เย็บ-ปัก-ถัก-ทอ ผืนผ้า…ที่ชื่อว่า ‘ตัวตน’ และ ‘สังคม’ ของเยาวชนใน TEDxBangkok Youth 2025

TEDxBangkok Youth 2025 พื้นที่ส่งเสียงของเยาวชน ผ่านการพูดเพื่อส่งต่อไอเดียและแรงบันดาลใจ พร้อมชักชวนผู้คนสำรวจชีวิตและสังคมผ่าน 12 สปีกเกอร์ ในธีม “เย็บ ปัก ถัก ทอล์ก (Tied & Told)” ได้แรงบันดาลใจมาจากชีวิตในกรุงเทพฯ ซึ่งถือเป็นมหานครที่เปี่ยมด้วยเหตุการณ์ เส้นทาง

และเชื่อว่าหากเส้นเกิดจากจุด ชีวิตเราก็เกิดจากเหตุการณ์นับไม่ถ้วน ซึ่งแต่ละ ตัวตน เมื่อถูกเย็บ ปัก ถัก ทอ เข้าด้วยกัน ก็จะกลายเป็นผ้าผืนใหญ่ที่มีชื่อว่า สังคม ผ่าน 12 ทอล์ก จาก 3 ช่วง ได้แก่

1. เย็บตัวตน

  • จางจาง – จันทรพิมพ์ สังข์นิมิตร เด็กหญิงที่เชื่อว่าโต๊ะกินข้าวไม่ใช่แค่ที่วางจาน แต่เป็นที่วางใจของครอบครัว
  • ขุนพล – ขุนพล เจริญลาภนำชัย เยาวชนที่เชื่อว่า การหาตัวเองไม่ใช่การแข่งขัน แต่คือการเติบโตในจังหวะของเราเอง
  • ไข่มุก – ชนัญญา เลิศวัฒนามงคล สาวน้อยผู้เติบโตมากับแสงไฟและความคาดหวัง สู่การเรียนรู้ที่จะเห็นคุณค่าในตัวเอง
  • อุ๊นอุ่น – เติมอุ่น สันป่าแก้ว เด็กสาวผู้เคยรอดชีวิตมาได้เพราะหนังสือ และได้เรียนรู้ว่าการอ่านไม่ได้แค่ให้ความรู้ แต่ต่อเติมชีวิต

2. ปักความฝัน

  • มุกมิก  – ณัฐชา บุญโรจน์ ผู้อนุรักษ์ดวงดาว ที่อยากให้ดวงดาวอยู่คู่ท้องฟ้าประเทศไทยต่อไป
  • เซนต์ – ภูมิพัฒน์ วิไลชื่นผล เยาวชนที่เติบโตมากับ กรอบ ที่คนรอบข้างวาดไว้ สู่วันที่ได้เรียนรู้ความเป็นตัวเอง
  • แบมบู – อรวรา ธำรงพรสวัสดิ์ เด็กผู้หญิงที่เห็นคุณค่าในตัวเองอีกครั้ง จากสิ่งที่เรียบง่ายอย่าง “คำชม”
  • ฟาอีฟ – อัสฟัน ยูโซะ เด็กหนุ่มจากยะลา ผู้ผลักดันการสร้างศิลปะชุมชน ด้วยความเชื่อที่ว่า พลังของ community สามารถเปลี่ยนเมืองได้

3. ทอความหวัง 

  • เบย์ล่า – ชัญญา เบย์ล่า สมบูรณ์เวชชการ ศิลปินตัวน้อยผู้เรียนรู้ว่าความสมบูรณ์แบบ ไม่ได้เกิดจากพรสวรรค์เพียงอย่างเดียว
  • อันดา – กุลฑีรา ยอดช่าง เด็กสาวผู้เติบโตมากับวงการบันเทิงตั้งแต่เด็ก สู่การค้นพบว่าศิลปะการแสดงสามารถเยียยวผู้คนได้จริง ๆ
  • พีช – เพ็ญพิชชา ประสงค์เจริญ เด็กคนหนึ่งที่เติบโตมากับ “ความไม่พร้อม” แต่พลังความรักจากสายใยครอบครัว จะเป็นแรงที่พาเราผ่านทุกอุปสรรคไปได้
  • เพ้นท์ – วรินทร เส็งสุวรรณ คนรุ่นใหม่ที่เชื่อมั่นในพลังของครู และลุกขึ้นมาปกป้องคุณค่าของอาชีพที่มักถูกมองข้าม 

