“เด็ก คือ อนาคตของชาติ”
ประโยคคุ้นเคยที่นัยยะหนึ่ง คือ การสะท้อนถึงหมุดหมาย ความคาดหวังการพัฒนาประเทศ โดยมีเด็กเป็นแกนกลางความสำเร็จ แต่กว่าเด็กคนหนึ่งจะเติบโตขึ้นมาเป็นอนาคตของชาติได้นั้น คำถามสำคัญ คือ ‘ชาติ’ ได้วางรากฐานอะไรให้กับเด็กไว้บ้าง
เช่นเดียวกับสังคมไทยที่ให้ความสำคัญกับความเป็น ‘แม่’ แต่ก็เจือไปด้วยความคาดหวัง ทั้งการให้คุณค่าเชิงสัญลักษณ์ในกรอบคิดผู้สร้าง ทั้งคำกล่าวถึงพระคุณแม่ในหลากหลายมิติ ผ่านวาระสำคัญ เช่น วันแม่แห่งชาติ จนอาจลืมไปว่า แม่ ที่กำลังมุ่งมั่นสร้างอนาคตที่ดีให้กับลูกนั้น กำลังต่อสู้ ทุ่มเทแรงกายเลี้ยงดูลูก ตั้งแต่ในครรภ์ จนลืมตาดูโลก ได้รับการสนับสนุนจากรัฐเพียงพอหรือไม่
แม่ : เลี้ยงลูก-ดูแลบ้าน-ทำงาน เดอะแบกที่รัฐต้องช่วย
การสร้างเด็กหนึ่งคนให้เติบโตอย่างมีคุณภาพ ต้องเริ่มตั้งแต่ในครรภ์ ศาสตราจารย์ James J. Heckman นักเศรษฐศาสตร์ รางวัลโนเบล พูดชัดว่าการลงทุนในเด็กก่อนวัยเรียน ช่วงอายุ 0–5 ปี หรือเด็กปฐมวัย ให้ผลตอบแทนทางเศรษฐกิจ 7–12 เท่า
แต่เราจะบ่มเพาะให้เด็กคนหนึ่งเติบโตเป็นอนาคตที่ดีของชาติได้อย่างไร ขณะที่สังคมคาดหวังว่าหน้าที่หลักในการดูแลลูกและดูแลงานบ้าน คือ ผู้หญิง เพราะเชื่อในสัญชาตญาณของความเป็นแม่ ทั้งที่ความเป็นจริงแล้ว ในวันนี้ ผู้หญิงมีการงาน-อาชีพไม่ต่างจากผู้ชาย
นอกจากนี้ การมีลูกสำหรับบางคน อาจหมายถึงจุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิต ที่ต้องออกจากงาน มาเป็นแม่บ้านเลี้ยงลูกเต็มเวลา เพื่อทุ่มเทและบ่มเพาะให้เด็กหนึ่งคน มีรากฐานชีวิตที่มั่นคงในช่วงปฐมวัย
แต่ก็ใช่ว่า แม่ทุกครอบครัว จะทำแบบนั้นได้
จากผลสำรวจความเห็นในการศึกษาวิจัย ซีรีส์ ความรู้ส่องโอกาส สร้างอาชีพ พบว่า นอกจาก ‘ผู้หญิง’ จะมีสถานะเป็นแม่แล้ว ในมิติเศรษฐกิจ เพศหญิงยังเป็นแรงงานขับเคลื่อนเศรษฐกิจ อยู่ที่ประมาณร้อยละ 60 โดยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และ ร้อยละ 42.93 ทำงาน 5 วันต่อสัปดาห์
มากไปกว่านั้น จากการศึกษาเศรษฐศาสตร์ความเป็นมารดาในประเทศไทย โดย รศ.รัตพงษ์ สอนสุภาพ และคณะ พบว่า ร้อยละ 70 ของหญิงไทย ยังอยู่ในกลุ่มแรงงานขั้นต่ำ ที่มีรายได้ราว 10,000 – 16,000 บาท และถ้าเธอมีลูก รายได้จะลดลงทันที ร้อยละ 20
ผศ.สุนี ไชยรส ประธานคณะทำงานขับเคลื่อนนโยบายสวัสดิการเด็กเล็กถ้วนหน้า แสดงความกังวลถึงผู้หญิงที่เป็นแรงงาน โดยเฉพาะแรงงานที่อยู่นอกระบบ ว่าหญิงตั้งครรภ์เสี่ยงต่อการถูกเลิกจ้างงาน ด้วยหลากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเกิดขึ้นเพราะลักษณะงานที่ต้องยกของ หรือต้องยืนนาน ๆ หรือในผู้หญิงบางคนที่มีอาการแพ้ท้องรุนแรง ก็เป็นเหตุให้จำใจลาออกจากงานเอง ทำให้รายได้ที่ผู้หญิงคนนั้นเคยมีหายไป เนื่องจากการตั้งครรภ์

