วิกฤตสภาพภูมิอากาศกำลังคุกคามอุตสาหกรรมช็อกโกแลตโลก นำมาสู่ภาพยนตร์สารคดีโกโก้จากเมือง ‘ดาเวา’ ของฟิลิปปินส์ สู่โอกาสและความท้าทายของวงการโกโก้ไทย
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกำลังส่งผลกระทบต่อผลิตผลทางการเกษตรทั่วโลก โกโก้ก็เป็นหนึ่งในพืชเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบอย่างหนัก สถานที่ปลูกต้นโกโก้หลายแห่งกำลังเผชิญกับสภาพอากาศที่ร้อนขึ้น แล้งขึ้น หรือฝนตกหนักมากขึ้น ส่งผลกระทบต่อทั้งการปลูก การเก็บเกี่ยว กระบวนการแปรรูป มาจนถึงราคาที่ผู้บริโภคต้องจ่าย
นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า หากเราไม่ดำเนินการใด ๆ ช็อกโกแลตจะกลายเป็นสินค้าฟุ่มเฟือย หรืออาจหายไปภายในปี 2050 เนื่องจากอุณหภูมิที่สูงขึ้นและปริมาณน้ำฝนที่ผิดปกติ จะทำให้พื้นที่ปลูกโกโก้ในปัจจุบันถึง 90% ไม่เหมาะสมต่อการผลิต กระทบเกษตรกรหลายล้านคนในอุตสาหกรรมนี้
ประเด็นเรื่องการปลูกและผลิตของหวานสุดโปรดนี้ ถูกนำเสนอผ่านภาพยนตร์สารคดี “Chocolates Melting Away” ของ Breech Asher Harani ผู้กำกับชาวเมืองดาเวา เมืองหลวงแห่งช็อกโกแลตของฟิลิปปินส์

Chocolates Melting Away: บทเรียนจากฟิลิปปินส์
ภาพยนตร์สารคดีความยาว 20 นาทีนี้เล่าเรื่องราวของเกษตรกรที่ปลูกโกโก้ในเมืองดาเวา ประเทศฟิลิปปินส์ โกโก้ถือเป็นพืชผลที่ให้รายได้ค่อนข้างดี ช่วยให้เกษตรกรมีความมั่นคง แต่กลับต้องเผชิญความเสี่ยงหนักจากผลกระทบจากสภาวะโลกรวน เมื่อเกิดภาวะฝนทิ้งช่วงหรือฝนตกไม่หยุด ผลผลิตโกโก้ก็ลดลงตาม
ภาพยนตร์ใช้กราฟิกสีสันสวยงามเล่าเรื่องแทนต้นโกโก้ โอกาสที่โรคจะเข้าทำลายผล และเครื่องมือแก้ปัญหาต่าง ๆ อย่างเข้าใจง่ายและสบายตา ทางออกที่นำเสนอส่วนใหญ่เป็นการลงมือทำของเกษตรกรเอง เช่น การปลูกพืชหลากหลาย (Intercropping) การเลิกใช้ยาฆ่าหญ้าและหันมาใช้ปุ๋ยหมักชีวภาพ การทำถ่านชีวภาพจากเปลือกโกโก้เพื่อบำรุงดิน หรือแม้แต่การใช้ถุง IV Drip ของผู้ป่วยมาให้น้ำกับต้นโกโก้ช่วงหน้าแล้ง
Breech ได้เดินทางมาประเทศไทยและร่วมงานฉายภาพยนตร์สั้นของเขา ในงาน ‘Sweet Surrender?’ เมื่อช่วงปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา

ภายในงาน เขาได้อธิบายถึงแนวคิดในการสร้างสรรค์ภาพยนตร์ว่า “เมื่อคุณแสดงเฉพาะปัญหาเพียงอย่างเดียว มันจะรู้สึกหดหู่และสิ้นหวัง แต่เมื่อคุณใส่วิธีแก้ปัญหาลงไปในเรื่องราว ผู้คนจะรู้สึกได้รับแรงบันดาลใจ พวกเขาอาจจะทำได้ มันอาจจะง่ายพอที่จะทำได้ในบ้านหรือฟาร์มของพวกเขา”
