- กรีนพีซ ประเทศไทย ทวงถามความรับผิดชอบจากผู้ก่อมลพิษตัวจริง ต้นตอโลกรวน
- ในงานสัปดาห์ลงมือทำ BKKCAW ชี้ให้เห็น 1% ผู้กำหนดนโยบายและองค์กรที่พาชาติเข้าสู่ความเสี่ยงทางอากาศสูงสุด
- ขณะที่คนเปราะบางเป็นผู้รับผลที่ถูกทอดทิ้ง
“ตราบใดที่นโยบายยังเป็นนโยบายที่วิกฤตอยู่ สถานการณ์จะยิ่งวิกฤต”
การแก้ไขปัญหา วิกฤตสภาพภูมิอากาศของประเทศไทย กำลังเผชิญกับทางตันที่ไม่ใช่เรื่องของเทคโนโลยี หรือสภาพอากาศเพียงอย่างเดียว แต่เป็น วิกฤตทางนโยบาย (policy crisis) ส่งผลให้ประชาชนส่วนใหญ่ต้องแบกรับผลกระทบจากสภาวะโลกที่รวนขึ้นอย่างไม่เป็นธรรม
The Active ชวนลงลึกในประเด็นนี้ผ่านมุมมองของ นุ่น – มนูญ วงษ์มะเซาะห์ เจ้าหน้าที่ฝ่ายสื่อสารโครงการเปลี่ยนผ่านพลังงาน กรีนพีซ ประเทศไทย ผู้รับบทเจ้าภาพนิทรรศการ “โลกร้อนไม่เท่าเทียม กระทบคนไม่เท่ากัน : 1% ก่อ 99% เจ็บ” ภายใต้สัปดาห์การลงมือทำเพื่อสภาพภูมิอากาศกรุงเทพมหานคร (BKKCAW 2025)

“เสียงของคนส่วนใหญ่ 99% ยังไม่ถูกรับฟังอย่างจริงจัง”
คือสิ่งที่ มนูญ เน้นย้ำถึงโครงสร้างปัญหาที่ซับซ้อน เนื่องจากพบว่านโยบายด้านสภาพภูมิอากาศยังคงถูกเขียนและกำหนดโดยกลุ่มคนเพียง 1% ประเด็นนี้เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องช่วยกันจับตามอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเหล่านโยบายที่ตัวแทนประเทศไทยทำการชี้แจงบนเวที การประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (UNFCCC) ครั้งที่ 30 หรือ COP30 ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 10–21 พ.ย. 2568 ณ เมืองเบเลง ประเทศบราซิล
โลกร้อน รวนคน 99% : ความเปราะบางในทุกวัน ที่ดันไม่ถูกคำนึงถึง
เขายังเล่าถึงเนื้อหานิทรรศการที่ชี้ให้เห็นผู้ที่เจ็บหนักที่สุดเมื่อวิกฤตสภาพภูมิอากาศรุนแรงขึ้น ไม่ว่าจะด้วยปัจจัยด้านภัยธรรมชาติ เศรษฐกิจ หรือผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต นั่นคือกลุ่มคนที่มี อัตลักษณ์ทับซ้อน (intersectionality) ทั่วประเทศไทย ผู้มักจะถูกมองข้ามจากภาคนโยบาย
ในประเทศไทย ก็มีหลายกลุ่มคนที่ได้อัตลักษณ์ทับซ้อนกันอยู่ ซึ่งเป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสภาพภูมิอากาศที่แปรปรวนมากขึ้นมากที่สุด และเป็นกลุ่มคนที่องค์กร กรีนพีซ ประเทศไทย หยิบยกขึ้นมาเล่าภายในกิจกรรม BKKCAW2025 ตรงกับสถานการณ์ปัจจุบันที่กลุ่มคนหลายจังหวัดกำลังต้องใช้ชีวิตอยู่กับอุทกภัย

มนูญ ยกตัวอย่างกลุ่มอัตลักษณ์เหล่านี้ ประกอบด้วย