ในทางตรงกันข้าม ผู้หญิงที่เป็นแรงงานในระบบ แม้กฎหมายจะให้แม่ลาคลอดได้ 98 วัน แต่ก็ถือว่ายังน้อยมาก ๆ เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านอาเซียน อย่างเวียดนาม ที่ลาพักร้อนได้ 180 วัน หรือในประเทศที่เป็นตัวอย่างรัฐสวัสดิการที่ใส่ใจเรื่องแม่และเด็กอย่างสวีเดน สามารถให้แม่ลาคลอดเพื่อดูแลลูกได้ยาวถึง 18 เดือน หรือ 1 ปีครึ่ง
อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2568 สภาผู้แทนราษฎรมีมติเป็นเอกฉันท์ให้แก้ไขกฎหมายแรงงาน ขยายสิทธิการลาคลอดได้ 120 วัน และจะถูกส่งต่อไปยังวุฒิสภา เพื่อพิจารณาเห็นชอบในลำดับถัดไป
อนาคตของชาติสำคัญ แต่เด็กเล็กไม่สำคัญพอที่จะมีสวัสดิการดี ๆ ?
การอุดหนุนเงินเด็กแบบถ้วนหน้า นอกจากจะลดการตกหล่นของเด็กเล็กจากครอบครัวยากจนที่ไม่ได้รับเงินอุดหนุน ถึงร้อยละ 30 แล้ว เงินจำนวนนี้สำหรับครอบครัวยากจน คือหลักประกันว่า ไม่ว่าจะสถานการณ์ครอบครัวจะวิกฤตขนาดไหน พวกเขายังมีเงินก้อนนี้ไว้ใช้จ่าย แต่เมื่อมองดูสถานการณ์ของสวัสดิการเด็กเล็กในตอนนี้ ดูเหมือนว่า รัฐยังไม่เห็นความสำคัญเท่าที่ควร
โดยเฉพาะการอุดหนุนและช่วยเหลือหญิงตั้งครรภ์ที่รัฐไม่เคยสนับสนุนสวัสดิการใด ๆ แม้มีคณะทำงานขับเคลื่อนสวัสดิการเด็กถ้วนหน้าฯ ถึง 450 องค์กร พยายามผลักดันเงินอุดหนุนหญิงมีครรภ์ตั้งแต่อายุครรภ์ในเดือนที่ 5-9 เป็นจำนวนเงิน 3,000 บาทต่อเดือน จนเป็นมติรับทราบของคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2567 ในรัฐบาล แพทองธาร ชินวัตร แต่ท้ายที่สุดกลับไม่มีการนำเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีในขั้นสุดท้าย เพื่อบรรจุในร่างงบประมาณปี 2569 ทั้งที่งบประมาณในส่วนนี้ใช้เพียง 7 พันกว่าล้านบาทเท่านั้น
เช่นเดียวกับเงินอุดหนุนเด็กเล็ก 0-6 ปี เดือนละ 600 บาท ที่ปัจจุบันยังคงต้องพิสูจน์ความจน แม้มติคณะรัฐมนตรีจะมีการรับทราบ ให้จ่ายแก่เด็กอย่างถ้วนหน้า แต่ก็ตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน คือ ยังไม่ปรากฏงบฯ นี้ในปีงบประมาณ 2569
สำหรับเงินอุดหนุนเด็กเล็กจนถึงอายุ 6 ขวบ จิราภรณ์ แผลงประพันธ์ นักวิจัยอาวุโสของ TDRI เชื่อในความคุ้มค่าในการจัดสวัสดิการนี้แบบถ้วนหน้า และยังบอกอีกว่าเงินอุดหนุนเด็กไม่ได้สิ้นเปลืองงบประมาณมากมายหากรัฐมีเจตจำนง

“เราศึกษาแล้วว่าเงินสำหรับเด็กควรจะอยู่ที่ 3,000 บาท หรือไม่ต้องถึงก็ได้ อาจจะ 1,500 – 2,000 บาท ซึ่งถ้าให้เด็กที่ 1,500 ต่อคนต่อเดือน จะใช้เงินประมาณ ประมาณ 63,000 ล้านบาท คิดเป็น 0.3 ของ GDP แต่ถ้าให้แบบถ้วนหน้า เราคำนวณให้แล้วว่าจะใช้เงินประมาณ 25,000 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็นแค่ 0.1 ของ GDP”