เขาเสริมว่า “การเล่าเรื่องในปัจจุบันควรมีความสมดุลระหว่างปัญหาและวิธีแก้ไข โดยเฉพาะเมื่อพูดถึงวิกฤตสภาพภูมิอากาศ”
การสร้างภาพยนตร์สารคดีเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย Breech เผยว่า “ความท้าทายแรกคือการถ่ายทำในฟาร์ม เพราะบางครั้งคุณต้องปรับเวลาให้เข้ากับฤดูเก็บเกี่ยว มันไม่ได้มีทุกวัน”
สำหรับความยาว 20 นาทีนั้น Breech อธิบายว่าเป็นข้อกำหนดจาก Financial Times ซึ่งต้องการนำเสนอรูปแบบสื่อใหม่ที่มีลักษณะเป็นภาพยนตร์คุณภาพดี มากกว่ารูปแบบรายงานข่าวทั่วไป “พวกเขาบอกว่าเพื่อให้ผู้คนดู จำเป็นต้องสั้นลง”
เขาเปรียบเทียบว่าเมื่อทำงานสารคดีเรื่องโลกรวนกระทบกับวัฒนธรรมฟิลิปปินส์กับ CNN เขาต้องตัดภาพยนตร์จาก 10 นาทีเหลือเพียง 5 นาทีด้วยเช่นกัน ทำให้มีหลายประเด็นที่ไม่ได้ถูกนำมาใส่ในภาพยนตร์ที่ได้เผยแพร่
รากของโกโก้ที่ฝังอยู่ในวัฒนธรรมฟิลิปปินส์
ในภาพยนตร์ฉบับร่างก่อนหน้า Breech ใส่เนื้อหาตำนาน ‘Maria Cocoa’ ตำนานเรื่องโกโก้หลักของประเทศฟิลิปปินส์เพื่อแสดงให้เห็นว่าโกโก้ก็เป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมฟิลิปปินส์มาอย่างช้านาน แต่สุดท้ายก็โดนตัดออกด้วยข้อจำกัดเรื่องเวลา
Breech เล่าว่าฟิลิปปินส์เป็นประเทศโกโก้มาตั้งแต่สมัยสเปนปกครอง “โกโก้ถูกนำมาโดยนักบวช และได้รับการแนะนำให้รู้จักกับสภาพแวดล้อมของฟิลิปปินส์ ซึ่งดินและความชื้นเหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับการปลูกโกโก้ มันกลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมของเรา เรามีตำนานและเรื่องเล่าอย่าง Maria Cacao ในฟิลิปปินส์”
อุตสาหกรรมโกโก้ของฟิลิปปินส์เคยหยุดชะงักในช่วงทศวรรษ 1970 เนื่องจากปัญหาทางการเมืองใน ‘ดาเวา’ และเปลี่ยนมาเป็นอุตสาหกรรมกล้วยแทน แต่ได้กลับมาฟื้นฟูอีกครั้งในช่วงปี 2001 โดยรัฐบาลฟิลิปปินส์และภูมิภาคอาเซียนได้ร่วมมือกับเกษตรกรและผู้เชี่ยวชาญจากแอฟริกาและละตินอเมริกา เพราะเห็นโอกาสทางเศรษฐกิจจากไม้ยืนต้นนี้
ในปัจจุบัน เกษตรกรโกโก้หลายคนจากฟิลิปปินส์ก็กลับไปช่วยเหลืองาน Peace Corps ช่วยแก้ปัญหาสงครามระหว่างชนเผ่าในทวีปแอฟริกา ที่มีการใช้โกโก้เป็นเครื่องมือทางสงครามที่นั่น จึงเป็นเสมือนการหมุนเวียนกันช่วยเหลือซึ่งกันและกันแบบ ‘Full Circle’ (ครบวงจร)
“โกโก้เป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมเรา เราก็เติบโตมาชินกับการดื่มโกโก้ มีบ้านหลายหลังในฟิลิปปินส์ที่มีต้นโกโก้อยู่ในสวน และเราก็เก็บโกโก้มากินได้เลย” Breech เล่า
