในวันที่สงครามไม่ใช่เพียงเรื่องระหว่างรัฐ แต่คือชีวิตของผู้คน (บทสัมภาษณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 12 ธ.ค. 68)

จากเหตุการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา ในฐานะว่าที่นักรัฐศาสตร์-นิติศาสตร์ ประเมินการตอบสนองของรัฐบาลไทยอย่างไร ? อะไร ? คือจุดแข็ง-จุดอ่อน ที่ควรปรับปรุง

“ผมเห็นด้วยกับการตอบโต้ของรัฐบาล เพราะมีการรับมือมาตั้งแต่เนิ่น ๆ แล้ว และก็มีหลายวิธีไม่ว่าจะเป็นเรื่องการจำกัดการผ่านแดน ไปจนถึงการปิดชายแดน คือเป็นขั้นตอนตั้งแต่น้อยสุดไปจนถึงมากสุด”

คือสิ่งที่ กิตติพศ เซ่งขุนทอง นักศึกษาชั้นปีที่ 4 คณะรัฐศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ย้ำถึง จุดแข็งในการรับมือของรัฐบาลไทย นั่นคือการตอบโต้ และใช้มาตรการอย่างเป็นลำดับขั้น เริ่มจากการจำกัดการผ่านแดน ลดการค้าชายแดน ปรับลดเวลาเปิด-ปิดจุดผ่านแดน ไปจนถึงการปิดบางจุด และปิดตลอดแนว สะท้อนถึงการพยายามหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าโดยตรงในทันที ถือเป็นการลดระดับความสัมพันธ์ตามลำดับ

รวมถึงการใช้กลไกระหว่างประเทศ เช่น การเรียกร้องผ่าน UN และใช้การตอบโต้ทางทหาร ตามเงื่อนไขเมื่อมีการละเมิดอธิปไตย หรือการวางทุ่นระเบิด โดยมีเป้าหมายเพื่อตัดกำลัง และทำลายยุทโธปกรณ์ของอีกฝ่ายในบางจุด เพื่อป้องกันการตอบโต้กลับ แต่ไม่ใช่การรุกราน สิ่งนี้ กิตติพศ มองว่าเป็นจุดแข็งสำคัญที่ไทยยึดถือมาตลอด

ส่วนจุดอ่อนที่เขาเห็นว่าควรปรับปรุง คือ รัฐบาลควรหลีกเลี่ยงการใช้มุมมองของคนเมืองหรือคนกรุงเทพฯ เป็นตัวแทนของคนชายแดน เนื่องจากคนชายแดนมีอัตลักษณ์และความเป็นอยู่เฉพาะตัวที่ซับซ้อนกว่าการมองแค่เส้นแบ่งเขตแดน การปลูกฝังชาตินิยมที่รุนแรงเกินไป อาจนำไปสู่การมองข้ามปัญหาของประชาชนชายแดน และสร้างความเกลียดชังโดยไม่จำเป็น

การนำเสนอข้อมูลของรัฐควรเป็นข้อมูลที่รอบด้าน ไม่ใช่เพียงแค่การรายงานเหตุการณ์ทางทหาร แต่ต้องคำนึงถึงผลกระทบต่อประชาชนชายแดน และควรนำเสนอข้อมูลที่สะท้อนความเป็นจริงของชีวิตผู้คนในพื้นที่ การสื่อสารควรเน้นข้อเท็จจริงและความโปร่งใส ชี้แจงให้ประชาชนทั้งสองประเทศ และนานาชาติรับทราบ เพื่อสร้างความเข้าใจและลดความขัดแย้ง

ขณะที่ ชนาธิป เดี่ยววิไล นักศึกษาชั้นปีที่ 4 คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ก็ย้ำจุดแข็งของรัฐบาลต่อสถานการณ์นี้ คือ การรับมือและการโต้ตอบทางการทหารที่เป็นไปตามสมควร ส่วนจุดที่ควรปรับปรุง ก็เห็นตรงกันว่าคือเรื่องการสื่อสารข้อมูลข่าวสารที่ฝ่ายไทยอาจเสียเปรียบกัมพูชา เนื่องจากการคุมสื่อของฝ่ายกัมพูชามีความเบ็ดเสร็จมากกว่า และเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ส่งผลให้การสื่อสารทางการทูตได้เปรียบมากกว่าฝั่งไทย

สอดคล้องกับ ณัฐนันท์ ริทัศน์โส นักศึกษาชั้นปีที่ 3 คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ก็มองว่า ความพยายามที่จะควบคุมสถานการณ์ไม่ให้ลุกลาม คือ จุดแข็งของรัฐบาลไทย ส่วนจุดที่ควรปรับปรุง คือ ด้านการสื่อสารเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะการขาดความรวดเร็ว และการสื่อสารที่ชัดเจนกับประชาชน ป้องกันไม่ให้เกิดความกังวลในวงกว้าง เนื่องจากมีข่าวปลอม (Fake News) แพร่กระจายอย่างหลากหลายในช่วงเวลานี้

ถ้าอนาคตมีบทบาทในกลไกภาครัฐ ทั้งนักการทูต นักวางแผนนโยบายความมั่นคง หรือนักกฎหมาย จะใช้หลักคิด หรือแนวทางใดรับมือสถานการณ์ชายแดนลักษณะนี้ เพื่อรักษาผลประโยชน์ของประเทศ ?  