จิราภรณ์ แผลงประพันธ์ นักวิจัยอาวุโสของ TDRI
ลดอายุเด็กที่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กรับดูแล ขยายเวลาการเปิด–ปิด ให้สอดคล้องกับเวลาทำงานของผู้ปกครอง คือทางออก
นอกจากนี้ หลังจากสิทธิลาคลอด 90 วันหมดลง พ่อ–แม่ ที่เป็นแรงงานต้องกลับเข้าสู่การทำงาน แต่ ‘เด็กเล็ก’ ที่ต้องการคนดูแลตลอด 24 ชั่วโมง กลับถูกรัฐปล่อยทิ้งให้ครอบครัวดิ้นรนดูแลกันเองตามลำพัง เพราะกว่าจะเข้าศูนย์พัฒนาเด็กเล็กของรัฐได้ ก็เมื่อเด็กคนนั้น อายุ 2 ขวบครึ่งไปแล้ว
สำหรับครอบครัวที่ยังมีปู่-ย่าหรือตา-ยายให้ช่วยเลี้ยง สถานการณ์นี้อาจทุเลาเบาลงบ้าง แต่ก็อาจเกิดปัญหาที่ทับซ้อนตามมา คือ ในหลายครอบครัว ทั้งปู่-ย่า หรือตา-ยาย ยังต้องทำงาน หรือมีการเลี้ยงดูที่ไม่เหมาะสม ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ ศูนย์ความรู้นโยบายเด็กและครอบครัว พบว่าทำให้เด็กเล็กมีพัฒนาการถดถอย โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กจนเมือง
ส่วนครอบครัวเดี่ยวที่ไม่มีปู่-ย่าหรือตา-ยายช่วยดูแล ซ้ำยังเป็นคนจนเมือง ยิ่งย้ำให้เห็นว่า ‘เด็ก’ ที่รัฐหวังให้เป็นอนาตของชาติถูกเมินเฉยมากน้อยเพียงใด เพราะหากจะหาสถานที่รับเลี้ยงเด็กเล็กเป็นเรื่องที่ลำบาก และแม้จะหาได้ ส่วนใหญ่ก็เป็นสถานรับเลี้ยงเด็กเอกชน ซึ่งสำหรับครอบครัวรับจ้างรายวัน ค่าใช้จ่ายนี้ก็หนักหนาเอาการ
“ศูนย์เด็กเล็ก รับเด็กตั้งแต่ 2 ขวบครึ่งขึ้นไป จะมีประเด็นที่ผู้ปกครองเรียกร้องอยู่บ้าง ว่าอยากจะให้ลดอายุการรับเด็กได้ไหม เพื่อให้ผู้ปกครองที่กลับไปทำงาน เอาลูกไปฝากที่ศูนย์เลี้ยงเด็กได้”
จิราภรณ์ แผลงประพันธ์ นักวิจัยอาวุโสของ TDRI
ทางออกทางหนึ่งคือการให้ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กที่มีร่วม 50,000 แห่ง ทั่วประเทศลดอายุของเด็กที่รับไว้ดูแล และขยายเวลาการเปิด–ปิด ให้สอดคล้องกับเวลาทำงานของผู้ปกครอง เพราะหากศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ยังเปิด–ปิดในเวลาราชการ ก็เป็นอุปสรรคสำคัญในการนำเด็กเล็กเข้าสู่การพัฒนาอย่างเป็นระบบอยู่ดี
‘กระจายอำนาจ’ สู่การพัฒนาเด็กเล็ก
เด็กปฐมวัยของไทยคล้ายจะถูกละเลยจากภาคการเมืองในการลงทุนหรือลงงบประมาณพัฒนาเด็กอย่างเป็นระบบ โดย รศ.ษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี อาจารย์ประจำวิทยาลัยสหวิทยาการ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้วิพากษ์ปรากฏการณ์ เด็กปฐมวัยถูกทิ้งจากสวัสดิการของรัฐออกเป็น 2 ส่วน