บ้านเกิดของ Breech หรือ ‘เมืองดาเวา’ บนเกาะมินดาเนา ได้รับการประกาศอย่างเป็นทางการให้เป็น “เมืองหลวงแห่งช็อกโกแลตของฟิลิปปินส์” ตามกฎหมายสาธารณรัฐฉบับที่ 11547 ตั้งแต่ปี 2021 เป็นเมืองที่มีบทบาทสำคัญในการผลิตและแปรรูป และเป็นแหล่งผลิตเมล็ดโกโก้ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ
เมล็ดโกโก้จากดาเวาได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ และถูกจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในสายพันธุ์ที่ดีที่สุดในโลกอย่างต่อเนื่อง สามารถดึงดูดผู้ซื้อจากสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และยุโรป นอกจากนี้ อุตสาหกรรมโกโก้ในดาเวายังสนับสนุนเกษตรกรรายย่อยหลายพันคน ช่วยให้พวกเขามีวิถีชีวิตที่ยั่งยืน ได้รับโอกาสทางธุรกิจ และช่วยบรรเทาปัญหาความยากจน
จัดการโลกรวน ในสวนโกโก้
Pulitzer Center ให้ข้อมูลว่า ความร้อนจัดขัดขวางการเจริญเติบโตของต้นโกโก้ ทำให้ผลผลิตลดลง 20–30% อย่างในปี 2024 การผลิตโกโก้ทั่วโลกแตะระดับสูงสุดที่ประมาณ 4.5 ล้านเมตริกตัน แต่ก็ลดลงถึง 13% (4.38 ล้านเมตริกตัน) เพราะสภาพอากาศที่แปรปรวน โรคระบาด และศัตรูพืช ทำให้ปริมาณสต็อกลดลงต่ำสุดในรอบ 45 ปี และนำไปสู่การขาดแคลนอุปทาน
วิธีที่เกษตรกรแก้ปัญหาภาวะโลกรวนที่แสดงในภาพยนตร์ของ Breech หลายรูปแบบ สามารถนำไปปรับใช้ได้ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้ “เพราะว่าในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เรามีสภาพแวดล้อมที่คล้ายคลึงกัน ความชื้นที่เหมือนกัน วิธีแก้ปัญหาหลายอย่างสามารถนำไปใช้ได้ เช่น การให้น้ำแบบหยด IV Drip ในช่วงภัยแล้งที่เห็นในหนัง ซึ่งจะช่วยให้ต้นโกโก้ขนาดเล็กรอดชีวิตได้”
เขาเน้นย้ำว่า “ยิ่งวิธีแก้ปัญหามีความซับซ้อนมากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งเข้าถึงได้ยากขึ้นเท่านั้นสำหรับเกษตรกรหรือผู้ที่ต้องการมันจริง ๆ ความเฉลียวฉลาดของเกษตรกรในการหาวิธีแก้ปัญหาที่พวกเขาเผชิญอยู่นั้นเป็นสิ่งสำคัญ เพราะพวกเขาคือคนที่อยู่ในพื้นที่จริง ไม่ใช่ใครบางคนจากเมืองหลวงมะนิลาที่มาบอกว่าคุณควรทำอย่างนั้น”
“นโยบายของกรมวิชาการเกษตรของฟิลิปปินส์เน้นไปที่ วิสัยทัศน์โดยรวมของทั้งอุตสาหกรรม เกษตรกรผู้ปลูกโกโก้และผู้ผลิตช็อกโกแลตจึงเป็นผู้ลงมือทำแบบเข้าถึงและเจาะลึกมากกว่า เพราะพวกเขาคือคนที่อยู่ในฟาร์มกันเอง”
Breech มองว่า เกษตรกรโกโก้ได้รับการสนับสนุนจากภาคนโยบายส่วนหนึ่งก็จริง แต่การดำเนินการเพื่อปรับตัวส่วนใหญ่ก็มาจากเกษตรกรกันเอง
