งาน งาน งาน เราทำงานเราได้เงิน
– เพลงเปิด, ละคร Elephant in the Room –
เงิน เงิน เงิน เราทำงานเลยได้มา
ทุ่มเทอุทิศร่างกาย ทุ่มเทให้เราได้เงิน
เราต้องทำงานเพราะเงิน
ทำนองเพลงที่สนุกสนานรื่นเริง ตัวละครหนุ่มสาวพนักงานออฟฟิศออกมาร้องรำทำเพลง เชื้อเชิญเราเข้าสู่การทำงานในเช้าวันใหม่อันแสนสดใส พร้อมอุทิศร่างกายเพื่องานที่รัก แลกกับการได้มีเงินมาต่อเติมชีวิต ช่างเป็นสิ่งดี ๆ ที่เราได้มีงาน มีเงิน และมีความสุข
นี่คือฉากเปิดของ ละครเวที Elephant in the Room ทว่าโลกแห่งความเป็นจริงอาจไม่ได้รื่นเริงเหมือนในละคร ไม่ใช่ทุกคนที่ตื่นเช้ามาด้วยความสดใส หลายครั้งเราอาจตื่นนอนด้วยความรู้สึกไม่อยากลุกจากเตียง ไม่อยากเบียดเสียดผู้คนบนรถไฟฟ้า รถติดนานอยู่บนถนน เพื่อไปถึงออฟฟิศ หรือแม้แต่ไม่อยากให้วันจันทร์มาถึง
คำถามที่ผุดขึ้นมาในใจจึงอาจไม่ใช่ “วันนี้มีงานอะไรที่ต้องทำ” แต่เป็น “เราทำงานไปเพื่ออะไร” และ “ความฝันจริง ๆ ของเราคืออะไรกันแน่”
เขต – เขตต์ตะวัน จันทนกูล เป็นหนึ่งในคนที่พบเจอกับคำถามเหล่านี้ เมื่องานที่ทำอยู่ไม่มีความหมาย การลาออกมาสร้างสรรค์ละครเวทีก็อาจเป็นช่องทางหนึ่งที่ช่วยให้เขาได้ทำในสิ่งที่รัก และได้สื่อสารประเด็นที่เขาพบเจอจากการทำงาน
The Active ชวนพูดคุยกับ เขต – เขตต์ตะวัน จันทนกูล ในฐานะผู้กำกับ ผู้ประพันธ์บทเพลง และผู้เขียนบท และ โปเต้ – อิทธิกร มะลิแก้ว โปรดิวเซอร์ ละครเวที Elephant in the Room จากคณะละคร Yolo Bro Theatre ที่ทำละครมิวสิคคัล ชวนตั้งคำถามถึงความฝันและความหมายของชีวิต และรอบนี้มีฉากหลังเป็น โลกการทำงาน โลกที่เราต่างใช้เวลาค่อนชีวิตอยู่กับมันจนกว่าเราจะเกษียณ หรือตายจากโลกที่หลายคนมองว่าสุดแสนจะไร้สาระ โลกภายใต้ระบอบทุนนิยมที่ยากจะล่มสลายแม้ในวันที่ตัวเราไม่อยู่แล้วก็ตาม

Elephant in the Room : ช้างตายทั้งตัว เอาอะไรมาปิดให้มิด ?