- เด็ก 0 – 6 ขวบ ไม่มีสิทธิเลือกตั้ง ไม่เหมือนการหาเสียงกับผู้สูงอายุที่ปรับขึ้นเบี้ยผู้สูงอายุ ในทุก ๆ ครั้งที่ใกล้เลือกตั้ง
- สังคมมองว่าเรื่องเด็กไม่ได้เป็นเรื่องเร่งด่วน และมองว่าเด็กเล็กแทบทุกคน ต่างมีผู้ปกครองดูแลอยู่แล้ว ซ้ำยังมองว่า ความไม่พร้อมในการดูแลเด็ก เกิดจากตัวพ่อแม่เองที่มีลูก ขณะที่ตนเองไม่พร้อม
“คุณจะใช้คำใหญ่ ๆ ว่า มีลูกเมื่อพร้อม มีพ่อแม่เมื่อพร้อม ซึ่งคำ ๆ นี้ ก็ค่อนข้างใจดำ เพราะทำให้เรามีค่านิยมที่ว่า การดูแลลูก เป็นเรื่องส่วนตัว แต่จริง ๆ แล้วไม่ใช่ เพราะการเลี้ยงเด็ก ต้องใช้คนทั้งหมู่บ้าน”
รศ.ษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี อาจารย์ประจำวิทยาลัยสหวิทยาการ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

“หรืออีกด้าน คนรุ่นใหม่ที่บอกว่า อย่าไปพูดเรื่องสวัสดิการเด็กเลย เพราะฉันจะไม่มีลูก พอคุณแก่ไปแล้วใครจะเป็นพยาบาลคุณ ใครจะมาเก็บขยะ ขับแท็กซี่ หรือมาเป็นหมอรักษาคุณ มันต้องมีประชากรรุ่นถัดไป มาดูแลคุณอยู่ดี ต่อให้เขาไม่ใช่ลูกหลานคุณ เพราะฉะนั้นการมีสวัสดิการเด็ก ไม่ใช่เรื่องส่วนตัวของครอบครัวใดครอบครัวหนึ่ง แต่ทั้งหมดนี้เกี่ยวข้องกับเรื่องของสังคมทั้งสังคม”
รศ.ษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี อาจารย์ประจำวิทยาลัยสหวิทยาการ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ต่างประเทศจัดการ ‘เด็กเล็ก’ ยังไงบ้าง
- สิงคโปร์ ระหว่างที่เด็กอายุได้ 2 เดือน มีการจัดสถานเลี้ยงดูเด็กจนถึงอายุ 1 ปีครึ่ง หลังจากนั้นจะส่งเข้าสู่เตรียมอนุบาลต่อเนื่องไปจนถึง 7 ปี จึงเข้าสู่ประถมศึกษา
- เวียดนาม หลังแม่ลาคลอด 3 เดือน จนถึง 3 ปี เด็กจะได้เข้าสถานเลี้ยงดูเด็ก จากนั้นจนถึงอายุ 6 ปี จะเข้าโรงเรียนอนุบาล และเข้าสู่ชั้นประถมต่อไป
- ญี่ปุ่น หลังคลอดได้ 56 วัน จนถึง 3 ปี เด็กจะได้เข้าอยู่ในสถานเลี้ยงดูเด็ก จนถึงอายุ 6 ปี จะเข้าสู่โรงเรียนก่อนวัยเรียน
การเลี้ยงเด็กหนึ่งคนจึงไม่ใช่หน้าที่ของคนในครอบครัวเด็กคนนั้นเท่านั้น เพราะยังรวมไปถึงการกระจายอำนาจโดยให้ท้องถิ่นมีอำนาจ จัดสรรงบประมาณ บุคลากร ในการร่วมดูแลเด็กปฐมวัยได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ด้วยหลักคิดที่ว่าต้องฟังเสียงประชาชน
ศ.ผาสุก พงษ์ไพจิตร อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้ความเห็นในการผลักดันเรื่องการกระจายอำนาจ ในส่วนของสวัสดิการเด็กปฐมวัยว่า ต้องทำแบบ “ยื่นหมู ยื่นแมว” เอาคะแนนเสียงแลกกับนโยบายที่เป็นประโยชน์กับประชาชน เพราะหากผู้กุมอำนาจบริหารในปัจจุบันอยากมีอนาคตทางการเมืองต่อไป ก็ต้องให้ความสำคัญกับข้อเรียกร้องเรื่องสวัสดิการต่าง ๆ เพราะวันนี้การทำการเมืองแบบใช้ระบบอุปถัมภ์ยังไม่พอ ต้องยึดโยงกับความพึงพอใจของประชาชนเป็นหลัก

