เปลี่ยนรูป-กลายร่าง “ศาลรัฐธรรมนูญ” อำนาจเหนือการถ่วงดุล?

“ยึดหลักนิติธรรม ค้ำจุนประชาธิปไตย ห่วงใยสิทธิและเสรีภาพของประชาชน”

ปณิธานศาลรัฐธรรมนูญ

เกือบ 30 ปี หลังการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับ 2540 ประเทศไทยได้จัดตั้งองค์กรอิสระขึ้นเป็นครั้งแรก บนความหวังที่ว่าองค์กรเหล่านี้จะทำหน้าที่ตรวจสอบถ่วงดุลอำนาจทางการเมือง ปกป้องระบอบประชาธิปไตย และคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน

แต่หลังจากรัฐประหารถึง 2 ครั้ง ในปี 2549 และ 2557 รัฐธรรมนูญใหม่ภายใต้รัฐบาลทหาร คือ ฉบับ 2550 และ 2560 ได้ทำให้อำนาจองค์กรอิสระขยายตัวมากขึ้น จากที่เคยถูกวางบทบาทให้เป็นเพียงผู้คุมกฎ กลับกลายเป็นตัวแสดงทางการเมือง และคู่ขัดแย้งในหลายกรณี

ศาลรัฐธรรมนูญกับคดีสำคัญทางการเมือง

ในรอบสองทศวรรษ เราได้เห็นความขัดแย้งทางการเมืองของไทยที่เกิดจากการทำหน้าที่ขององค์กรอิสระเองอยู่บ่อยครั้ง โดยเฉพาะคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่สร้างความกังขาในคดีสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการยุบพรรค ตัดสิทธิ์นักการเมือง จนถึงการชี้ขาดคุณสมบัตินายกรัฐมนตรี

ผลพวงจากคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญหลายต่อหลายครั้ง ส่งผลกระทบโดยตรงต่อความเชื่อมั่นของประชาชน จนถูกสังคมตั้งคำถามมากขึ้นเรื่อย ๆ ถึงหลักนิติรัฐ นิติธรรม ความเป็นกลาง และความเที่ยงธรรม 

เหตุใดสังคมจึงคิดเช่นนั้น 

หากลองย้อนกลับไปมองคดีสำคัญในหน้าประวัติศาสตร์การเมืองไทย นับตั้งแต่มีการจัดตั้งองค์กรอิสระ จะพบว่าศาลรัฐธรรมนูญได้ใช้อำนาจให้คุณให้โทษแก่นักการเมืองและพรรคการเมืองไปแล้วมากมาย โดยมีคำสั่งยุบพรรคการเมืองกว่า 100 พรรค เช่น

  • ปี 2550 ยุบพรรคไทยรักไทย ข้อหากระทำการอันเป็นปฏิปักษ์ต่อระบอบการปกครอง กรณีจ้างพรรคการเมืองขนาดเล็กลงสมัครรับเลือกตั้ง
  • ปี 2551 ยุบพรรคพลังประชาชน พรรคชาติไทย พรรคมัชฌิมาธิปไตย ข้อหาทุจริตการเลือกตั้ง 
  • ปี 2562 ยุบพรรคไทยรักษาชาติ กรณีเสนอชื่อทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตน์ราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี อยู่ในบัญชีรายชื่อนายกรัฐมนตรีของพรรค
  •  ปี 2563 ยุบพรรคอนาคตใหม่ กรณี ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรค ให้พรรคกู้ยืมเงิน 191 ล้านบาท 
  •  ปี 2567 ยุบพรรคก้าวไกล ข้อหาล้มล้างการปกครอง กรณีเสนอแก้ไขกฎหมายอาญา มาตรา 112 

นอกจากคดียุบพรรคการเมืองแล้ว ศาลรัฐธรรมนูญยังใช้อำนาจวินิจฉัยให้นายกรัฐมนตรีหลายคนต้องหลุดจากเก้าอี้ 

  • สมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีจากพรรคพลังประชาชน ต้องพ้นจากตำแหน่ง จากการเป็นพิธีกรรับเชิญในรายการ “ชิมไปบ่นไป” โดยถือว่าเป็นลูกจ้าง จึงขาดคุณสมบัติการเป็นรัฐมนตรี
  • ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี กรณีแทรกแซงการแต่งตั้งโยกย้าย ถวิล เปลี่ยนศรี เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ไปเป็นที่ปรึกษานายกฯ
  • เศรษฐา ทวีสิน พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เนื่องจากไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง จากการเสนอชื่อ พิชิต ชื่นบาน เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ทั้งที่นายพิชิตเคยต้องคำพิพากษาจำคุก
  • แพทองธาร ชินวัตร จากคดีคลิปเสียงสนทนากับสมเด็จฮุนเซน ประธานวุฒิสภาแห่งกัมพูชา

ขณะที่ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ถูกฟ้องร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญจำนวน 4 คดีด้วยเช่นกัน แต่ศาลรัฐธรรมนูญไม่รับคำร้อง 1 คดี และตัดสินให้พ้นผิดในทุกกรณีที่เหลือ

คดีที่ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ถูกฟ้องร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ

  1.  การถวายสัตย์ปฏิญาณไม่ครบถ้วน ศาลรัฐธรรมนูญไม่รับคำร้อง
  2.  ข้อกล่าวหาว่าเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ในฐานะหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. ขัดต่อคุณสมบัติการเป็นนายกรัฐมนตรีหรือไม่ 
  3.  “บ้านพักหลวง” ซึ่งแม้จะพ้นจากตำแหน่ง ผบ.ทบ. แล้ว แต่ยังอาศัยในบ้านพักราชการทหาร 
  4.  การดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเกิน 8 ปี ขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่

นอกจากนี้ยังมีคดีของ ร.อ. ธรรมนัส พรหมเผ่า ที่เคยต้องคำพิพากษาศาลต่างประเทศในข้อหายาเสพติด โดยศาลรัฐธรรมนูญลงมติเป็นเอกฉันท์ว่า ร.อ. ธรรมนัส ไม่ต้องพ้นจากตำแหน่ง เพราะเป็นคำพิพากษาของศาลต่างประเทศ ไม่มีผลผูกพันกับศาลไทย

และอีกคดีที่น่าสนใจไม่แพ้กัน คือกรณีของ ไพบูลย์ นิติตะวัน ที่ยุบพรรคของตนเอง เพื่อไปสังกัดพรรคพลังประชารัฐ โดยศาลชี้ว่า ไม่ขัดกับพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญพรรคการเมือง

เช่นเดียวกับการตัดสินคดีสำคัญที่ส่งผลต่อสถานการณ์การเมือง คือการวินิจฉัยให้การจัดเลือกตั้งทั่วไปเป็นโมฆะถึง 2 ครั้ง ได้แก่

  • การเลือกตั้งวันที่ 2 เมษายน 2549 โดยให้เหตุผลว่า กกต. จัดคูหาในลักษณะที่ไม่เหมาะสม 
  • การเลือกตั้งวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 ขัดต่อรัฐธรรมนูญ เพราะไม่เป็นการจัดการเลือกตั้งพร้อมกันทั่วราชอาณาจักร โดยเหตุการณ์นี้สืบเนื่องจากผู้ชุมนุมกลุ่ม กปปส. เข้าขัดขวางการเลือกตั้ง

นอกจากนี้ ศาลรัฐธรรมได้ตัดสินคดีที่เกี่ยวข้องกับการแสดงออกของประชาชน โดยวินิจฉัยว่า การกระทำของ อานนท์ นำภา, ภาณุพงศ์ จาดนอก และ ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล ที่เสนอให้มีการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ ในการชุมนุมปราศรัยเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2563 ซึ่งถือเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

ทั้งหมดนี้ทำให้หลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่า นี่เป็นผลจากปรากฏการณ์ที่เรียกว่า ตุลาการภิวัฒน์ ที่นำมาสู่ “ภาวะนิติสงคราม” หรือไม่ 

แม้จะมีเสียงปฏิเสธจากอีกฝั่ง แต่ก็อาจจะปฏิเสธได้ยากว่าเป็นชนวนของความขัดแย้งหลายเหตุการณ์ ในช่วงกว่า 2 ทศวรรษ ที่ผ่านมา

ศาลรัฐธรรมนูญเปลี่ยนไป หรือมีอะไรทำให้เปลี่ยนแปลง ?

