Elephant in the Room : ออฟฟิศ ทุนนิยม ปัญหา และคำถาม “เราทำงาน(หนัก)ไปทำไม”

งาน งาน งาน เราทำงานเราได้เงิน 
เงิน เงิน เงิน เราทำงานเลยได้มา
ทุ่มเทอุทิศร่างกาย ทุ่มเทให้เราได้เงิน
เราต้องทำงานเพราะเงิน

– เพลงเปิด, ละคร Elephant in the Room

ทำนองเพลงที่สนุกสนานรื่นเริง ตัวละครหนุ่มสาวพนักงานออฟฟิศออกมาร้องรำทำเพลง เชื้อเชิญเราเข้าสู่การทำงานในเช้าวันใหม่อันแสนสดใส พร้อมอุทิศร่างกายเพื่องานที่รัก แลกกับการได้มีเงินมาต่อเติมชีวิต ช่างเป็นสิ่งดี ๆ ที่เราได้มีงาน มีเงิน และมีความสุข

นี่คือฉากเปิดของ ละครเวที Elephant in the Room ทว่าโลกแห่งความเป็นจริงอาจไม่ได้รื่นเริงเหมือนในละคร ไม่ใช่ทุกคนที่ตื่นเช้ามาด้วยความสดใส หลายครั้งเราอาจตื่นนอนด้วยความรู้สึกไม่อยากลุกจากเตียง ไม่อยากเบียดเสียดผู้คนบนรถไฟฟ้า รถติดนานอยู่บนถนน เพื่อไปถึงออฟฟิศ หรือแม้แต่ไม่อยากให้วันจันทร์มาถึง

คำถามที่ผุดขึ้นมาในใจจึงอาจไม่ใช่ “วันนี้มีงานอะไรที่ต้องทำ” แต่เป็น “เราทำงานไปเพื่ออะไร” และ “ความฝันจริง ๆ ของเราคืออะไรกันแน่” 

เขต – เขตต์ตะวัน จันทนกูล เป็นหนึ่งในคนที่พบเจอกับคำถามเหล่านี้ เมื่องานที่ทำอยู่ไม่มีความหมาย การลาออกมาสร้างสรรค์ละครเวทีก็อาจเป็นช่องทางหนึ่งที่ช่วยให้เขาได้ทำในสิ่งที่รัก และได้สื่อสารประเด็นที่เขาพบเจอจากการทำงาน

The Active ชวนพูดคุยกับ เขต – เขตต์ตะวัน จันทนกูล ในฐานะผู้กำกับ ผู้ประพันธ์บทเพลง และผู้เขียนบท และ โปเต้ – อิทธิกร มะลิแก้ว โปรดิวเซอร์ ละครเวที Elephant in the Room จากคณะละคร Yolo Bro Theatre ที่ทำละครมิวสิคคัล ชวนตั้งคำถามถึงความฝันและความหมายของชีวิต และรอบนี้มีฉากหลังเป็น โลกการทำงาน โลกที่เราต่างใช้เวลาค่อนชีวิตอยู่กับมันจนกว่าเราจะเกษียณ หรือตายจากโลกที่หลายคนมองว่าสุดแสนจะไร้สาระ โลกภายใต้ระบอบทุนนิยมที่ยากจะล่มสลายแม้ในวันที่ตัวเราไม่อยู่แล้วก็ตาม

โปเต้ – อิทธิกร มะลิแก้ว (ซ้าย) โปรดิวเซอร์ และ เขต – เขตต์ตะวัน จันทนกูล (ขวา) ผู้กำกับ ประพันธ์บทเพลง และเขียนบท ละครเวที Elephant in the room

Elephant in the Room : ช้างตายทั้งตัว เอาอะไรมาปิดให้มิด ?