หลังจากภาพยนตร์ ‘Chocolates Melting Away’ ได้ถูกเผยแพร่บนช่องทาง YouTube ก็มีเกษตรกรจากหลายประเทศสนใจนำวิธีแก้ปัญหาจากในภาพยนตร์ไปใช้
Breech เล่าว่า “มีเกษตรกรหญิงคนหนึ่งในอังกฤษที่ได้รับแรงบันดาลใจจากระบบให้น้ำแบบหยด IV Drip เพราะเธอไม่ต้องใช้ไฟฟ้าในการทำระบบสปริงเกลอร์ สามารถประหยัดไฟฟ้าได้ แค่แขวนมันไว้แล้วน้ำก็จะหยดลงไปทีละน้อย”

โอกาสและความท้าทายในอุตสาหกรรมโกโก้ไทย
ในงานฉายภาพยนตร์ Chocolates Melting Away ได้มีการจัดเสวนาเกี่ยวกับสถานการณ์โกโก้ไทย โดย The Active ได้พูดคุยกับบดินทร์ เจริญพงส์ชัย (แจ็ค) นายกสมาคมการค้าโกโก้และช็อกโกแลตไทย (TACCO) พร้อมด้วยสรินทรา สงวนวารินทร์ (แคนดี้) และอภิชา สิริวรกุล (บอส) เจ้าของกิจการเจริญดีช็อกโกแลต
แคนดี้เริ่มทำธุรกิจโกโก้มา 2-3 ปี เธอเล่าว่า “ตอนนี้โกโก้กำลังเติบโตในประเทศไทย จริง ๆ แล้วโกโก้ปลูกได้ทั่วประเทศ และมีคนที่ปลูกโกโก้ค่อนข้างเยอะแล้ว ถ้าเทียบกับเมื่อ 2 ปีก่อน”
เธอเล่าถึงการเปลี่ยนแปลงของตลาดว่า “จากที่เมื่อก่อนคนจะเซอร์ไพรส์ว่า ‘อ้าว ประเทศไทยปลูกโกโก้ได้ด้วยหรอ’ แต่ตอนนี้ทุกคนรู้แล้วว่าประเทศไทยเราปลูกต้นโกโก้ได้ และสามารถทำเป็นคราฟท์ช็อกโกแลตได้ มีความหลากหลายในแต่ละพื้นที่ แต่ละจังหวัด”
ความท้าทายของตลาดโกโก้ไทย มาจากความแตกต่างระหว่างไทยกับต่างประเทศ “ต่างประเทศเขาจะทานช็อกโกแลตเป็นวัฒนธรรมการใช้ชีวิต แต่ประเทศไทยเราไม่ได้ทานช็อกโกแลตกันเป็นประจำ ความยากคือการเข้าถึงกลุ่มคนเพื่อให้เขาบริโภคช็อกโกแลตเป็นชีวิตประจำวัน เราเลยใช้การทำช็อกโกแลตในรูปแบบผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายเพื่อให้เข้าถึงคนได้ง่ายขึ้น” แคนดี้ อธิบาย
บอสเสริมว่า “ความท้าทายคือแต่ละกระบวนการของโกโก้มีขั้นตอนเยอะมาก แต่ละขั้นตอนมีเทคนิคที่ต้องใช้ เช่น การหมัก การตาก การคั่ว มันต้องมีเทคนิคเพื่อให้แตกต่างจากคนอื่นหรือให้ดีกว่า ลองผิดลองถูกกันมาเยอะ”
โลกที่รวนกระทบโกโก้ไทย
เมื่อถูกถามถึงผลกระทบจากโลกร้อน แคนดี้ยอมรับว่า “จริง ๆ ตอนนี้มันกระทบอยู่แล้ว ตั้งแต่โลกร้อนเมื่อปี 2023 กระทบหนักมาก เรารู้จักหลาย ๆ คนที่ทำช็อกโกแลต เขาบอกว่าไม่มีผลผลิตเลย”
เธออธิบายว่า “ปกติเดือนหนึ่งถ้าผลผลิตดี ๆ อาจจะเก็บได้ 1-2 ครั้ง แต่พอมีภาวะโลกร้อน แห้งแล้งมากเกินไป เกิดความเสียหายจากความร้อนกับต้นไม้ อาจจะ 2-3 เดือนก็ไม่มีผลผลิตเลย”
อย่างไรก็ตาม เกษตรกรพยายามปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ “ตอนนี้เราพยายามปรับตัว ทำระบบน้ำให้ดี มีการดูแลดินให้ดี ทำปุ๋ยชีวภาพเองเพื่อซัพพอร์ตให้ต้นไม้แข็งแรงและต่อสู้กับสภาวะที่เกิดขึ้นได้”