สำนวน Elephant in the Room หมายถึง สิ่งที่ทุกคนรู้ว่าเกิดขึ้น มีอยู่ แต่เลือกที่จะมองไม่เห็นหรือเลือกที่จะไม่พูดถึงมัน
เช่นเดียวกันกับบริษัท Namsommut (นามสมมติ) แห่งนี้ เมื่อเด็กฝึกงาน (Intern) คนหนึ่งเริ่มงานด้วยไฟทำงานเต็มเปี่ยม หมายมั่นปั้นมือว่าสถานที่แห่งนี้จะสอนสั่งให้เขาเติบโตไปได้ เป็นก้าวแรกของการเรียนรู้เพื่อให้มีชีวิตที่มั่นคงในภายภาคหน้า วันแรกที่มาถึงออฟฟิศ เขากลับพบซากช้างนอนตายอยู่กลางออฟฟิศ แต่ไม่ว่าจะตกใจแค่ไหน ก็ดูเหมือนกันว่าไม่มีใครเห็นหรือสนใจกับสิ่งที่เขาบอก เขาจึงต้องก้มหน้าก้มตาทำงานต่อไป

(ภาพ : ปฐมพงศ์ เพชรชูช่วย)
ละครเวทีเรื่องนี้ พาไปสำรวจเรื่องราวสุดวุ่นวาย และตัวละครสุดวายป่วง ทั้งผู้จัดการ (Manager) และเลขาฯ (Secretary) ที่ดูจะมีความสัมพันธ์ทางเพศกันโดยที่เลขาฯ อาจไม่ยินยอม รุ่นพี่ (Senior) แสนกะล่อนที่ให้เด็กฝึกงานปรนนิบัติคอยรับใช้ทำในสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกับงาน รุ่นน้อง (Junior) ที่ทำงานเสริมในที่ทำงานตลอดเวลา
เนื้อเรื่องยังแสดงถึงความเป็นไปของออฟฟิศแห่งนี้ที่ดูไม่ชอบมาพากลตลอดเวลา อาทิ สภาพการทำงานที่ไม่เอื้อต่อการเรียนรู้และเติบโต, การถูกคุกคามทางเพศ, การถูกกดทับของผู้หญิงในออฟฟิศ, ทุนนิยมที่มองคนเป็นเครื่องจักรทำงาน หรือประเด็นเรื่องพนักงานบางส่วนต้องย้ายมาทำงานในเมืองใหญ่ เพราะต่างจังหวัดที่พวกเขาอยู่ไม่มีงานรองรับ

(ภาพ : ปฐมพงศ์ เพชรชูช่วย)
นานวันเข้า เด็กฝึกงานก็เริ่มหมดไฟและตั้งคำถามถึงสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ทั้งภาระที่หนักหนา งานที่ปฏิเสธไม่ได้ ชีวิตที่เป็นอยู่ ความฝันที่เคยมี ภาพอนาคตที่จะมี และความหมายของสิ่งที่ทำ
แม้หลายคำถามอาจไม่ได้รับคำตอบ แต่สิ่งหนึ่งที่เขารับรู้และตระหนักได้ก็คือ เขาไม่ควรอยู่อีกต่อไปแล้ว

(ภาพ : ปฐมพงศ์ เพชรชูช่วย)
ทุนนิยม : ที่มาของปัญหาช้าง ๆ ในที่ทำงาน
เช่นเดียวกันกับสำนวน Elephant in the Room ที่ เขต อธิบายว่า ซากหัวช้างขนาดใหญ่ที่วางไว้กลางห้องตั้งแต่ต้นจนจบ สื่อถึงปัญหาที่ทุกคนรับรู้ว่ามีอยู่ ที่ควรถูกแก้ไข แต่ทุกคนทำเป็นว่าไม่มีอยู่จริง ซึ่งระหว่างละคร เราจะได้เห็นเรื่องราวปัญหามากมายที่เกิดขึ้นวนเวียนอยู่รอบหัวช้างในออฟฟิศเล็ก ๆ แห่งนี้