สำนวน Elephant in the Room หมายถึง สิ่งที่ทุกคนรู้ว่าเกิดขึ้น มีอยู่ แต่เลือกที่จะมองไม่เห็นหรือเลือกที่จะไม่พูดถึงมัน

เช่นเดียวกันกับบริษัท Namsommut (นามสมมติ) แห่งนี้ เมื่อเด็กฝึกงาน (Intern) คนหนึ่งเริ่มงานด้วยไฟทำงานเต็มเปี่ยม หมายมั่นปั้นมือว่าสถานที่แห่งนี้จะสอนสั่งให้เขาเติบโตไปได้ เป็นก้าวแรกของการเรียนรู้เพื่อให้มีชีวิตที่มั่นคงในภายภาคหน้า วันแรกที่มาถึงออฟฟิศ เขากลับพบซากช้างนอนตายอยู่กลางออฟฟิศ แต่ไม่ว่าจะตกใจแค่ไหน ก็ดูเหมือนกันว่าไม่มีใครเห็นหรือสนใจกับสิ่งที่เขาบอก เขาจึงต้องก้มหน้าก้มตาทำงานต่อไป

ซากช้างขนาดใหญ่ที่นอนตายอยู่กลางห้อง แต่เหมือนว่าจะมีแค่เด็กฝึกงานที่สังเกตเห็น
(ภาพ : ปฐมพงศ์ เพชรชูช่วย)

ละครเวทีเรื่องนี้ พาไปสำรวจเรื่องราวสุดวุ่นวาย และตัวละครสุดวายป่วง ทั้งผู้จัดการ (Manager) และเลขาฯ (Secretary) ที่ดูจะมีความสัมพันธ์ทางเพศกันโดยที่เลขาฯ อาจไม่ยินยอม รุ่นพี่ (Senior) แสนกะล่อนที่ให้เด็กฝึกงานปรนนิบัติคอยรับใช้ทำในสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกับงาน รุ่นน้อง (Junior) ที่ทำงานเสริมในที่ทำงานตลอดเวลา

เนื้อเรื่องยังแสดงถึงความเป็นไปของออฟฟิศแห่งนี้ที่ดูไม่ชอบมาพากลตลอดเวลา อาทิ สภาพการทำงานที่ไม่เอื้อต่อการเรียนรู้และเติบโต, การถูกคุกคามทางเพศ, การถูกกดทับของผู้หญิงในออฟฟิศ, ทุนนิยมที่มองคนเป็นเครื่องจักรทำงาน หรือประเด็นเรื่องพนักงานบางส่วนต้องย้ายมาทำงานในเมืองใหญ่ เพราะต่างจังหวัดที่พวกเขาอยู่ไม่มีงานรองรับ

“ทุกคนที่นี่ต่างก็เป็นฟันเฟืองที่ช่วยกันหมุนให้เครื่องจักรของพวกเราเคลื่อนที่ไปข้างหน้าได้ ถ้าขาดใครคนใดคนนึงไป .. เราก็หาฟันเฟืองอันใหม่สิ เราจะยอมให้เครื่องจักรหยุดรอฟันเฟืองตัวเดียวไม่ได้” ผู้จัดการ กล่าว
(ภาพ : ปฐมพงศ์ เพชรชูช่วย)

นานวันเข้า เด็กฝึกงานก็เริ่มหมดไฟและตั้งคำถามถึงสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ทั้งภาระที่หนักหนา งานที่ปฏิเสธไม่ได้ ชีวิตที่เป็นอยู่ ความฝันที่เคยมี ภาพอนาคตที่จะมี และความหมายของสิ่งที่ทำ

แม้หลายคำถามอาจไม่ได้รับคำตอบ แต่สิ่งหนึ่งที่เขารับรู้และตระหนักได้ก็คือ เขาไม่ควรอยู่อีกต่อไปแล้ว

“ทำไมงานมันถึงกลายเป็นความฝันกันได้ครับ ความฝันมันควรจะเป็นอะไรที่สนุกสนาน ฝันว่าบินได้ ฝันว่ามีพลังพิเศษ ฝันถึงสถานที่อันเหนือจริง… นี่ขนาดในฝันของผม งานและเงินยังตามมาหลอกหลอนผมได้เลยเหรอครับ” เด็กฝึกงาน กล่าว
(ภาพ : ปฐมพงศ์ เพชรชูช่วย)

ทุนนิยม : ที่มาของปัญหาช้าง ๆ ในที่ทำงาน

เช่นเดียวกันกับสำนวน Elephant in the Room ที่ เขต อธิบายว่า ซากหัวช้างขนาดใหญ่ที่วางไว้กลางห้องตั้งแต่ต้นจนจบ สื่อถึงปัญหาที่ทุกคนรับรู้ว่ามีอยู่ ที่ควรถูกแก้ไข แต่ทุกคนทำเป็นว่าไม่มีอยู่จริง ซึ่งระหว่างละคร เราจะได้เห็นเรื่องราวปัญหามากมายที่เกิดขึ้นวนเวียนอยู่รอบหัวช้างในออฟฟิศเล็ก ๆ แห่งนี้ 