เมื่อถูกถามถึงการสนับสนุนจากภาครัฐ แคนดี้ตอบว่า “เราทำกันเองเลย” เธออธิบายว่าพวกเขาทำทุเรียนด้วย จึงสามารถนำความรู้หรือ know-how มาประยุกต์ใช้กับโกโก้ได้
แคนดี้ เน้นย้ำว่า “ถ้ามีการซัพพอร์ตเรื่องความรู้ หรือความเข้าใจในการแก้ไขปัญหาจากภาวะโลกร้อน คิดว่าโกโก้จะค่อนข้างยั่งยืนในประเทศไทย”

โกโก้ยังออกผล: โอกาสโกโก้ไทยที่ไปต่อได้
แจ็คในฐานะนายกสมาคมให้มุมมองที่กว้างขึ้นเกี่ยวกับอุตสาหกรรมโกโก้ไทย เขาชี้ให้เห็นถึงความเปราะบางของต้นโกโก้ที่ปลูกในไทย “ถ้าเกิดว่าสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงหนัก ๆ อย่างปีที่แล้ว 2024 ครึ่งปีแรกฝนไม่ตก ต้นโกโก้มันต้องการความชื้น มันแห้งจัด ๆ แบบนี้ไม่รอด”
เขาเสริมว่า “ถ้าเป็นปีน้ำเยอะ ต้นที่ไม่ได้ปรับตัวมากับน้ำเยอะก็ลำบากเหมือนกัน อาจจะมีเชื้อราขึ้น โรคที่เราเจอในหนัง Chocolates Melting Away อย่างโรคราดำ บ้านเรามีนะแต่ยังน้อย แต่ถ้ามันเปียกแฉะและขังแบบที่ฟิลิปปินส์ พอมันมาก็จะมีโรคที่โรคที่สอง โรคที่สามตามมา”
แม้จะมีความท้าทาย แต่อุตสาหกรรมโกโก้ไทยก็มีความก้าวหน้าที่น่าภาคภูมิใจ แจ็คเปิดเผยว่า “เราเพิ่งได้รางวัลโกโก้ Top 50 ของโลก ปีนี้เรากำลังได้เพิ่ม 3 รางวัล นั่นแปลว่าเราจะมี 4 รางวัลท็อป 50 โลก มันไม่ใช่ที่หาได้ง่าย ๆ”
เขาเน้นย้ำว่า “พวกนี้เป็นความพยายามของเกษตรกรไทย ผู้แปรรูปไทยตลอดเวลา ของเราใหม่พอใหม่ต่างชาติก็ว้าว รสชาติช็อกโกแลตแปลก ๆ ใหม่ ๆ มันเกิดขึ้นที่นี่ แต่คนไทยเองถ้าเราอยู่เมืองไทย คนต่างชาติกำลังว้าว แต่คนไทยไม่สนใจเลย น่าเสียดายไหม”
แจ็คฝากติดตามการประกาศรางวัลโกโก้เหรียญทอง เงิน หรือทองแดงจะมีขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ปีหน้าที่อัมสเตอร์ดัม รวมถึงงานของสมาคมโกโก้ไทย ที่มีแนวทางจะทำทัวร์ท่องเที่ยวตามสายพานการผลิตโกโก้ทั่วประเทศไทย ให้ผู้บริโภคที่ชื่นชอบโกโก้ได้สัมผัสผลผลิตตั้งแต่ต้นน้ำ
นอกจากประโยชน์ต่อสุขภาพของโกโก้ที่เป็นซูเปอร์ฟู้ดแล้ว โกโก้ยังช่วยฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม “โกโก้มันเป็นไม้ยืนต้น ถ้ามันยิ่งมีเยอะเท่าไหร่ แปลว่าพื้นที่ป่ากลับมา” แจ็คยกตัวอย่างจากงานที่เขาทำในจังหวัดน่าน “ภูเขาหัวโล้นที่เคยไปปลูกข้าวโพด แต่พอเขาเริ่มหันมาสนใจเรื่องโกโก้ แล้วเราไปสนับสนุน ภูเขาจากที่เคยเป็นสีแดงตอนนี้มันก็เขียวแล้ว โกโก้เริ่มโต มันเป็นการทำให้ป่ากลับมา”
โลกร้อนคือโอกาส?