ส่งเสริมวัฒนธรรมการอ่าน พัฒนาสังคมด้วยหนังสือ

อุ๊นอุ่น – เติมอุ่น สันป่าแก้ว ระบุว่าหนังสือช่วยชีวิตได้ช่วยชีวิตตัวเอง จากการประสบอุบัติเหตุเฉียดตาย แต่รอดมาได้เพราะหนังสือเล่มหนาช่วยรองหัวไว้ และหนังสือยังเปลี่ยนชีวิต จากตอนเด็กเป็นเด็กเรียนรั้งท้าย จนครูบอกให้แม่พาไปหาหมอ แต่แม่เลือกที่จะพาเธอไปห้องสมุด TK Park ซึ่งทำให้เธอได้รู้จักกับหนังสือมากมาย และเปิดโลกให้กว้างขึ้นกว่าเดิม นอกจากนี้ยังมีหนังสืออีกหลายเล่ม ที่เปลี่ยนชีวิต เช่น The Myth of Sisyphus (ตำนานของซิซีฟัส) ที่สอนให้เธอได้เจอความหมายในความทุกข์ ทำให้เธอตัดสินใจ Gap Year (หยุดพัก 1 ปี) จนได้ทุนไปเรียนต่อในอเมริกาในที่สุด

“หนังสือพาอุ๊นอุ่นมาไกลมาก”

ตอนที่เรียนอยู่ต่างประเทศ เธอได้เห็น วัฒนธรรมการอ่านและนิเวศการอ่านที่แข็งแรง ต่างจากประเทศไทย ที่มีงานใหญ่อย่างงานหนังสือเพียงปีละ 2 ครั้ง และหนังสือไม่ได้อยู่ในทุก ๆ วัน ต่างจากประเทศและเมืองอื่น ๆ เช่น

บอสตัน ที่มีตู้ปันหนังสือทั่วประเทศ, ฟิลาเดลเฟีย ที่มีโครงการ Barbershops Books เอาหนังสือไปไว้ในร้านตัดผม, นิวยอร์ก ที่เจอคนขายหนังสือในขบวนรถ หรือร้านหนังสืออิสระอายุกว่าร้อยปีที่ยังอยู่ได้เพราะมีสมาคมร้านหนังสืออิสระ ในขณะที่สถานการณ์ร้านหนังสือในไทยยังน่าเป็นห่วง จาก 2,500 ร้าน เหลือเพียง 800 ร้านเท่านั้นในปีนี้

อุ๊นอุ่น – เติมอุ่น สันป่าแก้ว

สำหรับประเทศอื่น ๆ ทั่วโลกต่างก็มีการส่งเสริมร้านหนังสืออิสระและวัฒนธรรมการอ่าน เช่น ญี่ปุ่น มีย่านร้านหนังสืออิสระ, เกาหลี มีสถาบันสนับสนุนและแปลหนังสือ ซึ่งปี 2024 ที่ผ่านมาก็มีนักเขียนเกาหลี “ฮัน คัง” ได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรม หรือการสร้างห้องสมุดประชาชนให้คนในชาติ ตอนครบรอบ 100 ปีประเทศฟินแลนด์

การสร้างวัฒนธรรมการอ่านนั้น อุ๊นอุ่นมองว่า ไม่ได้มาจากผู้อ่านเพียงอย่างเดียว แต่ต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายฝ่าย เปรียบเหมือนหนังสือหนึ่งเล่มที่มีหลายบทหลายตอนมารวมกัน เช่น 

  • โครงสร้าง อย่างการมีสถาบันการอ่านแห่งชาติ องค์กรสนับสนุนนักเขียนและนักแปล หรือโครงการหนึ่งตำบลหนึ่งห้องสมุด
  • เศรษฐกิจ เช่น การทำให้หนังสืออยู่ได้ ราคาเข้าถึงได้
  • กฎหมาย เช่น การควบคุมราคาหนังสือ
  • วัฒนธรรม ทำให้หนังสืออยู่ในพื้นที่ในทุกวัน เช่น ผู้ปกครองพาลูกเข้าร้านหนังสือ โณงเรียนมีห้องสมุด หรือมีตู้ปันหนังสือในชุมชน