ข้อใหญ่สุดที่ผู้กำกับหวังให้ละครบอกเล่าคือเรื่องของ ทุนนิยม ที่ทำให้เราตั้งคำถามว่า ทำไม ? เราต้องทำงานหนัก, เราทำงานหาเงินไปเพื่ออะไร ? เราดิ้นรนไปเพื่ออะไร ? เพราะสุดท้ายคนที่ได้ประโยชน์ก็คือนายทุนตัวใหญ่

อย่างไรก็ตาม เขต ระบุว่า ละครไม่ได้มุ่งเป้าไปที่ทุนนิยมโดยตรง แต่เลือกใช้วิธีแตะปัญหาเล็ก ๆ น้อย ๆ ทุกอัน ไม่ว่าจะเป็น ความสัมพันธ์เชิงอำนาจที่ไม่เท่ากัน (Power Dynamic), ความอาวุโส (Seniority), การคุกคามทางเพศ (Sexual Harassment), การทำงานเสริม, ทัศนคติในการทำงาน (Mindset), คนต่างจังหวัด ที่ไม่มีงานทำในบ้านตัวเอง, การเป็นผู้หญิงในที่ทำงาน, การทำงานในฝัน, รวมถึงปัญหาสุขภาพจิต เพื่อให้เห็นภาพรวมของปัญหาที่เกิดขึ้นจากระบอบทุนนิยม

ผู้กำกับ ยังยกตัวอย่างตัวละคร เลขาฯ ซึ่งในเรื่องถูกคุกคามทางเพศ ทั้งการโดนลวนลามทางร่างกายโดยตรงจากผู้จัดการ ในละครเราจะเห็นผู้จัดการเรียกเลขาฯ พยักหน้า และกวักนิ้วเรียกให้เธอเดินเข้ามาในห้องทำงานส่วนตัว ซึ่งเธอก็ไม่อาจปฏิเสธได้ หลังจากนั้นเธอก็จะออกจากห้องด้วยสภาพหัวกระเซิง เสื้อผ้าหลุดลุ่ย

ในละครเรายังเห็น การคุกคามทางวาจา จากเพื่อนร่วมงานที่เล่นมุกตลกต่อสิ่งที่เธอโดน รวมไปถึงการถูกเพิกเฉย และอาจไม่ใช่แค่เพื่อนร่วมงานในละคร แม้แต่คนดูก็อาจจะตลกกับเรื่องราวสองแง่สองง่ามข้างต้นเช่นกัน ซึ่งความตลกและทะลึ่งนี้ เป็นสิ่งที่ผู้เขียนบทจงใจให้ดูตลกในตอนแรก ก่อนจะค่อย ๆ ให้คนดูรับรู้ว่า ปัญหาเรื่องนี้ใหญ่กว่าที่คิด และไม่ใช่เรื่องตลกอย่างที่เราเห็น

เลขาฯ ผู้ซึ่งถูกคุกคามทางเพศ โดนลวนลามทางร่างกาย ทางวาจา โดยตรงจากผู้จัดการ แต่เพื่อนร่วมงานต่างเพิกเฉย
(ภาพ : ปฐมพงศ์ เพชรชูช่วย)

“เรานำเสนอในช่วงแรก ๆ ของละคร เราพยายามเขียนให้มันเป็นมุกตลก เป็นมุกทะลึ่ง ให้คนดูขำกับมุกที่มันต่อเนื่อง ซึ่งตลอดทั้งเรื่อง ตัวเลขาฯ จะโดนบอส (ผู้จัดการ) เรียก คุณ แล้วก็เดินเข้าหายไปในห้อง แล้วพอเดินออกมาก็จะเสื้อผ้าหลุดลุ่ยอยู่ทั้งเรื่อง จากตอนแรกที่ดูเหมือนเป็นมุก เราทำให้มันค่อย ๆ ไม่ขำขึ้นเรื่อย ๆ จากการที่โดนแบบนี้ จนในตอนสุดท้ายก็เลือกให้เลขาระเบิดความในใจออกมาทั้งหมด”