“เพื่อที่จะลดความเสี่ยงและรักษาผลประโยชน์ให้กับประเทศ ผมจะทำลักษณะคล้าย โดนัลด์ ทรัมป์ เขา America First ผมก็ Thai First”

เป็นมุมมองที่ ชนาธิป เสนอให้ยึดหลัก “ไทย First” โดยให้ความสำคัญกับเอกราช และอธิปไตยของประเทศไทยเป็นอันดับแรก เนื่องจากเขามองว่า หากไม่มีอธิปไตย ก็จะไม่สามารถบริหารจัดการสถานการณ์ได้ ต่อมาคือการคำนึงถึง ความปลอดภัยของประชาชน การปะทะย่อมมีการสูญเสีย ต้องหาวิธีลดการปะทะเพื่อลดการสูญเสีย โดยอาจใช้เทคโนโลยี หรือเครื่องมือเข้ามาช่วยในพื้นที่การปะทะ

นอกจากนั้นคือ การสื่อสาร โดยต้องใช้การสื่อสารเชิงรุกเพื่อสื่อสารกับประชาคมโลก และชี้แจงว่า ไทยไม่ใช่ฝ่ายผิดสัญญา รวมถึงต้องบูรณาการการสื่อสารจากรัฐบาลให้เป็นทิศทางเดียวกัน เพื่อนำเสนอข้อเท็จจริงและลดข่าวปลอม ส่วนในมิติทางเศรษฐกิจ เป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม เพราะส่งผลต่อความเป็นอยู่ของประชาชนในพื้นที่โดยตรง สรุปได้ว่า ความมั่นคง ข่าวสาร และเศรษฐกิจ ต้องทำงานสอดคล้องกัน

เช่นเดียวกับ ณัฐนันท์ ที่เน้นแนวคิดเรื่องความปลอดภัยของประชาชนเป็นหลัก ส่วนเรื่องการสื่อสารก็ต้องให้ข้อมูลประชาชนอย่างถูกต้อง และทันเวลา

สำหรับแนวคิดของ กิตติพศ ก็เน้น การทูต เป็นหลัก และส่งเสริมอัตลักษณ์ความเป็นชายแดน รวมถึงมนุษยธรรมร่วมกัน แทนการชูประเด็นชาตินิยม โดยวางแผนระยะยาวเพื่อลดความเกลียดชัง ส่งเสริมประเด็นอื่น ๆ ที่สร้างสรรค์ เช่น เขตการค้าปลอดภาษี หรือการส่งเสริมอัตลักษณ์ร่วมกัน อีกทั้งเสนอให้ปรับแก้หลักสูตรการศึกษาเพื่อลดการปลูกฝังความเกลียดชังต่อประเทศเพื่อนบ้าน และส่งเสริมความเข้าใจซึ่งกันและกัน

ในฐานะคนรุ่นใหม่…อะไร ? คือสิ่งที่สังคมไทยควรระมัดระวัง และให้ความสำคัญมากขึ้น 

กระแสสังคมในปัจจุบันที่มีทั้งฝ่ายสนับสนุนการใช้กำลัง และฝ่ายที่เน้นสันติภาพ คือสิ่งที่ ณัฐนันท์ อยากให้ระวังการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายและการเหมารวมว่าทุกคนคือภัยคุกคามแต่ควรพิจารณาเป็นรายบุคคล

เช่นกันกับ ชนาธิป ที่เห็นว่า ปัจจุบันกระแสสังคมมีสองด้าน คือ ฝ่ายที่ต้องการความขัดแย้งให้ถึงที่สุด และฝ่ายที่ต้องการเจรจา ดังนั้นควรระวังไม่ให้สุดโต่งไปทางใดทางหนึ่งมากเกินไป โดยเฉพาะการใช้กำลัง อาจส่งผลกระทบต่อประชาชนผู้บริสุทธิ์ นอกจากนั้นเห็นว่า การเจรจาเพียงอย่างเดียวอาจไม่ได้ผลหากคู่เจรจาไม่เคารพและปฏิบัติตาม จึงอยากให้สังคมมีจุดดุลยภาพในการคิดวิเคราะห์ข้อมูลข่าวสารให้ชัดเจน 