ที่ต้องสนับสนุนการอ่าน เพราะมองว่า หนังสือช่วยพัฒนาคน และทำให้คนไปสร้างสังคมต่อได้ เธอยกตัวอย่าง 4 In ที่ได้จากการอ่านหนังสือ ได้แก่

  • Information (ข้อมูลเข้าถึงทุกคน)
  • Intellect (ความรู้ เปรียบเหมือนเป็นฟิตเนสของสมอง)
  • Insight (ความเข้าใจ เห็นความแตกต่าง)
  • Inspiration (แรงบันดาลใจในการสรรสร้างสิ่งต่าง ๆ)

สิ่งเหล่านี้ล้วนสะท้อนว่าการอ่านจำเป็น และการจะเกิดวัฒนธรรมการอ่านที่เข้มแข็งได้ ต้องมีระบบนิเวศที่เอื้อต่อการอ่าน ทั้งรัฐ ชุมชน ผู้ปกครอง หรือทุกคนสามารถสร้างพื้นที่การอ่านในทุกวันได้ เช่น พกหนังสือ เข้าร่วม Bookclub เข้าห้องสมุด หยิบหนังสือที่ไม่เคยอ่านที่บ้านมาอ่าน หรือสนับสนุนร้านหนังสืออิสระ

“หนังสือยังรักษาความเป็นมนุษย์
สังคมเลยต้องรักษาลมหายใจของหนังสือไม่ให้ดับลง”

แสงประกายของความฝัน ในวันที่แสงดาวกำลังหายไป

มุกมิก – ณัฐชา บุญโรจน์ เล่าถึง Magic Moment หรือช่วงเวลาต้องมนตร์ของตัวเองที่ทำให้ประทับใจไม่รู้ลืม หนึ่งในนั้นคือตอนขึ้นไปบนภูเขาช่วงเรียนมหาวิทยาลัย ในเวลากลางคืนเธอได้เห็นดวงดาวกระจายตัวอยู่ทั่วท้องฟ้า และได้เห็นดาวตกเป็นครั้งแรก ความประทับใจในครั้งนั้นเป็นเหตุผลที่เธอพยายามพาตัวเองไปข้องเกี่ยวกับด้านดาราศาสตร์ เช่น ไปดูดาว เข้าชมรมดาราศาสตร์ และกลายมาเป็นอาชีพไกด์ดูดาวที่ทำให้เธอสามารถดูดวงดาวได้ในทุกวัน

มุกมิก – ณัฐชา บุญโรจน์

เธอเคยไปเจอกระทู้ใน Reddit (คล้าย ๆ Pantip ของไทย) ที่บอกว่า “ไปดูดาวในเอเชียที่ไหนก็ได้ ที่ไม่ใช่ประเทศไทย” ทำให้ไกด์ดูดาวคนนี้ตั้งคำถามว่าทำไมถึงดูดาวที่ไทยไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่ประเทศเราก็สวย ประจวบกับช่วงเวลาดังกล่าวเริ่มตั้งคำถามถึงสิ่งที่ทำ จึงได้กลับไปที่ภูเขาลูกนั้นอีกครั้งเพื่อเติมไฟ

แต่การดูดาวในวันนั้นแตกต่างออกไป เธอแทบมองไม่เห็นดาวเพราะมีแสงไฟบดบัง น่าเศร้าที่สถานการณ์ฝืนฟ้าไร้แสงดาวไม่ได้เกิดแค่ที่นั่นที่เดียว แต่กระจายไปหลายพื้นที่ เนื่องจาก มลภาวะทางแสง โดยจากข้อมูลพบว่า ท้องฟ้าสว่างเพิ่มขึ้น 10% ในทุกปี และภายใน 20 ปี ดวงดาวจะหายไป ซึ่งอาจทำให้เด็กที่เกิดหลังจากเรา จะไม่มีโอกาสได้เห็นดวงดาวเต็มท้องฟ้า

ผืนฟ้าไร้ดวงดาวไม่ได้กระทบแค่คนที่รักดวงดาวเท่านั้น แต่รวมไปถึงสัตว์ต่าง ๆ ที่ใช้แสงจากดวงดาว เช่น สัตว์ต่าง ๆ ที่อพยพโดยใช้แสงดาวนำทาง หรือลูกเต่าทะเลเพื่อนำทางไปยังทะเล แต่แสงไฟจากเมืองทำให้หลงทาง และทำให้ลูกเต่าตายเป็นจำนวนมาก