ถึงตรงนี้ เราอาจต้องกลับมาทำความเข้าใจกันอีกครั้ง ถึงที่มาที่ไปของปัญหาความไม่เชื่อมั่นต่อศาลรัฐธรรมนูญ โดยสืบสาวไปยังจุดเริ่มต้นของแนวคิดการตั้งองค์กรอิสระ ไปจนถึงวิเคราะห์ปัจจัยทางการเมืองและต้นสายปลายเหตุที่ทำให้โฉมหน้าขององค์กรอิสระเปลี่ยนไป 

เริ่มจากการเกิดขึ้นของ “องค์กรอิสระ” ซึ่งเกิดขึ้นครั้งแรกตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ 2540 ภายใต้บรรยากาศความตื่นตัวทางการเมืองหลังเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ (พฤษภาคม 2535) ที่มีการสูญเสียครั้งใหญ่ จนเกิดกระแสเรียกร้องให้มีการปฏิรูปการเมืองอย่างจริงจัง

รัฐธรรมนูญ 2540 หรือที่เรียกว่า “รัฐธรรมนูญฉบับประชาชน” จึงมุ่งเน้นไปที่การสร้างกลไกป้องกันการทุจริตคอร์รัปชันที่เข้มข้นมากขึ้น โดยออกแบบโครงสร้างสถาบันการเมืองขึ้นมาใหม่ ซึ่งก็คือ “องค์กรอิสระ” เพื่อทำหน้าที่เป็น “อำนาจที่ 4” แยกออกจากอำนาจนิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ

องค์กรอิสระที่เกิดขึ้นจากรัฐธรรมนูญ 2540 

  • ศาลรัฐธรรมนูญ 
  • คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)
  • คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)
  • คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (คตง.)
  • ผู้ตรวจการแผ่นดิน 
  • คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.)

สำหรับ “ศาลรัฐธรรมนูญ” ถูกกำหนดให้มีหน้าที่ในการวินิจฉัยข้อพิพาทที่เกี่ยวข้องกับรัฐธรรมนูญ รวมทั้งวินิจฉัยร่างกฎหมายหรือการกระทำของนักการเมือง ว่าขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่

ศ.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ อดีตสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญฉบับ 2540 เขียนบทความในวารสารสถาบันพระปกเกล้า ปี 2546 ฉบับที่ 1 ระบุว่า เดิมทีนั้นองค์กรพิเศษที่ทำหน้าที่ควบคุมกฎหมายมิให้ขัดต่อรัฐธรรมนูญ คือ “คณะตุลาการรัฐธรรมนูญ” ซึ่งอยู่ภายใต้กลไกของรัฐสภา มีลักษณะเป็นองค์กรทางการเมือง 

ด้วยเหตุนี้ จึงมีการปรับปรุงให้เป็นรูปแบบของศาล เพื่อให้เป็นอิสระในการปฏิบัติหน้าที่มากขึ้น และไม่เป็นฝักเป็นฝ่ายทางการเมือง

ทว่า เมื่อสถานการณ์การเมืองพลิกผัน คณะรัฐประหารเข้ายึดกุมอำนาจถึง 2 ครั้ง โดยคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ หรือ คมช. ในปี 2549 และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. ในปี 2557 ทำให้เจตนารมณ์ดั้งเดิมของการตั้งองค์กรอิสระ เปลี่ยนรูป-กลายร่าง

ปัญหาที่เกิดขึ้นกับศาลรัฐธรรมนูญจากผลคำวินิจฉัยในคดีต่าง ๆ ไม่ได้เพียงแค่สั่นคลอนเสถียรภาพทางการเมือง และสร้างความคลางแคลงใจต่อประชาชน หากแต่ยังมีปัญหาเชิงโครงสร้างขององค์กรอิสระเอง ไม่ว่าจะเป็นที่มา การสรรหา ความรู้ความเชี่ยวชาญ ขอบเขตอำนาจ ตลอดจนกลไกการถอดถอน ซึ่งทั้งหมดล้วนมีปัญหาในตัวเอง