เขต ขยายความ

การสะท้อนเรื่องราวของเลขาฯ มาจากประสบการณ์ตรง ที่เขตเคยเห็นพี่ผู้หญิงที่ในที่ทำงานโดนพูดจาแบบนี้ใส่ และจากการพูดคุยกับเพื่อนผู้หญิงเพิ่มเติม เพื่อทำความเข้าใจว่า ทำไม ? บางคนถึงยอมโดน ทำไม ? ถึงพูดออกมาไม่ได้ ทำไม ? บางคนถึงขำไปกับมัน คนเหล่านั้นคิดอะไรอยู่ เกิดอะไรขึ้นบ้าง นำมาสู่การเลือกนำเสนอผ่านตัวละคร เลขาฯ นี้

อีกตัวละคร คือ รุ่นน้อง หรือ Junior ที่ เขต บอกว่า รู้สึกเชื่อมโยงและเขียนบทตัวละครนี้ได้ง่ายมาก เนื่องจากตัวละครนี้เป็นภาพตัวแทนของคนรุ่นใหม่ หรือ Gen Z ในที่ทำงาน แม้ว่าภาพจำของเหล่า Gen Z ในออฟฟิศ คือ เด็กใหม่ที่ไม่สู้งาน ไม่อดทน อยู่ไม่นาน เอะอะก็จะลาออกท่าเดียว

แต่ผู้เขียนบทพยายามนำเสนอในมุมของคนรุ่นใหม่ที่ พร้อมทำงานหนัก อุทิศร่างกายให้กับงาน และมีอะไรให้ทำก็พร้อมทำ แต่ไม่ว่าจะทำงานหนักขนาดไหน เงินเดือนที่ได้ก็ไม่พอต่อการใช้ชีวิต เลยต้องหางานเสริมอื่น ๆ เพิ่มเติม และทำทุกอย่างพร้อมกันในออฟฟิศ ไม่ว่าจะเป็นทำงานออฟฟิศ, สอนพิเศษ, ไลฟ์ TikTok, ขายกล้วยแขก รวมถึงเป็นสายด่วนสุขภาพจิตไปด้วย

สถานการณ์ในละครจึงค่อนข้างวุ่นวาย และชวนหัวไปพร้อมกัน ที่ตัวละครนี้ต้องสลับบทบาทไปมา เดี๋ยวสอนพิเศษ เดี๋ยวไลฟ์ เดี๋ยวรับสาย เดี๋ยววกกลับมาสอนพิเศษอีกที

“ในสมัยนี้ ไม่ใช่แค่เด็ก Gen Z แต่คนที่ทำงานมานานแล้ว บางคนมีงานหลักอย่างเดียวไม่พอ และต้องหางานเสริมเพิ่ม เพื่อให้ตัวเองสามารถใช้ชีวิตได้ในสังคมนี้ ซึ่งความเป็นจริงแล้วมันไม่ควรจะเป็นอย่างนั้นรึเปล่า เพราะว่าการที่เราเสียเวลาอยู่ในออฟฟิศทั้งวัน ตั้งแต่ 9 โมงเช้าถึง 5 โมงเย็น มันควรจะเพียงพอแล้วกับการที่เราจะใช้ชีวิต” 

เขต อธิบาย
รุ่นน้อง (หน้าสุด) เด็ก Gen Z ในออฟฟิศ ที่ต้องทำทุกอย่างพร้อมกันเพื่อการอยู่รอด
(ภาพ : ปฐมพงศ์ เพชรชูช่วย)

แม้ในชีวิตจริงเราอาจจะไม่ได้ทำงานเยอะและวุ่นวายเท่าที่รุ่นน้องทำ และออกจะตลกที่ต้องทำทุกอย่างพร้อม ๆ กันแบบในเรื่อง แต่เขตสะท้อนว่า การนำเสนอบทแบบนี้เพื่อให้ทุกคนเห็นว่าการที่เราต้องมีหลายงานมันค่อนข้างจะ Absurd (ไร้สาระ) และ แม้ว่าระหว่างดูเราอาจขำกับมัน แต่ในความเป็นจริงเราอาจจะไม่ได้ต่างจากตัวละครเลยก็ได้