มุกมิก ยังตั้งคำถามต่อว่าสัตว์เหล่านี้ตายเพราะอะไร เธอได้คำตอบว่า เพราะความไม่รู้ที่อยู่ร่วมกับแสงไฟ โดยยกตัวอย่างการอยู่ร่วมกันแสงไฟ เช่น การตั้งหรือออกไปท่องเที่ยวในพื้นที่อนุรักษ์ท้องฟ้ามืด (Amazing Dark Sky) เพื่อให้ประเทศนี้มีสถานที่เหล่านี้อยู่ หรือสิ่งง่าย ๆ อย่างการควบคุมแสงไฟ ปรับให้เป็นสีสบายตา ลดความเข้มแสงไฟลง หรือง่ายที่สุดอย่างปิดไฟเมื่อไม่ใช้

มุกมิก – ณัฐชา บุญโรจน์

เธอยอมรับว่า ไม่รู้ว่าการมาพูดในวันนี้จะเปลี่ยนแปลงอะไรได้มากแค่ไหน หรืออีก 20 ปีข้างหน้าจะยังมีดวงดาวให้เห็นอยู่หรือไม่ สิ่งที่เธอรู้ในวันนี้คือ ดวงดาวและดาวตกในวันนั้น ได้จุดประกายอะไรหลาย ๆ อย่างในตัวเธอ ทั้งความฝันและความหวัง ส่วนหนึ่งพาเธอมายืนอยู่ ณ ตรงนี้

“หวังว่าในอนาคตจะมีใครสักคน มองขึ้นไปยังท้องฟ้า
แล้วยังมีดวงดาวคอยจุดประกาย ให้อะไรบางอย่างเหมือนที่มุกมิกเคยได้รับ”

‘ยะลา’ เมือง(ไม่)ไร้ความหวัง เปลี่ยนด้วยศิลปะชุมชนและทรัพยากรหัวใจ

ฟาอีฟ – อัสฟัน ยูโซะ แนะนำให้รู้จักคำว่า “กีมานอ” เป็นภาษามลายู แปลว่า “มาจากไหน” ซึ่งถูกถามโดยคนละแวกบ้านตอนที่เขาอยู่นราธิวาส “ฟาอีฟ กีมานอ มากินชากินขนมก่อน” ไม่ใช่แค่คนเดียว แต่เพื่อนบ้านหลาย ๆ คนก็ชักชวนให้ไปกินขนม แม้ฟาอีฟจะไม่รู้จักเขาก็ตาม

ฟาอีฟ – อัสฟัน ยูโซะ

แม้ว่าภายหลังฟาอีฟได้ย้ายมาอยู่ยะลา แต่เขาก็ยังได้ยินประโยคที่อบอุ่นนี้ วันหนึ่งที่เขาอยู่หน้าบ้าน ก็มีคนมาชักชวนให้ไปกินข้าวที่มัสยิด เนื่องจากทุกวันพฤหัสจะมีข้าวให้กินฟรี ทำให้เขาได้พบคอมมูนิตี้ (Community) คนในชุมชนนั่งล้อมวงกันกินข้าว ซึ่งไม่ได้ทำให้แค่อิ่มท้อง แต่ทำให้เรียนรู้หลายอย่าง

โดยเฉพาะความหลากหลายของผู้คน หลากภาษา หลากการแต่งกาย เป็นความหลากหลายที่เหมือนเมืองยะลาแห่งนี้ ฟาอีฟตั้งคำถามโดยเปรียบกับอาหารที่เขากินในมัสยิดว่า

“ทำไมเมนู ยะลา ถึงไม่สามารถส่งออกให้คนข้างนอกได้เห็น หรือได้ลิ้มรส”

ในขณะที่ภาพจำยะลากลับเป็นอีกแบบหนึ่ง เช่น ประโยค “กีมานอ” ที่ถามโดยด่านตรวจ ขอตรวจค้นเพื่อความปลอดภัย หรือตอน ม.4 ที่ฟาอีฟขึ้นมาแข่งกิจกรรมที่กรุงเทพฯ ก็โดนพิธีกรรายการถามว่า “เอาระเบิดมาด้วยรึเปล่า” แล้วคนในห้องส่งก็หัวเราะ วันนั้นเขายอมรับว่า เขาเด็กเกินที่จะหยัดยืนแม้ภายในรู้สึกโกรธมาก็ตาม