จากการพูดคุยกับ ปุรวิชญ์ วัฒนสุข อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ระบุว่า ต้นแบบของแนวคิดการตั้งองค์กรชำนาญการพิเศษอย่างศาลรัฐธรรมนูญของไทย ถอดแบบมาจากประเทศเยอรมนี โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อป้องกันไม่ให้พรรคการเมืองใดเข้ามาแสวงอำนาจและล้มระบอบ ซึ่งเป็นไปตามแนวคิด “รัฐธรรมนูญนิยม”

ในด้านการออกแบบโครงสร้างสถาบัน ตามรัฐธรรมนูญ 2540 กำหนดให้ สว. เป็นผู้เลือกและให้ความเห็นชอบผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ เนื่องจาก สว. มาจากเลือกตั้งทางตรง ดังนั้น การได้มาซึ่งองค์กรอิสระจึงยึดโยงกับประชาชนด้วยเช่นกัน จึงทำให้บรรยากาศการเมืองไทยในขณะนั้น เรียกได้ว่าเต็มไปด้วยความหวัง และเชื่อกันว่า นี่จะเป็นรัฐธรรมนูญฉบับสุดท้าย

จนกระทั่งเมื่อถึงยุครัฐบาล ทักษิณ ชินวัตร บรรดา สว. ที่มาจากการเลือกตั้งจำนวนไม่น้อยก็ค่อย ๆ ถูกกลืนกลาย และตกอยู่ใต้การชี้นำของฝ่ายการเมือง จนเป็นที่มาของข้อกล่าวหาว่ารัฐบาล (อำนาจการเมือง) แทรกแซงองค์กรอิสระ

“พอเข้าสู่ยุคไทยรักไทยจะเห็นชัดว่ามี สว. จำนวนไม่น้อย ดูเหมือนจะลงมติให้ความเห็นชอบกับองค์กรอิสระที่เอื้อประโยชน์ให้รัฐบาลไทยรักไทยในเวลานั้น นี่จึงเป็นชนวนเหตุหนึ่งที่นอกจากข้อกล่าวอ้างเรื่องคอร์รัปชันของรัฐบาลนี้ ก็คือการแทรกแซงองค์กรอิสระ”

ปุรวิชญ์ วัฒนสุข อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 

ที่สุดแล้ว กงล้อประวัติศาสตร์การเมืองไทยก็วนกลับมาที่จุดเดิม เมื่อคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ภายใต้การนำของ พล.อ. สนธิ บุญยรัตกลิน เข้ายึดอำนาจ และนำไปสู่การประกาศใช้รัฐธรรมนูญปี 2550 รัฐธรรมนูญฉบับนี้ถูกออกแบบขึ้นเพื่อสกัดกั้นไม่ให้รัฐบาลลุแก่อำนาจ โดยกลไกต่าง ๆ ส่งผลให้พรรคการเมืองอ่อนแอ และปิดช่องทางไม่ให้สามารถเข้าไปครอบงำองค์กรอิสระได้

ต่อมาในยุคคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้สร้างกลไกควบคุมทางการเมืองที่แน่นหนายิ่งกว่าเดิม โดยเห็นได้จากการแต่งตั้งสมาชิกวุฒิสภาจำนวน 250 คนทั้งหมดจาก คสช. ส่งผลให้กระบวนการคัดเลือกบุคคลเข้าสู่องค์กรอิสระถูกตัดขาดจากการมีส่วนร่วมของประชาชนอย่างสิ้นเชิง

ส่วนการถ่วงดุลอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ แต่เดิมรัฐธรรมนูญฉบับก่อนหน้ากำหนดให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสามารถเข้าชื่อเพื่อเสนอให้วุฒิสภาถอดถอนประธานหรือตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้ แต่บทบัญญัตินี้ได้ถูกลบออกไปในรัฐธรรมนูญปี 2560 นอกจากนี้ คณะกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎรยังไม่สามารถใช้อำนาจตามกฎหมายเรียกองค์กรอิสระมาชี้แจงข้อมูลได้อีกต่อไป