ข้อใหญ่สุดที่ผู้กำกับหวังให้ละครบอกเล่าคือเรื่องของ ทุนนิยม ที่ทำให้เราตั้งคำถามว่า ทำไม ? เราต้องทำงานหนัก, เราทำงานหาเงินไปเพื่ออะไร ? เราดิ้นรนไปเพื่ออะไร ? เพราะสุดท้ายคนที่ได้ประโยชน์ก็คือนายทุนตัวใหญ่
อย่างไรก็ตาม เขต ระบุว่า ละครไม่ได้มุ่งเป้าไปที่ทุนนิยมโดยตรง แต่เลือกใช้วิธีแตะปัญหาเล็ก ๆ น้อย ๆ ทุกอัน ไม่ว่าจะเป็น ความสัมพันธ์เชิงอำนาจที่ไม่เท่ากัน (Power Dynamic), ความอาวุโส (Seniority), การคุกคามทางเพศ (Sexual Harassment), การทำงานเสริม, ทัศนคติในการทำงาน (Mindset), คนต่างจังหวัด ที่ไม่มีงานทำในบ้านตัวเอง, การเป็นผู้หญิงในที่ทำงาน, การทำงานในฝัน, รวมถึงปัญหาสุขภาพจิต เพื่อให้เห็นภาพรวมของปัญหาที่เกิดขึ้นจากระบอบทุนนิยม
ผู้กำกับ ยังยกตัวอย่างตัวละคร เลขาฯ ซึ่งในเรื่องถูกคุกคามทางเพศ ทั้งการโดนลวนลามทางร่างกายโดยตรงจากผู้จัดการ ในละครเราจะเห็นผู้จัดการเรียกเลขาฯ พยักหน้า และกวักนิ้วเรียกให้เธอเดินเข้ามาในห้องทำงานส่วนตัว ซึ่งเธอก็ไม่อาจปฏิเสธได้ หลังจากนั้นเธอก็จะออกจากห้องด้วยสภาพหัวกระเซิง เสื้อผ้าหลุดลุ่ย
ในละครเรายังเห็น การคุกคามทางวาจา จากเพื่อนร่วมงานที่เล่นมุกตลกต่อสิ่งที่เธอโดน รวมไปถึงการถูกเพิกเฉย และอาจไม่ใช่แค่เพื่อนร่วมงานในละคร แม้แต่คนดูก็อาจจะตลกกับเรื่องราวสองแง่สองง่ามข้างต้นเช่นกัน ซึ่งความตลกและทะลึ่งนี้ เป็นสิ่งที่ผู้เขียนบทจงใจให้ดูตลกในตอนแรก ก่อนจะค่อย ๆ ให้คนดูรับรู้ว่า ปัญหาเรื่องนี้ใหญ่กว่าที่คิด และไม่ใช่เรื่องตลกอย่างที่เราเห็น

(ภาพ : ปฐมพงศ์ เพชรชูช่วย)
“เรานำเสนอในช่วงแรก ๆ ของละคร เราพยายามเขียนให้มันเป็นมุกตลก เป็นมุกทะลึ่ง ให้คนดูขำกับมุกที่มันต่อเนื่อง ซึ่งตลอดทั้งเรื่อง ตัวเลขาฯ จะโดนบอส (ผู้จัดการ) เรียก คุณ แล้วก็เดินเข้าหายไปในห้อง แล้วพอเดินออกมาก็จะเสื้อผ้าหลุดลุ่ยอยู่ทั้งเรื่อง จากตอนแรกที่ดูเหมือนเป็นมุก เราทำให้มันค่อย ๆ ไม่ขำขึ้นเรื่อย ๆ จากการที่โดนแบบนี้ จนในตอนสุดท้ายก็เลือกให้เลขาระเบิดความในใจออกมาทั้งหมด”
เขต ขยายความ
การสะท้อนเรื่องราวของเลขาฯ มาจากประสบการณ์ตรง ที่เขตเคยเห็นพี่ผู้หญิงที่ในที่ทำงานโดนพูดจาแบบนี้ใส่ และจากการพูดคุยกับเพื่อนผู้หญิงเพิ่มเติม เพื่อทำความเข้าใจว่า ทำไม ? บางคนถึงยอมโดน ทำไม ? ถึงพูดออกมาไม่ได้ ทำไม ? บางคนถึงขำไปกับมัน คนเหล่านั้นคิดอะไรอยู่ เกิดอะไรขึ้นบ้าง นำมาสู่การเลือกนำเสนอผ่านตัวละคร เลขาฯ นี้