ส่วน กิตติพศ ก็อยากให้ระมัดระวังการรับข้อมูลข่าวสาร ประชาชนควรเสพข่าวสารอย่างมีวิจารณญาณ ตรวจสอบข้อมูลจากหลายแหล่ง และไม่ด่วนเชื่อข้อมูลที่อาจถูกบิดเบือนหรือมีอคติ

ยุบสภา เลือกตั้ง มีรัฐบาลใหม่
กระทบแค่ไหน ? กับการแก้ปัญหาชายแดน

กิตติพศ เชื่อว่า อาจส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงนโยบายระหว่างประเทศ หรือนโยบายทางการทูตบางอย่าง หากมีรัฐบาลชุดใหม่

ส่วน ชนาธิป ก็มองว่า ไม่เกิดผลกระทบ เนื่องจากมีการมอบหมายอำนาจหน้าที่ให้ทางทหารเรียบร้อยแล้ว 

ข้อเสนอ ที่อยากฝากถึงสังคมไทย หรือผู้กำหนดนโยบาย ต่อการลดความเสี่ยงสถานการณ์ความขัดแย้งไม่ให้เกิดขึ้นในอนาคต 

ชนาธิป ขอฝากไปถึงนักการเมืองว่าในช่วงเวลาวิกฤตควรให้ความสำคัญกับความมั่นคงของประเทศมากกว่าการแก้รัฐธรรมนูญ ส่วนแนวทางการป้องกันเหตุการณ์ในอนาคตนั้นขึ้นอยู่กับคู่เจรจาด้วย หากคู่เจรจาเข้าใจและเจรจาด้วยดี เหตุการณ์อาจไม่เกิดขึ้น และฝากถึงผู้กำหนดนโยบายว่าต้องรักษาสิทธิ์ของประเทศชาติให้มากที่สุด

เช่นกันกับ ณัฐนันท์ ที่เสนอต่อนักการเมืองควรให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของประชาชนชายแดน มากกว่าการผลักดันการแก้รัฐธรรมนูญ สำหรับผู้กำหนดนโยบายนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับหน่วยงานรัฐบาลฝ่ายเดียว แต่ขึ้นอยู่กับการตอบรับและเจรจาของอีกฝ่ายด้วยดังนั้นต้องมีแนวคิดและวิธีการป้องกัน รวมถึงการรับมือกับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้น

ปิดท้ายที่ กิตติพศ อยากให้สังคมเสพข่าวอย่างมีสติ ใจเย็น ไม่ปล่อยให้ความโกรธแค้นหรือชาตินิยมมาบดบังคุณธรรมที่คนไทยมีมาโดยตลอด และไม่ควรปฏิบัติตัวในลักษณะเดียวกับสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบ สำหรับเจ้าหน้าที่รัฐอยากเรียกร้องให้หาช่องทางยุติความขัดแย้งอย่างรวดเร็ว โดยคำนึงถึงความปลอดภัยของประชาชนทั้งสองประเทศ ที่สำคัญคือสถานการณ์นี้ อาจได้รับอิทธิพลจากการเปลี่ยนผ่านอำนาจของทั้งสองประเทศ และการชูประเด็นชาตินิยมเพื่อกลบปัญหาภายในหรือสร้างความชอบธรรมบางอย่าง ดังนั้นประชาชนจึงต้องรู้เท่าทันและเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างรอบด้าน

บทสัมภาษณ์นี้คือเสียงสะท้อนจากนักนิติศาสตร์ และนักรัฐศาสตร์รุ่นใหม่ ต่อสถานการณ์ความไม่สงบตามแนวชายแดนไทย–กัมพูชา ที่ยังไม่มีวีแววทางออก นอกจากการตั้งคำถามต่อสาเหตุ และการรับมือของรัฐ คนรุ่นใหม่ยังชี้ให้เห็นความสำคัญของการมีวิจารณญาณในการเสพสื่อ ในยุคที่ข้อมูล ข่าวลวง และอารมณ์ชาตินิยมหลั่งไหลอย่างไร้พรมแดน

พวกเขายังย้ำเตือนว่า ความขัดแย้งระหว่างรัฐ ไม่ควรถูกทำให้กลายเป็นความเกลียดชังระหว่างผู้คน เพราะท้ายที่สุดแล้ว ความมั่นคง ที่แท้จริง อาจไม่ได้วัดจากเส้นเขตแดน แต่วัดจากชีวิตความเป็นอยู่อย่างสงบสุขที่ทุกฝ่ายต้องเร่งหาข้อสรุปให้ได้โดยเร็ว เพื่อไม่ให้สถานการณ์เลวร้ายไปมากกว่านี้

Author

Alternative Text
AUTHOR

อภิญญา สูงชาญฐ์

สาขาวิชาภาษาไทย คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น