“ผมนิยามรัฐธรรมนูญปี 2560 ว่าเป็นรัฐธรรมนูญปี 2550 เวอร์ชั่นอัปเกรด เพราะเราจะได้ยินตอนที่รัฐประหารใหม่ ๆ มีกระแสข่าวเล่าข่าวลือกันว่า รัฐประหารต้องไม่เสียของ หมายความว่า รัฐธรรมนูญปี 2550 ยังแรงน้อยไปที่จะควบคุมกำกับอำนาจจากการเลือกตั้งให้อยู่ในแถว เพราะเกิดจากความคิดที่ว่าระบบการเมืองที่พังอยู่ตอนนี้ มีต้นเหตุมาจากนักการเมืองทุจริต”

ปุรวิชญ์ วัฒนสุข อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 

คำถามสำคัญจึงเกิดขึ้นว่า แล้วใครกันแน่ที่จะตรวจสอบศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระเหล่านี้

“เรื่องนี้จะเป็นเหรียญด้านกลับ เพราะตอนปี 2550 เราเชื่อในองค์กรอิสระว่าไม่มีส่วนได้เสีย เชื่อในศาล เชื่อว่าเป็นคนดี แต่ถ้าถามในมุมกลับ ตอนนี้เป็นเช่นนั้นหรือเปล่า”

ปุรวิชญ์ วัฒนสุข อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 

นอกจากนี้ ปุรวิชญ์ ยังชี้ให้เห็นว่า พื้นฐานของสังคมไทยผูกโยงอยู่กับระบอบอุปถัมภ์มาโดยตลอด เป็นสังคมที่เอื้อพวกพ้อง แม้กระทั่งในกลุ่มที่เรียกว่า “คนดี”

เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว จึงไม่แปลกที่การสรรหาตุลาการศาลรัฐธรรมนูญในระยะหลัง จึงมักได้บุคคลที่ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายรัฐธรรมนูญอย่างเป็นที่ประจักษ์ 

อีกทั้งรัฐธรรมนูญ 2560 ยังเปิดช่องให้บุคคลที่ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายรัฐธรรมนูญโดยตรง สามารถเข้าสู่ตำแหน่งได้ จำนวน 2 ตำแหน่ง คือ อดีตข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ไม่ต่ำกว่าอธิบดีหรือหัวหน้าส่วนราชการที่เทียบเท่า 

ที่สำคัญ ตลอดปีนี้ไปจนถึงปี 2570 จะเป็นฤดูกาลแห่งการสรรหาผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระจำนวนมาก ทั้ง กกต. ป.ป.ช. ผู้ตรวจการแผ่นดิน และกรรมการสิทธิมนุษยชน ประชาชนจึงต้องช่วยกันจับตาอย่างใกล้ชิด

“เราจะเห็นได้ว่า กลไกการออกแบบการพิทักษ์ระบอบรัฐประหารเข้มแข็งและแน่นหนากว่าปี 2550 มาก ถ้าพูดกันตามตรง ทุกวันนี้องค์กรอิสระอำนาจล้นมาก แล้วสิ่งที่หายไปคือ สิ่งที่เรียกว่าความพร้อมรับผิด หรือ Accountability”

ปุรวิชญ์ วัฒนสุข อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 

นักรัฐศาสตร์ ย้ำด้วยว่า ความพร้อมรับผิดทางการเมือง และความพร้อมรับผิดทางกฎหมาย ถือเป็นองค์ประกอบสำคัญที่จะช่วยถ่วงดุลอำนาจของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ไม่ให้ใช้อำนาจเกินขอบเขต

แต่ด้วยการออกแบบโครงสร้างและที่มาขององค์กรอิสระที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ทำให้สิ่งที่เรียกว่า ความพร้อมรับผิด หรือ Accountability หายไป จึงไม่มีกลไกใดที่จะเอาผิดหรือถอดถอนได้

หากมองในแง่ขอบเขตอำนาจศาล ทุกวันนี้ศาลรัฐธรรมนูญได้ใช้หลักการพิจารณาคดีตามมาตรฐานจริยธรรมเป็นบรรทัดฐาน ซึ่งคำนี้กินความหมายอย่างกว้างขวาง และไม่มีมาตรวัดที่ชัดเจน จึงถูกมองเป็นเรื่องอัตวิสัย ขึ้นอยู่กับความรู้สึกและการตีความของศาลเอง

“มาตรฐานทางจริยธรรมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ” จึงถือเป็นอีกเครื่องมือหนึ่งเพื่อควบคุมนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง โดยประกาศใช้เมื่อวันที่ 30 มกราคม 2561 บังคับใช้แก่ สส. สว. และคณะรัฐมนตรี ตามรัฐธรรมนูญ ปี 2560 มาตรา 219 วรรคสอง ซึ่งโทษสูงสุดคือ ตัดสิทธิ์ลงสมัครรับเลือกตั้งตลอดชีวิต และไม่มีสิทธิดำรงตำแหน่งทางการเมืองใด ๆ

“ผมพยายามชี้มาตลอดว่า รัฐธรรมนูญ ปี 2560 คือ รัฐประหารแปลงร่าง ไม่มี ม.44 แล้ว แต่อำนาจองค์กรอิสระให้คุณ-โทษเยอะ มาตรฐานจริยธรรม ความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ เช่น คดีคุณเศรษฐากลายเป็นบรรทัดฐานไปแล้วว่าไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ ฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง เป็นเหตุให้ขาดคุณสมบัติความเป็นรัฐมนตรี ก็ต้องพ้นจากตำแหน่ง

คดีคุณเศรษฐาเลยกลายเป็นบรรทัดฐานของคุณแพทองธารตอนนี้”

ปุรวิชญ์ วัฒนสุข อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 

ตัวอย่างคดีที่ศาลฎีกาได้หยิบยกมาตรฐานจริยธรรมของศาลรัฐธรรมนูญมาใช้ตัดสินลงโทษนักการเมืองอื่น ๆ 

  • ปารีณา ไกรคุปต์ อดีต สส.พรรคพลังประชารัฐ
  • กนกวรรณ วิลาวัลย์ อดีต รมช.กระทรวงศึกษาธิการ พรรคภูมิใจไทย 
  • ธณิกานต์ พรพงษาโรจน์ อดีต สส.พรรคพลังประชารัฐ 
  • พรรณิการ์ วานิช อดีต สส.พรรคอนาคตใหม่ 

“เป็นที่แน่ชัดว่า การคอร์รัปชัน คือสารตั้งต้นของวิกฤตการเมือง”

ประเทศไทยยังจำเป็นต้องมีศาลรัฐธรรมนูญอยู่หรือไม่ 

ผลจากการออกแบบรัฐธรรมนูญปราบโกง ติดดาบองค์กรอิสระ โดยไม่ยึดโยงกับประชาชน ทำให้ยากที่จะตรวจสอบหรือถอดถอนได้ จึงกลายเป็นเงื่อนปมซับซ้อนที่แก้ไขยากยิ่งขึ้น จนกระทั่งกระแสสังคมมีข้อเสนอทะลุเพดานขึ้นมาว่า ประเทศไทยยังจำเป็นต้องมีศาลรัฐธรรมนูญอยู่หรือไม่ 

ศ.สมชาย ปรีชาศิลปกุล อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้ในวงเสวนาวาระครบรอบ 20 ปี สำนักข่าวประชาไท ว่า ศาลรัฐธรรมนูญเคยถูกคาดหวังให้เป็นนวัตกรรมที่ช่วยปกป้องประชาธิปไตยและเสรีภาพของประชาชน แต่การนำตัวแบบองค์กรอิสระของต่างประเทศมาปรับใช้กับประเทศไทยโดยไม่คำนึงถึงบริบท ก็ทำให้เกิดการผ่าเหล่าผ่ากอทางกฎหมาย 

ที่มา : ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน

ศ.สมชาย ยังบอกอีกว่า การยกเลิกศาลรัฐธรรมนูญอาจเป็นทางออกที่น่าพึงพอใจของหลายฝ่าย แต่หากถ่ายโอนภารกิจไปยังศาลยุติธรรม ปัญหาที่จะตามมาคือ ความไม่ความยึดโยงของศาลกับประชาชนอีกเช่นกัน