ดังนั้น หนึ่งในปัจจัยความสำเร็จของการกระจายอำนาจ ในการดูแลเด็กปฐมวัย คือ การที่ผู้บริหารท้องถิ่นให้ความสำคัญกับเด็กเล็ก
เทศบาลนครยะลา เป็นตัวอย่างหนึ่งที่ให้ความสำคัญกับเด็กเล็ก โดย พงษ์ศักดิ์ ยิ่งชนม์เจริญ นายกเทศมนตรีเทศบาลนครยะลา บอกว่าได้มีการจัดสรรงบประมาณของเทศบาลแบบ 100% เพื่อจัดหาอาหารเช้า ลดอายุการรับเด็กปฐมวัยลงมาที่ 2 ปี
เช่นเดียวกับ กรุงเทพมหานคร ท้องถิ่นที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศ ดูแลเด็กเล็ก 70,000 คนต่อปี มีการจัดการศูนย์เด็กเล็ก 2 รูปแบบ ทั้งที่เป็นของกรุงเทพมหานครจัดการดูแลในรูปแบบโรงเรียนอนุบาล 429 แห่ง และในส่วนที่เป็นศูนย์เด็กเล็ก ที่เป็นการกระจายอำนาจโดยมีชุมชน หรือกลุ่มบุคคลเป็นผู้ดูแล ซึ่ง กทม. สนับสนุนผ่านกฎหมายสนับสนุนชุมชน
ศานนท์ หวังสร้างบุญ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เล่าถึงเจตจำนงในการดูแลเด็กปฐมวัย ผ่านวงเสวนาสาธารณะ “แนวทางพัฒนาการเรียนรู้เด็กปฐมวัยใน กทม.” ว่าในส่วนโรงเรียนอนุบาล กทม. ลดอายุรับเด็กเล็กจาก 4 ขวบลงมาเหลือ 3 ขวบ และกำลังขยายเวลาเปิด-ปิด เพื่อรองรับการทำงานของผู้ปกครองเด็ก
ส่วนศูนย์เด็กเล็กบางแห่ง แม้ปัจจุบัน กทม. ยังมีข้อติดขัดเรื่องระเบียบในการสนับสนุน เพราะไม่ได้ดำเนินการโดยชุมชน แต่ดำเนินการโดยมูลนิธิ กลุ่มบุคคล หรือเอกชน แต่เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม ที่ผ่านมา สภากรุงเทพมหานคร ได้เห็นชอบขั้นรับหลักการ ร่างข้อบัญญัติศูนย์เด็กเล็ก กทม. ที่มีเนื้อหามุ่งแก้ไขอุปสรรคในการดูแลเด็กเล็ก ทั้งการลดอายุรับเด็กเล็กเข้าศูนย์เด็กเล็กก่อนวัยเรียน เพื่อให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตจริงของแรงงานที่กฎหมายให้ลาคลอดไว้เพียง 3 เดือน การสนับสนุนศูนย์เด็กเล็กนอกชุมชน ให้สามารถรับเงินสนับสนุนจากรุงเทพมหานครได้ นอกจากนี้ ยังสนับสนุนค่าใช้จ่าย อื่น ๆ เช่น สวัสดิการครู ค่าดำเนินการสาธารณูปโภค และค่าอาหารให้สอดคล้องกับกระทรวงศึกษาธิการ
สังคมต้องรู้ความต้องการของเด็กและมีความรู้เพื่อที่จะดูแลเด็กให้ดี
ผศ.ศศิลักษณ์ ขยันกิจ สาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีข้อเสนอเชิงนโยบาย ถึงแนวทางการปฏิรูปการศึกษา เพื่อเสริมสร้างความรู้เด็กปฐมวัย ให้กับสังคมไทยว่าต้องทำตั้งแต่ชั้นเรียนมัธยมศึกษา
“การศึกษาปฐมวัย ไม่ได้เริ่มตอนที่เด็กคลอดออกมา แต่จริง ๆ แล้วเริ่มตั้งแต่ก่อนที่จะคลอด ตั้งแต่รู้ว่าเราจะสร้างครอบครัว เราควร ให้องค์ความรู้ด้านการศึกษาปฐมวัย หรือการเลี้ยงเด็กอย่างมีคุณภาพตั้งแต่เด็กระดับมัธยมปลาย เพื่อที่เขาจะได้รู้ว่า เขาจะเตรียมตัวเป็นพ่อแม่อย่างไร”