- กลุ่มชาติพันธุ์และชนเผ่าพื้นเมือง : กรณีชาวประมงพื้นเมือง จ.ระยอง ที่กำลังสูญเสียอาชีพที่สืบทอดจากบรรพบุรุษ เพราะไม่สามารถออกเรือหาปลาได้เหมือนเดิม ท่ามกลางการพัฒนาทางอุตสาหกรรมริมชายฝั่ง เช่นเดียวกันกับชาวชาติพันธุ์มอแกน ที่ต้องเผชิญกับผลกระทบจากโครงการที่รัฐไม่เคยนำพวกเขามานั่งฟังหรือมีส่วนร่วมในการพิจารณา อย่าง EHIA
“รัฐไม่เคยเอาพวกเขามานั่งฟัง มาพูด แต่พวกเขาต้องอยู่กับผลกระทบไปชั่วลูกชั่วหลาน”
มนูญ วงษ์มะเซาะห์
อีกปัจจัยสำคัญคือ เมื่อกลุ่มชาติพันธุ์มีภูมิปัญญาที่พวกเขาใช้ลดความเสี่ยงจากภัยโลกรวนอยู่แล้ว แต่กลับไม่ได้ถูกมองเห็นหรือสนับสนุนในมุมของนโยบาย นั่นก็ทำให้พวกเขาไม่สามารถนำภูมิปัญญาท้องถิ่นของเขามาจัดการพื้นที่ของตัวเองได้อย่างเต็มที่
มนูญ ยังเล่าว่า กลุ่มชนเผ่าพื้นเมืองเป็นส่วนน้อย เพียงแค่ 5% ของประชากรทั้งโลก แต่พวกเขามีความสามารถในการปกป้องรักษาความหลากหลายทางชีวภาพได้มากกว่า 80% นอกจากนี้ ก็ยังมีกลุ่มอัตลักษณ์ที่ต้องรับผลมากกว่า นั่นคือ
- กลุ่ม LGBTQ+ : ย้อนไปถึงเหตุการณ์น้ำท่วมปี 2554 ซึ่งรัฐไม่ได้คำนึงถึงความต้องการเฉพาะของผู้ที่มีอัตลักษณ์ทับซ้อน เช่น กลุ่ม transgender ผู้ที่ต้องใช้ฮอร์โมนอย่างสม่ำเสมอ หรือผู้ติดเชื้อ HIV ที่เข้าไม่ถึงยา เป็นยาชนิดที่เข้าถึงยากเมื่อเกิดภัยพิบัติ ก็เป้นตัวอย่างสถานกรณ์ที่กลุ่มเพศหลากหลายมีความเปราะบางมากกว่ากลุ่มอื่น ๆ แม้แต่ถุงยังชีพก็ขาดสิ่งจำเป็นพื้นฐานอย่างผ้าอนามัยให้กับเพศสตรี
- คนจนเมือง : รัฐและสังคมมักชี้นิ้วโทษว่าคนจนเมืองเป็นผู้บริโภคพลาสติกค่อนข้างเยอะ และเป็นต้นตอหลักของมลพิษ เมื่อข้อเท็จจริงคือ คนจนเมืองมีศักยภาพจำกัดในการเลือกบริโภค หรือเปลี่ยนไปใช้วัสดุรักษ์โลก และอุตสาหกรรมน้ำมันและปิโตรเคมีคือผู้ก่อมลพิษจากต้นทาง
“ทำไมเราถึงชี้นิ้วว่าคนจนเมืองที่อยู่ในชุมชนแออัดเป็นคนสร้างมลพิษพลาสติก ทั้งที่เรารู้ดีอยู่แล้วว่าใครเป็นคนผลิตพลาสติก คนริเริ่มให้พลาสติกมันก่อให้เกิดมลพิษในภาพใหญ่ได้ทุกวันนี้ก็คือพวกอุตสาหกรรมปิโตรเคมีทั้งหลาย”
มนูญ วงษ์มะเซาะห์
เขาเน้นย้ำมุมมองของนักรณรงค์ด้านพลาสติก ว่าการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม ณ ปัจจุบันเปรียบเสมือนการใช้ช้อนตักน้ำทิ้ง แม้ว่าก๊อกต้นทางจะเปิดอยู่ตลอดเวลา

ภายในนิทรรศการ โลกร้อนไม่เท่าเทียม กระทบคนไม่เท่ากัน มีการเล่าเรื่องราวของภัยธรรมชาติผ่านสิ่งของจากเหตุการณ์จริง อย่างชิ้นงาน Heart Broken โดย KANZ by THAITOR จังหวัดแพร่ เล่าเรื่องน้ำท่วมใหญ่ในปี 2024 ซึ่งเป็นการท่วมใหญ่ที่สุดในรอบ 30 ปี
กานต์ศิริ พิทยะปรีชากุล เจ้าของชิ้นงานเขียนไว้ว่า “การเปลี่ยนแปลงของโลกที่หมุนรอบตัวเรา บางครั้งมันอาจจะไม่ได้คาดคิดไว้ เราสูญเสียสิ่งที่เรารักไป แต่เราต้องยอมรับ อยู่รอดกับความจริงที่เกิดขึ้น”