ดังนั้น แนวทางที่อาจเป็นไปได้ คือ การปฏิรูปศาลรัฐธรรมนูญในบางประเด็น เช่น กระบวนการสรรหา และการเพิ่มความรับผิดทางกฎหมาย 

หรืออีกแนวทางคือ การตั้งองค์กรรูปแบบใหม่ เช่น ตุลาการพิทักษ์รัฐธรรมนูญ โดยมีสัดส่วนของผู้นำฝ่ายค้าน ประธานสภา ตัวแทน สส. และอื่น ๆ เข้ามาเป็นองค์ประกอบ

อย่างไรก็ตาม ศ.สมชาย เชื่อว่า หนึ่งในปัจจัยที่จะทำให้ศาลรัฐธรรมนูญเข้ารูปเข้ารอย คือ ต้องทำให้ศาลพร้อมรับผิดทางกฎหมายได้ หากตีความกฎหมายอย่างบิดเบือน ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องต้องได้รับโทษทางอาญาหรือจำคุก เพื่อไม่ให้ใช้อำนาจตามอำเภอใจ

“คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญมีการบิดเบือนกฎหมายเกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก การจะทำให้ศาลรัฐธรรมนูญอยู่ในร่องในรอยได้ ต้องทำให้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญติดคุกได้”

ศ.สมชาย ปรีชาศิลปกุล อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

สอดคล้องกับความเห็นของ ปุรวิชญ์ ที่มองว่าการยุบศาลรัฐธรรมนูญอาจไม่ใช่ทางออก เพราะการมีองค์กรกลางในการตัดสินข้อพิพาทด้านกฎหมายรัฐธรรมนูญยังเป็นสิ่งจำเป็น แต่ต้องลดอำนาจลง ไม่ให้ข้ามเส้นพรมแดนของฝ่ายบริหารและนิติบัญญัติ

“ถ้าสถาบันการเมืองไหนไม่สามารถปรับตัวให้สอดรับความเปลี่ยนแปลงได้ ก็ทำให้ความชอบธรรมเสื่อมลง และในระบอบประชาธิปไตยปกติทั่วโลก ไม่มีใครให้อำนาจองค์กรตรวจสอบมากขนาดนี้ สิ่งที่เป็นอยู่ในประเทศไทยมันคือความบิดเบี้ยว”

ปุรวิชญ์ วัฒนสุข อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 

ทางตันที่ต้องแก้ด้วย “รัฐธรรมนูญฉบับใหม่” ?

หนทางเดียวที่จะปฏิรูปศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระได้อย่างเป็นระบบ หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ แต่อุปสรรคสำคัญคือ รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันได้วางเงื่อนไขไว้อย่างแน่นหนา

ยิ่งชีพ อัชฌานนท์ ผู้จัดการโครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน (iLaw) สะท้อนว่า หนทางในการแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้นจำเป็นต้องต่อสู้ในระยะยาว และต้องรณรงค์ให้ความรู้แก่ประชาชน ให้เข้าใจถึงความซับซ้อนของปัญหาที่เกิดขึ้นกับองค์กรอิสระ

เป้าหมายใหญ่ คือ การร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ โดยมีสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ที่มาจากการเลือกตั้ง เพื่อแก้ไขโครงสร้างและการเข้าสู่อำนาจของทั้ง สว. และองค์กรอิสระ

ก่อนหน้านี้ iLaw เป็นแกนนำรณรงค์แก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งแรกเมื่อปี 2563 สามารถรวบรวมรายชื่อประชาชนได้กว่า 100,000 รายชื่อ แต่ถูกที่ประชุมรัฐสภาตีตก เนื่องจาก สว. ส่วนใหญ่ไม่เห็นชอบ

หลังจากนั้นภาคประชาชนได้ร่วมกันเข้าชื่อเสนอแก้รัฐธรรมนูญอีก 3 ครั้ง และมีการเสนอร่างแก้ไขของพรรคการเมืองต่าง ๆ รวมทั้งสิ้น 26 ร่าง แต่ทั้งหมดก็ถูกตีตกอีกเช่นกัน