อีกตัวละคร คือ รุ่นน้อง หรือ Junior ที่ เขต บอกว่า รู้สึกเชื่อมโยงและเขียนบทตัวละครนี้ได้ง่ายมาก เนื่องจากตัวละครนี้เป็นภาพตัวแทนของคนรุ่นใหม่ หรือ Gen Z ในที่ทำงาน แม้ว่าภาพจำของเหล่า Gen Z ในออฟฟิศ คือ เด็กใหม่ที่ไม่สู้งาน ไม่อดทน อยู่ไม่นาน เอะอะก็จะลาออกท่าเดียว
แต่ผู้เขียนบทพยายามนำเสนอในมุมของคนรุ่นใหม่ที่ พร้อมทำงานหนัก อุทิศร่างกายให้กับงาน และมีอะไรให้ทำก็พร้อมทำ แต่ไม่ว่าจะทำงานหนักขนาดไหน เงินเดือนที่ได้ก็ไม่พอต่อการใช้ชีวิต เลยต้องหางานเสริมอื่น ๆ เพิ่มเติม และทำทุกอย่างพร้อมกันในออฟฟิศ ไม่ว่าจะเป็นทำงานออฟฟิศ, สอนพิเศษ, ไลฟ์ TikTok, ขายกล้วยแขก รวมถึงเป็นสายด่วนสุขภาพจิตไปด้วย
สถานการณ์ในละครจึงค่อนข้างวุ่นวาย และชวนหัวไปพร้อมกัน ที่ตัวละครนี้ต้องสลับบทบาทไปมา เดี๋ยวสอนพิเศษ เดี๋ยวไลฟ์ เดี๋ยวรับสาย เดี๋ยววกกลับมาสอนพิเศษอีกที
“ในสมัยนี้ ไม่ใช่แค่เด็ก Gen Z แต่คนที่ทำงานมานานแล้ว บางคนมีงานหลักอย่างเดียวไม่พอ และต้องหางานเสริมเพิ่ม เพื่อให้ตัวเองสามารถใช้ชีวิตได้ในสังคมนี้ ซึ่งความเป็นจริงแล้วมันไม่ควรจะเป็นอย่างนั้นรึเปล่า เพราะว่าการที่เราเสียเวลาอยู่ในออฟฟิศทั้งวัน ตั้งแต่ 9 โมงเช้าถึง 5 โมงเย็น มันควรจะเพียงพอแล้วกับการที่เราจะใช้ชีวิต”
เขต อธิบาย

(ภาพ : ปฐมพงศ์ เพชรชูช่วย)
แม้ในชีวิตจริงเราอาจจะไม่ได้ทำงานเยอะและวุ่นวายเท่าที่รุ่นน้องทำ และออกจะตลกที่ต้องทำทุกอย่างพร้อม ๆ กันแบบในเรื่อง แต่เขตสะท้อนว่า การนำเสนอบทแบบนี้เพื่อให้ทุกคนเห็นว่าการที่เราต้องมีหลายงานมันค่อนข้างจะ Absurd (ไร้สาระ) และ แม้ว่าระหว่างดูเราอาจขำกับมัน แต่ในความเป็นจริงเราอาจจะไม่ได้ต่างจากตัวละครเลยก็ได้
“ตัวละครมันทำหลายอย่างพร้อมกันมาก ทุกคนขำกับมัน รู้สึกว่ามันไร้สาระมาก แต่ใครจะรู้ว่าคุณกลับบ้านไป คุณอาจจะพึ่งรู้ตัวก็ได้ว่า เออจริง ๆ แล้ว พอฉันกลับจากงานหลักแล้ว ฉันกลับมานั่งไลฟ์ TikTok นี่น่า ฉันกลับมาแต่งนิยายต่อนี่น่า เพื่อให้ฉันมีเงินเพิ่มอีกสักนิดนึง จริง ๆ แล้วชีวิตเราไม่ต่างจากละครเรื่องนี้เลย”
เขต สะท้อนความจริง
‘ช้าง’ ที่(เลือก)มองไม่เห็น : ทำไม และส่งผลอย่างไร ?