“ตัวละครมันทำหลายอย่างพร้อมกันมาก ทุกคนขำกับมัน รู้สึกว่ามันไร้สาระมาก แต่ใครจะรู้ว่าคุณกลับบ้านไป คุณอาจจะพึ่งรู้ตัวก็ได้ว่า เออจริง ๆ แล้ว พอฉันกลับจากงานหลักแล้ว ฉันกลับมานั่งไลฟ์ TikTok นี่น่า ฉันกลับมาแต่งนิยายต่อนี่น่า เพื่อให้ฉันมีเงินเพิ่มอีกสักนิดนึง จริง ๆ แล้วชีวิตเราไม่ต่างจากละครเรื่องนี้เลย”

เขต สะท้อนความจริง

‘ช้าง’ ที่(เลือก)มองไม่เห็น : ทำไม และส่งผลอย่างไร ?

แม้ในละครจะเห็น ช้างตาย อยู่กลางห้องทำงาน และเห็น ปัญหา อยู่โต้ง ๆ แต่กลับไม่มีใครเห็นหรือพูดถึงมัน มีเพียงเด็กฝึกงานคนเดียวเท่านั้นที่พูดถึงตั้งแต่ต้น แต่กลับไม่ได้รับการตอบรับจากเพื่อนร่วมงาน เมื่อไม่มีใครสนใจ ท้ายที่สุดเขาก็เลิกพูด ชินชา และทำเป็นว่ามองไม่เห็น ทำเป็นว่าสิ่งเหล่านั้นไม่มีอยู่จริง

ไม่ใช่แค่ในละคร แต่ในชีวิตจริงเราหลายคนก็อาจจะเป็นเหมือนเด็กฝึกงานหรือเพื่อนร่วมงานในออฟฟิศนี้ โปเต้ ย้ำว่า แท้จริงแล้วเราอาจมองเห็นปัญหามาอยู่ตลอด แต่อาจมีหลายอย่างที่ทำให้เราไม่สามารถพูดได้

“จริง ๆ มันไม่ใช่มองไม่เห็นหรอก มันมองเห็นแต่มันพูดไม่ได้ และสิ่งที่ทำให้พูดไม่ได้มันมีหลายอย่างมาก อาจจะต้องอิงถึงระบบ ความเป็นกรอบ บริบท วัฒนธรรม ของประเทศไทย ที่มันมีทั้งระบบ Hierarchy (ลำดับชั้น), Power Dynamic, Seniority (ความอาวุโส) และระบบ Work Level (ระดับการทำงาน) สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ทำให้เกิดความไม่กล้า เกิดความต้องอ้อมค้อมกับปัญหาต่าง ๆ เหล่านี้

โปเต้ ระบุ

ยิ่งเรื่องที่เห็นชัดเจนคือเรื่อง Power Dynamic ที่หลายครั้งเราเห็น คนที่มีอำนาจมากกว่า มีสิทธิ์มีเสียงมากกว่า เลยทำให้เสียงของคนตัวเล็กตัวน้อยถูกคุกคามหรือถูกทำให้หายไป หลาย ๆ ครั้งก็เลือกที่จะไม่พูดออกมา เพราะกลัวว่าจะส่งผลกระทบต่อชีวิตการทำงาน ไม่ว่าจะโดนกลั่นแกล้ง เพ่งเล็ง ย้ายทีม ลดเงินเดือน หรือไล่ออกตามมา

การทำเป็นมองไม่เห็นและไม่สามารถพูดถึงได้ อาจส่งผลกระทบต่อมิติอื่น ๆ นอกเหนือจากชีวิตการทำงาน โปรดิวเซอร์ละครเวที ยังเปรียบเทียบด้วยว่า “เหมือนระเบิดเวลาที่ถูกสะสมมาเรื่อย ๆ” ยิ่งไม่เห็นหรือไม่พูดมันก็จะทับถมขึ้นไปเรื่อย ๆ จนวันหนึ่งมันอาจจะระเบิดออกมา เกิดเป็นความเสียหายทั้งต่อตัวเอง เช่น เริ่มสงสัยในตัวเอง (Self-Doubt) จนอาจนำไปสู่ภาวะแตกสลายทางจิตใจ (Mental Breakdown) จนไม่สามารถกลับไปทำสิ่งนั้นได้อีก ทั้งที่ก่อนหน้านั้นอาจจะชอบหรือรักสิ่งนั้นมาก ๆ รวมไปถึงอาจสร้างความเสียหายต่อสังคมตามมาได้เช่นกัน (เหมือนที่ตอนท้าย ๆ ตัวละครระเบิดอารมณ์ออกมา เพราะทนไม่ไหวกับสิ่งที่ตัวเองเผชิญ)