“ผมไม่เข้าใจว่าความตายของคนในบ้านผมมันตลกตรงไหน
ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงเป็นมุกตลกได้ ไม่เข้าใจว่าหัวเราะอะไร” 

ความโกรธและหงุดหงิดที่เกิดขึ้น ไม่ใช่แค่เพราะคนนอกมองเข้ามาด้วยความขบขัน แม้แต่คนรอบข้างในยะลาด้วยกันเอง ก็ไม่เชื่อว่ายะลาดีกว่านี้ได้ และบอกฟาอีฟว่า ให้มองโลกตามความเป็นจริง เพราะเมืองยะลาไม่มีโอกาสมากนัก

ในตอนนั้นฟาอีฟมีคำถามและความรู้สึกเกิดขึ้นมากมาย ความโกรธ ความเกลียด ความเศร้า ที่ไม่รู้ว่าจะจัดการความรู้สึกเหล่านี้ยังไง และจะทำอย่างไรให้เด็กในยะลามีอนาคตที่ดีขึ้น

เขาได้รู้จักกับ Tommy the Clown หรือตัวตลกทอมมี่ ซึ่งโตมาในเซาท์เซ็นทรัล ลอสแอนเจลิส อเมริกา ที่ขึ้นชื่อเรื่องความรุนแรง อาชญากรรม การค้ายาเสพติด ทอมมี่ได้ชวนเด็กมาเต้นเพื่อให้เด็กเหล่านั้นเลิกสนใจยาเสพติดหรือกิจกรรมความรุนแรงอื่น ๆ ภายหลังได้มีการตั้งกลุ่มกว่า 60 กลุ่ม เด็กมีคอมมูนิตี้ แปรเปลี่ยนความโกรธไปโฟกัสการเต้นแทน

ฟาอีฟ – อัสฟัน ยูโซะ

สิ่งที่เขาได้เรียนรู้จากตัวตลกคนนี้ไม่ใช่การเต้น แต่คือการเปลี่ยนแปลงพลังความเจ็บปวดและความรู้สึกแย่ ไม่ใช่การระงับเก็บไว้ แต่แสดงออกมาผ่านความคิดสร้างสรรค์

นำมาสู่การทำนิทรรศการ Pain-ting บอกเล่าเรื่องราวของจิตรกรรมและความเจ็บปวด รวบรวมเสียงของเยาวชน เพื่อส่งเสียงถึงความยากลำบากในการทำงานศิลปะ หากไม่มีคนคอยสนับสนุน ตอนแรกเขาได้ชวนดีไซเนอร์รุ่นน้องมาร่วมงาน แต่อีกฝ่ายยังลังเลในความสามารถของตัวเอง

ฟาอีฟ ระบุว่า เขาก็เป็นเหมือนกัน ไม่มีวิธีที่ดีที่สุด มีแค่ต้องลงมือทำ นิทรรศการนี้ส่งผลให้รุ่นน้องคนนั้นติดมหาวิทยาลัยระดับต้น ๆ ของประเทศ ที่เปิดรับเพียง 10 คน และเป็นเด็กจากสามจังหวัดชายแดนใต้คนเดียวในประวัติศาสตร์ที่ติด ภายหลังรุ่นน้องได้มาขอบคุณฟาอีฟที่สร้างคอมมูนิตี้ศิลปะนี้ขึ้น ฟาอีฟก็บอกกลับไปว่า “คุณทำของคุณด้วยตัวเอง ผมแค่ทำคอมมูนิตี้เพื่อให้คุณมีที่แสดงออก” สะท้อนให้เห็นว่าคอมมูนิตี้เป็นเรื่องสำคัญ เพราะทำให้คนรู้สึกว่าตัวเองสามารถเติบโตไปมีความสามารถได้ และรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้อยู่หรือต่อสู้กับสังคมเพียงลำพัง 

ฟาอีฟ ระบุอีกว่า สิ่งที่ทำให้เขาสามารถทำสิ่งนี้ได้คือ ทรัพยากรหัวใจ ซึ่งจะมีเมื่อสามารถผ่านเรื่องร้าย ๆ ไปได้ ทำให้เรามีหัวใจที่แข็งแรงมากขึ้น เขายกตัวอย่างถึงรุ่นน้องที่คุณแม่โดนยิง แต่วันรุ่งขึ้นต้องไปโรงเรียน เพื่ออนาคตตัวเอง เพราะอนาคตใครจะมาดูแลเขาเมื่อไม่มีพ่อแม่ ฟาอีฟมองว่านี่คือทรัพยากรหัวใจที่แข็งแรง และถ้าเราสามารถผ่านสิ่งนี้ไปได้ จะไม่มีอะไรที่ยากกว่านี้อีกแล้ว