“จากน้ำท่วมครั้งใหญ่ของจังหวัดแพร่ เหลือแต่ความทรงจำระหว่างทาง กับสิ่งของที่เรารักมาก ที่ยังคงหลงเหลืออยู่”
กานต์ศิริ พิทยะปรีชากุล
นอกจากนี้ ยังมีตัวแทนอาสาสมัครจากกรีนพีซ ประเทศฟิลิปปินส์ เล่าเรื่องราวความเสียหายจากพายุราอี และพายุไต้ฝุ่นไห่เยี่ยนต่อคนฟิลิปปินส์ผ่านข้าวของเครื่องใช้เช่นกัน โดยหยิบยกไฟฉายที่ใช้หลบภัย แผ่นไวนิลที่เอามาทำเป็นหลังคาชั่วคราวเป็นเดือน ๆ ลวดเหล็กป้องกันพายุ หรือเส้นเชือกในภาพ ที่ถูกใช้ช่วยชีวิตกว่าสามครอบครัวระหว่างช่วงพายุไห่เยี่ยนบุกฟิลิปปินส์ หนึ่งในนั้นคือเจสสิกาจากจังหวัดซามาร์ตะวันออก ที่สาวเชือกเข้าไปหลบภัยในบ้านเรือนใกล้เคียง

ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี เป็นกรอบที่ผิดพลาด และเป็นใบเบิกทางของ 1%
“คนรวยสร้างวิกฤตโลกเดือดมากกว่าคนจน
และคนรวยมักผลักภาระให้คนจนเมือง”
มุมมองของเจ้าหน้าที่กรีนพีซ ประเทศไทย ยังชี้ว่า ต้นตอของความไม่ยุติธรรมด้านสภาพภูมิอากาศ (Climate Injustice) มีมาตั้งแต่กรอบนโยบายระดับชาติ อย่างเช่น ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ซึ่งถูกนำไปปรับใช้กับทุกนโยบายของรัฐ ตั้งแต่ แผนแม่บทการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แผนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกระยะยาว ไปจนถึงแผน NDC ที่ประเทศไทยได้มีการนำส่งก่อนงานประชุม COP30 นี้
“กรอบยุทธศาสตร์ชาติมีการมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาอุตสาหกรรม เมื่อมีอุตสาหกรรมมากขึ้น สิ่งแวดล้อมเดิมหรือระบบนิเวศเดิมก็จะถูกดึงไปใช้มากขึ้น ก็จะกลายเป็นกรณีอย่าง EEC ถามกันตรง ๆ ว่านโยบายใครเป็นคนเขียน ก็คน 1% นั่นแหละเป็นคนเขียน และถ้าเขียนนโยบายโดยไม่ฟังเสียงของ 99% นี่แหละคือวิกฤตทางนโยบาย”
มนูญ วงษ์มะเซาะห์
เขายังตั้งคำถามต่อกรอบยุทธศาสตร์ชาติ เนื่องจากมุ่งเน้นการขยายเขตอุตสาหกรรมและมองภาพรวมอยู่บนฐานของ GDP เป็นหลัก ไม่ได้ถูกคิดมาเพื่อแก้ไขปัญหาด้านสภาพภูมิอากาศ ซึ่งคือสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน แต่กลับกลายเป็น เครื่องมือให้ภาคเอกชนมีใบเบิกทางดำเนินการอะไรบางอย่าง กับระบบนิเวศ ทำให้ขาดมิติความเสมอภาคและความเป็นธรรมทางสภาพภูมิอากาศ นอกจากนี้ คณะกรรมการในยุทธศาสตร์ชาติยังมีภาคธุรกิจเข้าร่วม แต่อาจจะยังขาดเสียงจากประชาชนที่เหลืออยู่ ผิดกับหลักสากล ที่ชุมชนจะต้องมีอำนาจตัดสินใจ