แม้ในละครจะเห็น ช้างตาย อยู่กลางห้องทำงาน และเห็น ปัญหา อยู่โต้ง ๆ แต่กลับไม่มีใครเห็นหรือพูดถึงมัน มีเพียงเด็กฝึกงานคนเดียวเท่านั้นที่พูดถึงตั้งแต่ต้น แต่กลับไม่ได้รับการตอบรับจากเพื่อนร่วมงาน เมื่อไม่มีใครสนใจ ท้ายที่สุดเขาก็เลิกพูด ชินชา และทำเป็นว่ามองไม่เห็น ทำเป็นว่าสิ่งเหล่านั้นไม่มีอยู่จริง
ไม่ใช่แค่ในละคร แต่ในชีวิตจริงเราหลายคนก็อาจจะเป็นเหมือนเด็กฝึกงานหรือเพื่อนร่วมงานในออฟฟิศนี้ โปเต้ ย้ำว่า แท้จริงแล้วเราอาจมองเห็นปัญหามาอยู่ตลอด แต่อาจมีหลายอย่างที่ทำให้เราไม่สามารถพูดได้
“จริง ๆ มันไม่ใช่มองไม่เห็นหรอก มันมองเห็นแต่มันพูดไม่ได้ และสิ่งที่ทำให้พูดไม่ได้มันมีหลายอย่างมาก อาจจะต้องอิงถึงระบบ ความเป็นกรอบ บริบท วัฒนธรรม ของประเทศไทย ที่มันมีทั้งระบบ Hierarchy (ลำดับชั้น), Power Dynamic, Seniority (ความอาวุโส) และระบบ Work Level (ระดับการทำงาน) สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ทำให้เกิดความไม่กล้า เกิดความต้องอ้อมค้อมกับปัญหาต่าง ๆ เหล่านี้
โปเต้ ระบุ
ยิ่งเรื่องที่เห็นชัดเจนคือเรื่อง Power Dynamic ที่หลายครั้งเราเห็น คนที่มีอำนาจมากกว่า มีสิทธิ์มีเสียงมากกว่า เลยทำให้เสียงของคนตัวเล็กตัวน้อยถูกคุกคามหรือถูกทำให้หายไป หลาย ๆ ครั้งก็เลือกที่จะไม่พูดออกมา เพราะกลัวว่าจะส่งผลกระทบต่อชีวิตการทำงาน ไม่ว่าจะโดนกลั่นแกล้ง เพ่งเล็ง ย้ายทีม ลดเงินเดือน หรือไล่ออกตามมา
การทำเป็นมองไม่เห็นและไม่สามารถพูดถึงได้ อาจส่งผลกระทบต่อมิติอื่น ๆ นอกเหนือจากชีวิตการทำงาน โปรดิวเซอร์ละครเวที ยังเปรียบเทียบด้วยว่า “เหมือนระเบิดเวลาที่ถูกสะสมมาเรื่อย ๆ” ยิ่งไม่เห็นหรือไม่พูดมันก็จะทับถมขึ้นไปเรื่อย ๆ จนวันหนึ่งมันอาจจะระเบิดออกมา เกิดเป็นความเสียหายทั้งต่อตัวเอง เช่น เริ่มสงสัยในตัวเอง (Self-Doubt) จนอาจนำไปสู่ภาวะแตกสลายทางจิตใจ (Mental Breakdown) จนไม่สามารถกลับไปทำสิ่งนั้นได้อีก ทั้งที่ก่อนหน้านั้นอาจจะชอบหรือรักสิ่งนั้นมาก ๆ รวมไปถึงอาจสร้างความเสียหายต่อสังคมตามมาได้เช่นกัน (เหมือนที่ตอนท้าย ๆ ตัวละครระเบิดอารมณ์ออกมา เพราะทนไม่ไหวกับสิ่งที่ตัวเองเผชิญ)
เพราะโลกการทำงานมันไร้สาระ ละครเลยไร้สาระตาม