หากมีใครถามว่า “ฟาอีฟ กีมานอ” เขาจะตอบว่า มาจากเมืองที่เปลี่ยนความเจ็บปวด ความเศร้า ความระทม ผ่านความคิดสร้างสรรค์ เมืองที่ใช้ทรัพยากรหัวใจ ลุกขึ้นมาทำอะไรโดยไม่ต้องรอโอกาส

“ทุกคนในนี้เคยผ่านเหตุการณ์เลวร้ายมา อย่าหลงลืม อย่าเมินเฉย สิ่งนี่คือทรัพยากรที่ยิ่งใหญ่ เปลี่ยนเป็นทรัพยากรหัวใจ จะไม่มีอะไรหยุดเราได้ เพื่อเปลี่ยนพื้นที่ เปลี่ยนเมือง เปลี่ยนอนาคตของเรา”

จากครู ถึงครู จงเชื่อมั่นในศักยภาพของตัวเอง

เพ้นท์ – วรินทร เส็งสุวรรณ เล่าว่าตัวเองเป็นครูคนหนึ่ง ซึ่งหลายคนอาจคิดว่าเป็นอาชีพที่สบาย แต่จริง ๆ แล้วไม่ เพราะว่าครูไม่ได้แค่สอนหนังสือ แต่ต้องตื่นเช้า คาบแรกเริ่มสอนตอน 8:30 น. หรือถ้าบางวันเป็นเวร ก็ต้องมายืนยิ้ม (แต่แอบหาว) ตั้งแต่ 6:30 น. กระบวนการสอนก็ไม่ได้แค่สอนตามตำรา แต่ต้องออกแบบกระบวนการใหม่ ๆ เช่น ทำสไลด์ หรือสื่อการเรียนการสอน เพราะเด็กแต่ละคนมีวิธีการเรียนรู้ที่ต่างกัน หรืออาจมีภารกิจเสริมอื่น ๆ เช่น หากเป็นครูประจำชั้น ก็แทบไม่ได้พักกลางวัน เนื่องจากมีเด็ก ๆ มาฟ้องเรื่องต่าง ๆ หรือการทำโครงการ เอกสารรายงาน คำสั่งสารพัด

“อดคิดไม่ได้ว่า ใครกันที่พูดว่าเป็นครูมันสบาย”

เพ้นท์ – วรินทร เส็งสุวรรณ

ครูเพ้นท์เป็นครูสอนภาษาอังกฤษ เชื่อว่าเด็กไทยมีศักยภาพเรียนรู้ภาษา แต่ต้องสอนให้ถูกต้อง และมีพื้นที่ลองผิดลองถูก จึงได้รวมทีมกับเพื่อนอีก 4 คน ออกแบบกล่องของเล่นที่มี AI (ปัญญาประดิษฐ์) ฝึกทักษะการออกเสียงภาษาอังกฤษ ชื่อว่า Kit for Kids ทำให้การเรียนเหมือนการเล่น อย่างไรก็ตาม การได้มาซึ่งผลงานชิ้นนี้ไม่ได้ง่าย เพราะต้องแบ่งเวลาทำงานมาเขียนเรียงความ ยื่นขอทุน แก้บทสัมภาษณ์

อย่างไรก็ตาม ผลงานชิ้นนี้ทำให้ครูคนนี้ได้เป็นตัวแทนประเทศไทย เข้าร่วมโครงการผู้นำเยาวชนที่สหรัฐอเมริกา ที่นั่น เธอได้เจอผู้คนมากมายจากประเทศโซนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งรวมถึงคนไทยด้วยกัน ซึ่งเธอก็ถูกสบประมาทว่าไม่รู้จัก Pitching (การนำเสนอ) และสิ่งนี้แตกต่างจากการสอนหน้าชั้นเรียน คำปรามาสนี้ทำให้เธอไม่มั่นใจในตัวเอง และไม่กล้านำเสนอประเด็นการศึกษา