นโยบายที่ถูกกำหนดโดยคน 1% นี้ ทำให้ อุตสาหกรรมฟอสซิลยักษ์ใหญ่ (Carbon majors) ซึ่งเป็นผู้ก่อมลพิษหลักสามารถเดินหน้าต่อไปได้ มนูญ จึงย้ำว่า ประเทศไทยยังมี 2 บริษัทที่ทำธุรกิจด้านน้ำมันอย่าง ปตท. และ บ้านปู ที่ติดอันดับใน 122 บริษัทใหญ่ผู้ปล่อยคาร์บอนระดับโลก
เช่นเดียวกันกับ นโยบายระดับโลกที่เปิดทางให้ 2 บริษัทเอกชนรายใหญ่อย่างเอ็กซอนโมบิล และเชฟรอน ผู้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกรวมกัน 1.049 พันล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า เป็น 2 บริษัทที่ปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์จากเชื้อเพลิงฟอสซิลมากที่สุดในโลก
เมื่อมองกลับมาที่ประเทศไทย นอกจากกรอบยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีที่ครอบคลุมการออกแบบนโยบายโดยรวมแล้ว อีกหนึ่งข้อกฎหมายสำคัญที่กรีนพีซประเทศไทยเห็นความสำคัญ นั่นคือ กฎหมายรัฐธรรมนูญ กฎหมายที่เป็นตัวกำหนดให้นำยุทธศาสตร์ชาติไปปรับใช้กับทุกนโยบาย
“ปีนี้ กรีนพีซจะเน้นประเด็นเรื่องรัฐธรรมนูญมากขึ้น เพราะเราต้องการเอาประเด็นสิ่งแวดล้อมที่ดี ให้กลับมาอยู่ในรัฐธรรมนูญ”
มนูญ วงษ์มะเซาะห์
นโยบายการลดคาร์บอนของไทยมักใช้แนวทางที่เรียกว่า false solution (ทางออกที่ไม่แท้จริง) อย่างเช่นการอ้างอิงมาตรา 6 ของความตกลงปารีสอย่างไม่ครบถ้วนในข้อย่อย อย่างการที่ข้อ 6.8 ที่พูดถึงเรื่องการมีส่วนร่วมของประชากรไม่ค่อยถูกพูดถึงนัก
มาตรา 6 ของความตกลงปารีส ทำให้ Carbon Credit และ CCS (Carbon Capture and Storage) ถูกนำมาใช้เป็นกลไกชดเชยการปล่อยก๊าซ แต่มนูญวิจารณ์ว่าเป็น ความล้มเหลวของการแก้ปัญหา แย่ในมิติสิทธิมนุษยชนด้วย
- คาร์บอนเครดิต : มีรายงานล่าสุดออกมาบอกว่า 70% ของโครงการคาร์บอนเครดิตทั่วโลกนั้นไม่บรรลุผล การชดเชยคาร์บอนหลายแห่งไม่สามารถชดเชยคาร์บอนตามจำนวนที่คาดการณ์ไว้ได้
- โครงการดักจับและกักเก็บคาร์บอน : แนวคิดนี้เกิดขึ้นเพราะอุตสาหกรรมน้ำมันต้องการใช้หลุมที่ขุดหมดแล้วมาดักจับคาร์บอน เพื่อให้ตนเองสามารถขุดหลุมใหม่ได้ การลงทุนของบริษัท ปตท. (ซึ่งมีกระทรวงการคลังถือหุ้นอยู่ 50%) ในโครงการนำร่อง CCS ที่แท่นอาทิตย์ มีความเสี่ยงล้มเหลวสูงมาก ซึ่งหากโครงการล้มเหลว ผู้ที่จะต้องจ่ายคือ ภาษีของประชาชน
ความรับผิดชอบและทางออกที่ยุติธรรม
มนูญ จึงนำเสนอทางออกจากฝั่งนโยบายและภาครัฐ เพราะหากภาคนโยบาย ยุทธศาสตร์ หรือกรอบการดำเนินงานของประเทศ ช่วยสนับสนุนให้ภาคเอกชนและประชาชนลงมือทำเพื่อสภาพภูมิอากาศได้ง่ายขึ้น นี่จึงจะเป็นวิธีการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- หลักการผู้ก่อมลพิษต้องจ่าย (Polluter Pays Principle)