ในฐานะผู้เขียนบท เขต เป็นคนที่หลงใหลในการทำละครเวที และเคยเป็นหนึ่งในฟันเฟืองของโลกทุนนิยมอันกว้างใหญ่ ก่อนจะพบว่างานที่ทำอยู่ประจำไม่ตอบโจทย์ รู้สึกว่าไม่ได้ให้คุณค่าชีวิต เขาจึงตัดสินใจลาออกมาทำละครเวทีเพื่อเติมเต็มความฝันในชีวิต ก่อนจะหยิบเอาเรื่องราวที่เคยเจอในโลกของการทำงานมาเขียนและสรรค์สร้างขึ้นมาเป็นละครเรื่องนี้ เพื่อสื่อสารประเด็นต่าง ๆ ที่เขาพบเจอในสังคมการทำงาน
ละครเรื่องนี้โปรยว่านำเสนอแบบ Absurd (ละครแอบเสิร์ด บอกเล่า ถึงความไร้สาระและความไร้เหตุผลในชีวิต), Musical (ละครมิวสิคคัล ใช้เพลงเป็นองค์ประกอบในการเล่าเรื่อง) และ Brecht (ละครเบรชท์ ดึงคนดูรับรู้เรื่องราวปัญหาและขบคิดตาม)
เขต ยังอธิบายว่า ตั้งต้นไอเดียอยากทำละครแบบ Absurd เพราะต้องการพูดถึงโลกทุนนิยมและโลกการทำงานว่า มันเป็นสิ่งที่ไร้สาระและไม่มีความหมาย เขาจึงตั้งคำถามว่า “ทำไม ? คนเราต้องตื่นเช้า ออกไปทำอะไรก็ไม่รู้ นั่งพิมพ์ตัวเลขอะไรก็ไม่รู้ ที่ไม่ได้มีผลอะไรกับชีวิตเราเลยด้วยซ้ำ แต่ว่าเราก็ทำให้มันมีผลกับชีวิตของเรา ต้องดิ้นรน เติบโตในหน้าที่การเงิน” สิ่งเหล่านี้ล้วนทำให้การทำงานดูไร้สาระ ละครเลยต้องสะท้อนถึงความไร้สาระนั้นตาม ผ่านรูปแบบ Absurd
“ทั้งที่ความเป็นจริงแล้ว ชีวิตเราไม่ได้ขึ้นอยู่กับเจ้านายจะโกรธไหมขนาดนั้น แค่เรากินอิ่ม นอนหลับ มีความสุข ก็น่าจะเพียงพอกับการใช้ชีวิต แต่การที่เราต้องหาเงิน ตื่นเช้าไปทำงาน เรารู้สึกว่าเป็นสิ่งที่ประหลาดมาก ไร้สาระมาก ๆ กับโลกของทุนนิยม เราก็เลยเอาละคร Absurd มาเป็นตัวตั้ง”
เขต อธิบายเพิ่มเติม
ประกอบกับการที่ เขต อยากทำ Musical โดยใช้เพลงเป็นตัวช่วยเล่าเรื่อง อย่างไรก็ตามความเป็นละคร Absurd และ Musical กลับไม่ค่อยไปด้วยกันได้เท่าไร เนื่องจากละคร Musical ใช้เพลงในการเดินเรื่องไปข้างหน้า เช่น เป็นตัวไขปริศนา ช่วยเปิดและคลายปม ช่วยกระเทาะจิตใจตัวละครไปเรื่อย ๆ ในขณะที่ละคร Absurd เป็นละครที่เนื้อเรื่องไม่ได้พาตัวละครไปไหน ตัวละครอาจไม่ได้ตระหนักรู้ รวมถึงไม่สามารถออกจากปัญหาที่เผชิญอยู่ได้ในท้ายที่สุด
ระหว่างทางที่พยายามเอาละครแบบ Absurd และ Musical มาหลอมรวมกัน เขต เล่าว่า ตัวเขาได้เจอละครแบบ Brecht ซึ่งเป็นละครที่พยายามเตือนคนดูอยู่ตลอดเวลาว่า คนดูกำลังดูละครอยู่ ผ่านวิธีการต่าง ๆ เช่น อยู่ดี ๆ ผู้จัดการก็ชวนคนดูปรบมือตามจังหวะเพลง หรืออย่างเลขาฯ ที่ชวนคนดูร้องเพลงตาม หรือบางครั้งต้องละครทุกตัวก็จ้องมาที่คนดูพร้อมกัน