กว่า 70% ของเมล็ดโกโก้ทั่วโลก ผลิตในแอฟริกาตะวันตก โดยฟาร์มโกโก้ขนาดเล็กเหล่านี้เป็นแหล่งทำมาหากินของเกษตรกรถึง 4–6 ล้านคน แต่พวกเขากำลังเผชิญกับความเสี่ยงสูงจากปัญหาและความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อม อย่างภัยน้ำท่วมและภัยแล้งที่ยาวนานมีส่วนทำให้การผลิตโกโก้ในแอฟริกาตะวันตกลดลง 30–40%
ในมุมมองของแจ็ค การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกลับกลายเป็นโอกาสสำหรับเกษตรกรไทย “พอโลกมันร้อน ประเทศที่เขาปลูกโกโก้มานานเริ่มมีปัญหา ประเทศไทยก็มีปัญหา เมื่อก่อนโกโก้ราคากิโลละ 70 บาท ประเทศไทยต้นทุนสู้ไม่ได้ เกษตรกรจะขาดทุน แต่ตอนนี้ราคาขึ้นไปถึง 250 บาท แปลว่าเกษตรกรขายราคาเดียวกับตลาดโลกได้แล้ว”
อย่างไรก็ตาม เขาเตือนว่า “มันไม่ยั่งยืน เดี๋ยวปีนี้น้ำเยอะ ผลผลิตเยอะ มันอาจจะตกลงมาอีก แต่ในระยะยาวโลกมันร้อนขึ้นเรื่อย ๆ อยู่ อันนี้หลีกเลี่ยงไม่ได้” แปลว่าโกโก้วันหนึ่งในอนาคตมันก็จะแพงขึ้นเรื่อย ๆ นั่นคือโอกาสของเกษตรกรที่รู้จักวิธีปลูกให้ยั่งยืน
แจ็คเล่าว่า ปัจจุบันโกโก้เป็นผลผลิตที่กระทรวงอุตสาหกรรมไทยเล็งเห็นโอกาสในการพัฒนาธุรกิจให้เติบโตได้ โดยประกาศผลักดันโกโก้เป็นพืชเศรษฐกิจหลักของประเทศ แต่อาจจะยังขาดการผลักดันในภาคนโยบายจากกระทรวงเกษตรซึ่งเป็นกระทรวงสำคัญสำหรับเกษตรกรโกโก้รายเล็กใหญ่ทั่วไทย เพราะเขามองว่า ทางออกคือการหาวิธีผลิตโกโก้คุณภาพดี แข่งขายในตลาดช็อกโกแล็ตพรีเมียม
เปรียบเทียบกับประเทศมาเลเซีย พวกเขาเล็งเห็นความสำคัญของโกโก้ ยกให้เป็นพืชอันดับ 3 ของประเทศ แถมยังมีกรรมการโกโก้ระดับประเทศชื่อ Malaysian Cocoa Board ดูแลเรื่องการผลิตโกโก้ตั้งแต่สายพันธุ์จนถึงการแปรรูปและส่งออก เป็นหนึ่งองค์กรของรัฐบาลที่แสดงให้เห็นการบูรณาการ ช่วยผลักดันอุตสาหกรรมในประเทศได้อย่างรวดเร็ว
ภาพยนตร์ ‘Chocolates Melting Away’ เรื่องนี้ได้รับการนำมาฉายในงาน Sweet Surrender? เมื่อช็อกโกแลตละลาย นวัตกรรมจะช่วยกอบกู้ได้หรือไม่? โดย Pulitzer Center ภายใต้กิจกรรมสัปดาห์การลงมือทำด้านสภาพภูมิอากาศกรุงเทพ 2025 (Bangkok Climate Action Week) ที่ได้เห็นความร่วมมือจากหลายหน่วยงาน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน รวมถึงภาคนโยบายอย่างกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม
- สามารถรับชม ‘Chocolates Melting Away’ ได้ที่ช่องทาง YouTube Financial Times