กระทั่งปี 2568 มีการเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญอีกครั้งของพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาชน ซึ่งถูกเตะถ่วงมาจนถึงปัจจุบัน เนื่องจากต้องรอคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญว่าต้องทำประชามติกี่ครั้ง

ล่าสุด (10 ก.ย. 2568) ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยคดีที่รัฐสภาส่งเรื่องให้พิจารณาว่าจะต้องทำประชามติตลอดกระบวนการเขียนรัฐธรรมนูญใหม่ว่าให้ทำประชามติมากสุด 3 ครั้งหรือน้อยสุด 2 ครั้งโดยสามารถประชามติครั้งที่ 1 และ 2 ในครั้งเดียวกันได้ แต่รัฐสภาไม่อาจให้ประชาชนเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) โดยตรง

อย่างไรก็ตาม จากการสรุปโดย iLaw ชี้ว่า คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 9/2568 ถือว่ายังไม่ชัดเจนเรื่องจำนวนครั้งการทำประชามติ ซึ่งสะท้อนถึงความไม่มั่นคงของมาตรฐานศาล อีกทั้งยังเพิ่มความเห็นว่ารัฐสภาไม่อาจให้ประชาชนเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญโดยตรง ซึ่งเกินกว่าประเด็นที่มีผู้ร้องและอาจขัดกับหลักการที่เคยย้ำว่าประชาชนคือผู้ทรงอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญ จึงเสี่ยงกระทบต่อความชอบธรรมและการยอมรับของกระบวนการร่างรัฐธรรมนูญใหม่

ยิ่งชีพ ยอมรับว่า แม้กระบวนการเคลื่อนไหวต้องใช้เวลายาวนาน และยังต้องฝ่าด่าน สว. กลุ่มใหญ่ให้ได้ แต่ก็ถือเป็นวาระสำคัญของชาติที่ต้องเดินหน้าต่อ จนกว่าจะสุดทาง 

“ในทางการเมืองแล้ว ในสภา สส. ที่มาจากการเลือกตั้งไม่ได้มีใครคัดค้านสิ่งนี้ และทุก ๆ คนรู้ว่านี่เป็นสิ่งที่ควรจะทำ ทุกคนรู้ว่าเราไม่ควรจะอยู่กับมรดกคณะรัฐประหารไปตลอด และกติกาสูงสุดที่จะปกครองประเทศ ที่ใช้กำกับดูแลอำนาจรัฐ คุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน ควรต้องมีที่มาอันชอบธรรม ที่ประชาชนมีส่วนร่วมในการร่าง ผ่านการทำประชามติที่ชอบธรรม”

ยิ่งชีพ อัชฌานนท์ ผู้จัดการโครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน (iLaw) 

สุดท้ายแล้ว “ศาลรัฐธรรมนูญ” และองค์กรอิสระทั้งหลาย จะยืนอยู่บนปณิธานสูงส่งที่ประกาศไว้ได้หรือไม่ อาจไม่ได้ขึ้นอยู่กับถ้อยคำที่จารึกไว้ในเอกสารทางการ 

หากแต่ขึ้นอยู่กับการกระทำที่ประชาชนมองเห็นและสัมผัสได้จริง ว่ามีความเป็นกลาง โปร่งใส และพร้อมรับผิดชอบต่อสังคมหรือไม่

เพราะในระบอบประชาธิปไตย ศรัทธาของประชาชนคือพลังเดียวที่จะค้ำจุนให้สถาบันใด ๆ ดำรงอยู่ได้อย่างมั่นคง ซึ่งหากองค์กรอิสระยังคงใช้อำนาจโดยปราศจากความยึดโยงกับประชาชน ก็ยากที่จะรักษาความชอบธรรมไว้ได้

และหากกติกาสูงสุดของประเทศไม่เป็นธรรม เราจะหวังให้เรื่องปากท้องหรือชีวิตประจำวันที่ว่าสำคัญเดินหน้าได้อย่างไร เพราะเมื่อเรามีกติกาที่ไม่ยุติธรรมก็ย่อมสร้างความเหลื่อมล้ำ และอาจพรากสิทธิเสรีภาพของใครสักคนไปโดยที่เขาไม่ทันได้ตั้งตัว


Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active