ในขณะที่ละครประเภทอื่น ๆ ที่อาจเน้นให้คนดูมีอารมณ์ร่วมกับเรื่องราว อินกับการแสดงของนักแสดง เช่น หากเป็นเรื่องราวเศร้าก็อาจร้องไห้ตาม ทำให้คนดูได้รู้สึกว่าระบายอารมณ์ตาม แต่ละครแบบ Brecht แตกต่างออกไป โดยเน้นให้คนดูเชื่อมโยงกับประเด็นที่ต้องการสื่อสารในเรื่อง ได้กลับไปมองปัญหาที่ตัวเองเผชิญอยู่ตามที่เรื่องได้พยายามนำเสนอ
เขต ยังพบด้วยว่า ละครแบบ Brecht ก็ใช้เพลง Musical ประกอบการแสดงในเรื่องได้เช่นกัน แต่ไม่ใช่เพื่อเดินเรื่องไปข้างหน้าเหมือนละคร Musical แต่ใช่เพื่อหยุดอารมณ์คนดู และตัดคนดูออกจากละคร ให้คนดูรับรู้ว่าสิ่งที่ดูอยู่มันไม่จริง เพราะอยู่ดี ๆ ก็ร้องเพลงออกมาเลย ในละครเราจึงเห็นนเรื่องราวสถานการณ์กำลังดำเนินไปอย่างเข้มข้น อยู่ดี ๆ ก็ตัดอารมณ์ แล้วตัวละครก็ร้องเพลงออกมาแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
“ก็เลยออกมาเป็นละครที่ใช้ทั้งเทคนิค Absurd, Musical และ Brecht มาผสมรวมกัน เพื่อต้องการบอกว่า ในความเป็นจริงแล้วเนี่ย โลกข้างนอกที่เราเผชิญอยู่ มันก็ไร้สาระเหมือนละครที่เราดูอยู่ และบางทีเราก็อาจจะหาทางออกไม่ได้ เราอาจจะ move on อาจจะแก้ไขปัญหานี้ก็ยังไม่ได้ เหมือนในละคร ที่มัน Absurd มาก ๆ”
เขต สรุป
บทส่งท้าย : ช้าง ช้าง ช้าง เราเคยเห็นช้าง(บ้าง)รึเปล่า ?
การทำให้คนดูลองได้หยุดคิด สำรวจชีวิตตัวเอง ทั้งชีวิตส่วนตัวและชีวิตการทำงาน เป็นหนึ่งในความตั้งใจที่ผู้สร้างละครเวที Elephant in the room ทั้ง 2 คู่ อยากให้เกิดขึ้นหลังจากผู้ชมได้ดูละครเรื่องนี้
ในมุมมองของผู้กำกับ ก็อยากให้ผู้ชมกลับไปตั้งคำถามกับตัวเองว่า ที่ละครเรื่องนี้ที่มันตลก ไร้สาระ บ้าบอ แปลกประหลาดไปหมด มีตรงไหนที่ตอนนี้เรากำลังเป็นแบบนั้นอยู่รึเปล่า ได้มองกลับไปย้อนดูว่า ช้าง ในออฟฟิศของเราคืออะไร ? และมีอะไร ? ที่ต้องแก้ไขอยู่บ้าง
ในฐานะประชาชนทั่วไป อาจสร้างการเปลี่ยนแปลงในเชิงโครงสร้างหรือเชิงระบบได้ยาก แต่ผู้กำกับ ก็มองว่า อย่างน้อยถ้าเราเห็นปัญหาหรือ ช้างในออฟฟิศแล้ว อาจนำไปสู่การชี้ให้เห็นปัญหา หรือพยายามหาทางแก้ไข เพื่อให้ชีวิตการทำงานของเราที่ต้องทนอยู่ใต้ระบอบทุนนิยมต้องทุกข์ทรมานน้อยลงก็ยังดี