เพราะโลกการทำงานมันไร้สาระ ละครเลยไร้สาระตาม 

ในฐานะผู้เขียนบท เขต เป็นคนที่หลงใหลในการทำละครเวที และเคยเป็นหนึ่งในฟันเฟืองของโลกทุนนิยมอันกว้างใหญ่ ก่อนจะพบว่างานที่ทำอยู่ประจำไม่ตอบโจทย์ รู้สึกว่าไม่ได้ให้คุณค่าชีวิต เขาจึงตัดสินใจลาออกมาทำละครเวทีเพื่อเติมเต็มความฝันในชีวิต ก่อนจะหยิบเอาเรื่องราวที่เคยเจอในโลกของการทำงานมาเขียนและสรรค์สร้างขึ้นมาเป็นละครเรื่องนี้ เพื่อสื่อสารประเด็นต่าง ๆ ที่เขาพบเจอในสังคมการทำงาน

ละครเรื่องนี้โปรยว่านำเสนอแบบ Absurd (ละครแอบเสิร์ด บอกเล่า ถึงความไร้สาระและความไร้เหตุผลในชีวิต), Musical (ละครมิวสิคคัล ใช้เพลงเป็นองค์ประกอบในการเล่าเรื่อง) และ Brecht (ละครเบรชท์ ดึงคนดูรับรู้เรื่องราวปัญหาและขบคิดตาม)

เขต ยังอธิบายว่า ตั้งต้นไอเดียอยากทำละครแบบ Absurd เพราะต้องการพูดถึงโลกทุนนิยมและโลกการทำงานว่า มันเป็นสิ่งที่ไร้สาระและไม่มีความหมาย เขาจึงตั้งคำถามว่า “ทำไม ? คนเราต้องตื่นเช้า ออกไปทำอะไรก็ไม่รู้ นั่งพิมพ์ตัวเลขอะไรก็ไม่รู้ ที่ไม่ได้มีผลอะไรกับชีวิตเราเลยด้วยซ้ำ แต่ว่าเราก็ทำให้มันมีผลกับชีวิตของเรา ต้องดิ้นรน เติบโตในหน้าที่การเงิน” สิ่งเหล่านี้ล้วนทำให้การทำงานดูไร้สาระ ละครเลยต้องสะท้อนถึงความไร้สาระนั้นตาม ผ่านรูปแบบ Absurd

“ทั้งที่ความเป็นจริงแล้ว ชีวิตเราไม่ได้ขึ้นอยู่กับเจ้านายจะโกรธไหมขนาดนั้น แค่เรากินอิ่ม นอนหลับ มีความสุข ก็น่าจะเพียงพอกับการใช้ชีวิต แต่การที่เราต้องหาเงิน ตื่นเช้าไปทำงาน เรารู้สึกว่าเป็นสิ่งที่ประหลาดมาก ไร้สาระมาก ๆ กับโลกของทุนนิยม เราก็เลยเอาละคร Absurd มาเป็นตัวตั้ง”

เขต อธิบายเพิ่มเติม

ประกอบกับการที่ เขต อยากทำ Musical โดยใช้เพลงเป็นตัวช่วยเล่าเรื่อง อย่างไรก็ตามความเป็นละคร Absurd และ Musical กลับไม่ค่อยไปด้วยกันได้เท่าไร เนื่องจากละคร Musical ใช้เพลงในการเดินเรื่องไปข้างหน้า เช่น เป็นตัวไขปริศนา ช่วยเปิดและคลายปม ช่วยกระเทาะจิตใจตัวละครไปเรื่อย ๆ ในขณะที่ละคร Absurd เป็นละครที่เนื้อเรื่องไม่ได้พาตัวละครไปไหน ตัวละครอาจไม่ได้ตระหนักรู้ รวมถึงไม่สามารถออกจากปัญหาที่เผชิญอยู่ได้ในท้ายที่สุด