ผศ.ศศิลักษณ์ ขยันกิจ สาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
นอกจากนี้ ผศ.ศศิลักษณ์ ยังย้ำถึงข้อสรุปจากงานวิจัยเด็กปฐมวัยว่า 1,000 วันแรกสำคัญมาก เด็กเล็กจะต้องได้รับการเลี้ยงดูอย่างเหมาะสมให้เป็นไปตามพัฒนาการ และสำคัญที่สุด เด็กเล็กจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องอยู่กับคน อยู่กับผู้ใหญ่ อยู่กับเพื่อน และอยู่กับธรรมชาติ ไม่ใช่ อยู่กับ เอไอ หรืออยู่กับหน้าจอ

“เราพบว่าเด็กที่เติบโตมาในจอ พูดเป็นภาษาต่างดาว โดยไม่มีความหมายและไม่เข้าใจ บางคนพูดช้า บางคนพูดกลับไป กลับมา นี่คือ ปัญหาเชิงความสามารถในการเรียนรู้ เพราะว่าเด็กมีเซลล์สมองที่เป็น Mirror คือเรียนรู้จากสิ่งที่เขาเห็น”
ผศ.ศศิลักษณ์ ขยันกิจ สาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ส่วนการเลือกโรงเรียนอนุบาล ผศ.ศศิลักษณ์ ให้คำแนะนำว่า โรงเรียนอนุบาลที่ดี คือ โรงเรียนที่จัดการศึกษาได้ตามความต้องการของเด็กในวัยนั้น คือ นอนดี กินดี ตื่นดี ได้เล่น อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ปลอดภัย รวมไปถึงคุณภาพของผู้ใหญ่ที่ปฏิสัมพันธ์เชิงบวกได้ ถ้าโรงเรียนทำได้ ก็ถือว่ามีคุณภาพ
ในหลายครอบครัว จุดพลิกผันในการเรียนอนุบาล คือความต้องการของพ่อแม่และสังคม สวนทางกับหลักสูตรที่วางไว้ การเห็นลูก อ่านออก เขียนได้ นำความดีใจมาสู่คนในครอบครัว
“หลักสูตรของเราเขียนดี ครอบคลุม เน้นการเล่น แต่พอลงมาปฏิบัติแล้ว บางที่ก็ไม่ได้ทำให้เด็กได้เรียนรู้สอดคล้องกับหลักสูตร เพราะยังมีคำพูดที่ว่า ถูกเร่งเรียน เขียน อ่าน
“สังคมต้องเข้าใจว่าการที่เด็กปฐมวัยจะเติบโตอย่างมีคุณภาพ เขาต้องได้การเรียนรู้แบบไหน ยังมีวิธีคิดว่า เด็กต้องอ่านออกเขียนได้ ตอนอนุบาล mindset แบบนี้ ควรจะต้องไปทำความเข้าใจกันใหม่”
ผศ.ศศิลักษณ์ ขยันกิจ สาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ความเข้าใจเรื่องการเลี้ยงดูและพัฒนาการเด็ก ตั้งแต่สังคม ครอบครัว และระบบการศึกษา จึงเป็นส่วนตั้งต้นและเป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้เกิดสวัสดิการต่าง ๆ ของคนทั้งครอบครัว สู่ “เด็กที่มีคุณภาพ” และกลายมาเป็นอนาคตของชาติได้อย่างสมบูรณ์
ดังนั้น ในวันที่เด็กเกิดน้อยและยังเสี่ยงจะด้อยคุณภาพ หากเรายังไม่เอาจริงเอาจังต่อการสร้างนิเวศทางนโยบายให้เอื้อต่อการเติบโตของเด็ก ๆ คำเสียดสีเรื่อง “เลี้ยงเด็กหนึ่งคนต้องใช้คนทั้งหมู่บ้าน ไม่เช่นนั้นเด็กจะกลับมาเผาหมู่บ้านทิ้ง” คงไม่ไกลเกินจริง
ทั้งหมดนี้ คงจะเป็นคำตอบได้ว่า ทำไมการลงทุนในเด็กเล็ก จึงสำคัญ