ครูคนนี้เล่าว่า ไม่ใช่แค่เพ้นท์คนเดียวที่รู้สึกแบบนี้ ผลการสำรวจพบว่ามีครูกว่า 7 ใน 10 คน ที่มองว่าสังคมมีทัศนคติแง่ลบต่ออาชีพครู ทำให้ไม่มั่นใจ และรู้สึกว่าสังคมไม่เชื่อมั่นในตัวครูมากพอ ซึ่งเธอมองว่าไม่น่าแปลกใจ เพราะจากประสบการณ์ส่วนตัว เธออยากเป็นหมอแต่สอบไม่ติด แม่เลยแนะนำให้เรียนครู สิ่งนี้ก็ยิ่งตอกย้ำว่า อาชีพครูไม่สำคัญเท่าอาชีพอื่น เพราะสอบไม่ติดก็มาเป็นครูแทนได้

จากเหตุการณ์ที่โดนคนไทยปรามาสข้างต้น เธอได้ไปปรึกษา Director ของโครงการ ซึ่งได้เน้นย้ำเพ้นท์ว่า Education is foundation of society หรือการศึกษาเป็นรากฐานของสังคม ทุกอาชีพล้วนเริ่มต้นจากการเรียนรู้ ไม่ว่าจะหมอ วิศวกร ก็ต้องมีครูด้วยกันทั้งนั้น ทำให้เธอนึกถึงสาเหตุที่เธออยากเป็นหมอในตอนแรก ก็มาจากครูสอนชีวะที่สอนเรื่องยากให้เข้าใจง่าย ให้คำปรึกษา และเป็นพื้นที่ปลอดภัย ท้ายที่สุดก็ได้ความมั่นใจกลับมา กล้าที่จะออกความเห็น และได้รับเสียงชื่นชมว่านำเสนอดีในท้ายที่สุด

ครูคนนี้ระบุว่า เธอไม่ได้กลับไทยมาในฐานะครูที่ไปต่างประเทศ แต่ในฐานะคนที่เข้าใจว่า ถ้าสังคมเชื่อมั่นในตัวครู เราจะได้เห็นครูที่เห็นว่าสิ่งที่ตัวเขาทำว่ามีคุณค่าขนาดไหน และความเชื่อนั้นจะสามารถส่งไปถึงเด็กและเยาวชนได้อย่างไร

“ฝากถึงครูทุกคน อย่ามองข้ามพลัง อย่ามองข้ามความเชื่อมั่นในตัวเอง เพราะครูอย่างพวกเรา สามารถพัฒนาเด็ก เยาวชน สังคม และโลกเราให้ดีขึ้นได้อย่างแน่นอน”

นอกจากนี้ ภายในงานยังมีกิจกรรมที่ชวนมา “เย็บ ปัก ถัก ทอ” ทั้งการทบทวนความเป็นตัวเองผ่านกิจกรรม Self Expression, ร่วมมองและออกแบบเมืองผ่านกิจกรรม Brainstorm City และเชื่อมโยงความเห็นซึ่งกันและกันผ่านกิจกรรม Collective Weaving

และยังนักพูดเยาวมิตรอีกหลากหลายคนที่ขึ้นมายืนบนเวที เพื่อบอกเล่าชีวิตที่ถูกร้อยเรียงขึ้นมาจากประสบการณ์ที่ประสบพบ ทั้งการมองเห็นคุณค่าในตัวเอง การรักตัวเอง การค้นหาตัวเอง ศิลปะการแสดง ดนตรี ครอบครัว ช่องว่างระหว่างวัย สะท้อนถึงการแบกรับความคาดหวังและความกดดันจากผู้ใหญ่และสังคม ซึ่งอาจแตกต่างจากสิ่งที่ผู้ใหญ่เผชิญเมื่อตอนยังเป็นเด็ก ผ่านการนำเสนอวิธีการรับมือที่แตกต่างกันออกไป

ด้วยความหวังที่ว่าเยาวชนที่มีประสบการณ์ร่วมจะผ่านมันไปได้ และผู้ใหญ่จะเข้าใจสิ่งที่เยาวรุ่นในยุคนี้ต้องเผชิญมากขึ้น

Author

Alternative Text
AUTHOR

ธนธร จิรรุจิเรข

สงสัยว่าตัวเองอยากเป็นนักวิเคราะห์ data ที่เขียนได้นิดหน่อย หรือนักเขียนที่วิเคราะห์ data ได้นิดหน่อยกันแน่

Alternative Text
PHOTOGRAPHER

อนวัช มีเพียร

รักโลก แต่รักคนบนโลกมากกว่า