ทั้งยังย้ำเตือนถึง การให้ความสำคัญกับตัวเองมาก ๆ เพราะว่าทุนนิยมไม่ได้มีจิตใจ ด้วยโครงสร้างของบริษัทสามารถหาคนอื่นมาแทนเราได้ตลอดเวลา ในขณะที่ตัวเราเอง ทั้งร่างกาย จิตใจ ไม่สามารถหาอะไรมาแทนที่ได้ แน่นอนว่าการมีจิตใจเป็นเรื่องที่ดี เขต เล่าย้อนกลับไปถึงตอนตัดสินใจลาออกว่า ตอนนั้นเป็นการตัดสินใจที่ยากมาก เพราะเป็นห่วงหลายเรื่อง ทั้งออฟฟิศ หัวหน้า เพื่อนร่วมงาน ลูกค้า แต่ท้ายที่สุดแล้ว บริษัทก็สามารถดำเนินต่อไปได้โดยที่ไม่มีเรา
“สุดท้ายแล้ว บริษัทมันก็ดำเนินต่อไปได้ เพราะมันมีทุนนิยม มันมีเงิน มันมีอะไรหมุนอยู่ตลอดเวลา แต่ว่าตัวเราเอง เราต้องให้ priority (ความสำคัญ) กับตัวเองให้เยอะ ๆ และก็รักตัวเองให้มาก ๆ มากพอที่จะรู้ว่าอะไรควรกับการทุ่มเทของเรา และอะไรไม่ควร”
เขต ย้ำเตือน
ผู้กำกับ ยังทิ้งท้ายว่า ถ้ายังมองไม่เห็นช้าง ก็ขอให้ช่วยกันหาช้างตัวนั้นให้เจอ ทำให้พื้นที่การทำงานเป็น พื้นที่ปลอดภัย และเป็นพื้นที่ที่ไม่ทำให้เราสูญเสียตัวตน สุขภาพกาย และสุขภาพจิตไปมากกว่านี้
เช่นเดียวกับ โปเต้ ที่มองว่า แม้ละครสุดแสนจะ Absurd เรื่องนี้อาจเป็นเหมือนกระจกที่บิดเบือนความจริงให้มันใหญ่ขึ้นและเหนือจริง แต่ถ้าย้อนกลับไปคิดตาม เราอาจจะมีช้างที่เราไม่กล้าพูดถึงเช่นกัน โปรดิวเซอร์ จึงเสนอให้เริ่มต้นจากการมองให้เห็น หาให้เจอ แล้วลองบอกเพื่อน คนรู้จัก สังคม ก็อาจกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ตามมาก็ได้
“ถ้าคุณรู้ว่าช้างคืออะไร ขอให้คุณก้าวข้ามช้างตัวนั้นได้ แต่ถ้าคุณยังไม่รู้ ขอให้คุณหาช้างตัวนั้นให้เจอ… อย่างน้อยการที่เราเห็นช้างในวันนี้ มันอาจเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ได้”
โปเต้ ทิ้งท้าย
ละครปิดจบด้วยการบรรเลงเพลงเปิดซ้ำอีกครั้ง (Reprise) แต่ครั้งนี้ไม่ใช่ด้วยท่วงทำนองที่สนุกสนานเหมือนตอนต้นที่ชวนเราพร้อมอุทิศตนเพื่องานในเช้าวันใหม่ แต่ด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย เซื่องซึม และเชื่องช้า ก่อนจะปิดม่านด้วยเหล่ามนุษย์เงินเดือนที่ต้องทำงานต่อในฐานะเครื่องจักรของบริษัท และต้องจำยอมภายใต้ระบอบทุนนิยมที่กัดกินชีวิตเราทุกคน
ด้วยประโยคที่ว่า “เราต้องทำงานเพราะเงิน”
งาน งาน งาน เราทำงานเราได้เงิน
– เพลงปิด (Reprise), ละคร Elephant in the Room –
เงิน เงิน เงิน เราทำงานเลยได้มา
ทุ่มเทอุทิศร่างกาย ทุ่มเทให้เราได้เงิน
เราต้องทำงานเพราะเงิน