“เราจะต้องหยุดยั้งวัฒนธรรมการลอยนวลพ้นผิด”
มนูญ เน้นย้ำว่าประเทศไทยต้องบังคับใช้หลักการ Polluter Pays อย่างเป็นภาคบังคับ ไม่ใช่ภาคสมัครใจ โดยการเก็บภาษีจากบริษัท Carbon majors ให้มากขึ้น และให้ประเทศไทยมีบทบาทใน Loss and Damage Fund (L&D) กองทุนชดเชยความสูญเสียและเสียหาย มากขึ้น

นอกจากนี้ กองทุน L&D ต้องถูกออกแบบให้ คำนึงถึงหลักการ “No-Harm” เพื่อไม่ทำให้เหยื่อหรือผู้ได้รับผลกระทบจากสภาพภูมิอากาศกลายเป็นเหยื่อซ้ำอีกครั้ง และต้องทำให้กลุ่มอัตลักษณ์ทับซ้อนเข้าถึงกองทุนได้ง่าย โปร่งใส และมีสัดส่วนภาคประชาชนในการตรวจสอบ
- กรอบกฎหมายใหม่ที่อิงสิทธิมนุษยชน
รัฐต้องยกเลิกกรอบยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และนำ กรอบสิทธิมนุษยชนและความเป็นธรรมทางสภาพภูมิอากาศ มาเป็นกรอบหลักในการคิดนโยบาย อย่างใน พ.ร.บ.โลกร้อน ที่เคยให้สัญญาว่าจะออกกฎหมายให้ทันปี 2026
เช่ยเดียวกันกับในเวทีเจรจาระดับโลก COP30 ตัวแทนไทยควรมีการแถลงเจตจำนงที่แน่วแน่
ทางรอดที่ยุติธรรมคือการใช้แนวทาง Non-Market Based Approaches (มาตรา 6.8) ของความตกลงปารีส ซึ่งมีศักยภาพในการสร้างการเปลี่ยนแปลงที่จำเป็น โดยให้ความสำคัญกับมิติความยุติธรรมทางสังคม ความเท่าเทียมทางเพศ การเคารพสิทธิ และแนวทางเชิงระบบนิเวศ มาตรานี้อนุญาตให้ชุมชนท้องถิ่นใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่น (Indigenous Knowledge) ในการร่วมจัดการทรัพยากร และให้อำนาจพวกเขาเป็นผู้กำหนดการแก้ปัญหาวิกฤตสภาพภูมิอากาศด้วยตนเอง (self-determination)
พื้นที่สื่อสารความอยุติธรรมที่แคบลง
“ตั้งแต่ปี 2557 ลงมา พื้นที่ของภาคประชาชนในการจะพูดความจริงกับผู้มีอำนาจมันแคบลงมาก ๆ”
มนูญ พูดถึงอีกหนึ่งความน่ากังวล
นอกจากวิกฤตทางนโยบายแล้ว นักปกป้องสิทธิฯ ยังเผชิญกับกลยุทธ์ของกลุ่มทุนที่พยายามทำให้การแก้ปัญหาวิกฤตอ่อนแอลง และการใช้เครื่องมือทางกฎหมายมากมายอย่าง พ.ร.บ.ชุมนุม การฟ้องหมิ่นประมาท หรือ คดีฟ้องปิดปาก SLAPP (Strategic Lawsuits Against Public Participation)
การฟ้องร้องเหล่านี้มักมาพร้อมกับตัวเลขหลักร้อยล้านบาท เป้าหมายไม่ได้ต้องการชัยชนะทางกฎหมาย แต่ต้องการสร้าง ภาวะชะงักงันของสังคม (chilling effect) เพื่อไม่ให้สาธารณชนกล้าลุกขึ้นพูดเรื่องความจริงกับผู้มีอำนาจ
ดังนั้น รัฐต้องมีกลไกปกป้องและส่งเสริมนักปกป้องสิทธิฯ ให้สามารถแสดงออกเพื่อประโยชน์สาธารณะได้อย่างปลอดภัย
“เราจะขจัดกลยุทธ์พวกนี้ออกไปยังไง ให้ประชาชนรู้สึกปลอดภัยในการจะมาชี้นิ้วบอกว่า บ้านของฉันได้รับผลกระทบจากคนนี้หรือจากคนไหน มันเป็นสิ่งสำคัญในยุคนี้”
มนูญ วงษ์มะเซาะห์
ในกิจกรรม BKKCAW 2025 ที่ผ่านมา มนูญ ให้ข้อมูลว่า กรีนพีซ ประเทศไทย ถือเป็นองค์กรเดียวที่กล้าพูดถึง carbon majors หรือบริษัทเอกชนยักษ์ใหญ่ที่เป็นต้นตอสำคัญของก๊าซเรือนกระจก ทีมงานยังได้จัดวงเสวนา เชิญชวนภาครัฐมารับฟังเสียงจากชุมชน แต่มนูญก็รายงานว่า ไม่มีคนจากหน่วยงานรัฐสะดวกมารับฟังในวันดังกล่าว
หยุดโทษกันเอง รุกเปลี่ยนนโยบาย
ด้วยกรอบความไม่ปลอดภัยในการสื่อสารหรือโต้แย้งกับระบบนโยบาย อาจเป็นส่วนหนึ่งที่ส่งผลให้ “คนชนชั้นกลางมักจะชี้นิ้วมาหากันเอง แล้วมองว่า โครงสร้างของนโยบายหรือโครงสร้างของรัฐเนี่ย เป็นสิ่งที่เขาเอื้อมไม่ถึง”
การแก้ปัญหาสภาพภูมิอากาศมักถูกมองว่า ควรจะเริ่มต้นที่การเปลี่ยนพฤติกรรมส่วนตัว (individual action) หรือการ เริ่มที่ตัวเรา แต่ในความเป็นจริงแล้ว…
“คุณจะมาบอกให้ทุกคนเริ่มที่ตัวเขาเองไม่ได้อีกต่อไปอีกแล้ว คุณต้องไปบอกให้รัฐเริ่มสักที”
มนูญ วงษ์มะเซาะห์

เขายกตัวอย่างชนเผ่าพื้นเมืองและคนจนเมืองเริ่มที่ตัวเขามานานแล้ว และเน้นย้ำความสามารถของคนชนชั้นกลางในการกดดันภาครัฐ
ชนชั้นกลางซึ่งอยู่ใกล้กับผู้กำหนดนโยบายมากที่สุด ควรเปลี่ยนมุมมองจาก “การโทษกันเอง” ไปสู่การ “ชี้นิ้วหาผู้ก่อมลพิษขนาดใหญ่และผู้กำหนดนโยบายที่อนุญาตให้ปล่อยมลพิษได้” ชนชั้นกลางสามารถช่วยกันใช้พลังการสื่อสาร และใช้พลังอำนาจที่มีอยู่สนับสนุนนโยบายที่เป็นธรรม เช่น การจัดสรรเงินทุนเพื่อคนจนเมืองให้เข้าถึงวัสดุย่อยสลายได้
ในเวที COP30 มนูญฝากให้ประชาชนควรติดตามแผน NDC 3.0 และ พ.ร.บ.โลกร้อนฉบับใหม่อย่างใกล้ชิด ทวงถาม เจตจำนง ของตัวแทนไทย ว่านโยบายที่ออกมาใหม่เหล่านี้ ปกป้องผลประโยชน์ของประชาชน 99% แล้วหรือยัง ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญที่ควรนำมาพิจารณาในการเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้นอีกด้วย
พร้อมเล็งเห็นจุดสำคัญจากแผน NDC 3.0 ที่ภาครัฐประกาศว่าจะขยับเส้นเดดไลน์การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) จากเป้าปี 2065 เลื่อนมาเป็น 2050 ให้พร้อมกับประเทศอื่น ๆ ภายหลังจากโดนแรงกดดัน แต่แผนการลดก๊าซเรือนกระจกกลับไม่ได้มีรายละเอียดที่แตกต่างกัน
กรีนพีซ อินเตอร์เนชันแนล ได้นำเรือ Rainbow Warrior เรือรณรงค์ขนาดใหญ่ ไป ณ งานเจรจาด้านสภาพภูมิอากาศระดับโลก COP30 ที่ประเทศบราซิล รวมถึงกรีนพีซประเทศไทย ก็มีแผนการจับตาและรายงานนโยบายด้านสภาพภูมิอากาศ พร้อมเป็นตัวแทนส่งเสียงประชาชนจากหลากภูมิภาคทั่วไทย สำหรับการเลือกตั้งที่คาดการณ์ว่าจะเกิดขึ้นในช่วงปี 2569 ด้วยเช่นกัน