ระหว่างทางที่พยายามเอาละครแบบ Absurd และ Musical มาหลอมรวมกัน เขต เล่าว่า ตัวเขาได้เจอละครแบบ Brecht ซึ่งเป็นละครที่พยายามเตือนคนดูอยู่ตลอดเวลาว่า คนดูกำลังดูละครอยู่ ผ่านวิธีการต่าง ๆ เช่น อยู่ดี ๆ ผู้จัดการก็ชวนคนดูปรบมือตามจังหวะเพลง หรืออย่างเลขาฯ ที่ชวนคนดูร้องเพลงตาม หรือบางครั้งต้องละครทุกตัวก็จ้องมาที่คนดูพร้อมกัน

ในขณะที่ละครประเภทอื่น ๆ ที่อาจเน้นให้คนดูมีอารมณ์ร่วมกับเรื่องราว อินกับการแสดงของนักแสดง เช่น หากเป็นเรื่องราวเศร้าก็อาจร้องไห้ตาม ทำให้คนดูได้รู้สึกว่าระบายอารมณ์ตาม แต่ละครแบบ Brecht แตกต่างออกไป โดยเน้นให้คนดูเชื่อมโยงกับประเด็นที่ต้องการสื่อสารในเรื่อง ได้กลับไปมองปัญหาที่ตัวเองเผชิญอยู่ตามที่เรื่องได้พยายามนำเสนอ

เขต ยังพบด้วยว่า ละครแบบ Brecht ก็ใช้เพลง Musical ประกอบการแสดงในเรื่องได้เช่นกัน แต่ไม่ใช่เพื่อเดินเรื่องไปข้างหน้าเหมือนละคร Musical แต่ใช่เพื่อหยุดอารมณ์คนดู และตัดคนดูออกจากละคร ให้คนดูรับรู้ว่าสิ่งที่ดูอยู่มันไม่จริง เพราะอยู่ดี ๆ ก็ร้องเพลงออกมาเลย ในละครเราจึงเห็นนเรื่องราวสถานการณ์กำลังดำเนินไปอย่างเข้มข้น อยู่ดี ๆ ก็ตัดอารมณ์ แล้วตัวละครก็ร้องเพลงออกมาแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย

“ก็เลยออกมาเป็นละครที่ใช้ทั้งเทคนิค Absurd, Musical และ Brecht มาผสมรวมกัน เพื่อต้องการบอกว่า ในความเป็นจริงแล้วเนี่ย โลกข้างนอกที่เราเผชิญอยู่ มันก็ไร้สาระเหมือนละครที่เราดูอยู่ และบางทีเราก็อาจจะหาทางออกไม่ได้ เราอาจจะ move on อาจจะแก้ไขปัญหานี้ก็ยังไม่ได้ เหมือนในละคร ที่มัน Absurd มาก ๆ”

เขต สรุป

บทส่งท้าย : ช้าง ช้าง ช้าง เราเคยเห็นช้าง(บ้าง)รึเปล่า ?

การทำให้คนดูลองได้หยุดคิด สำรวจชีวิตตัวเอง ทั้งชีวิตส่วนตัวและชีวิตการทำงาน เป็นหนึ่งในความตั้งใจที่ผู้สร้างละครเวที Elephant in the room ทั้ง 2 คู่ อยากให้เกิดขึ้นหลังจากผู้ชมได้ดูละครเรื่องนี้

ในมุมมองของผู้กำกับ ก็อยากให้ผู้ชมกลับไปตั้งคำถามกับตัวเองว่า ที่ละครเรื่องนี้ที่มันตลก ไร้สาระ บ้าบอ แปลกประหลาดไปหมด มีตรงไหนที่ตอนนี้เรากำลังเป็นแบบนั้นอยู่รึเปล่า ได้มองกลับไปย้อนดูว่า ช้าง ในออฟฟิศของเราคืออะไร ? และมีอะไร ? ที่ต้องแก้ไขอยู่บ้าง

ในฐานะประชาชนทั่วไป อาจสร้างการเปลี่ยนแปลงในเชิงโครงสร้างหรือเชิงระบบได้ยาก แต่ผู้กำกับ ก็มองว่า อย่างน้อยถ้าเราเห็นปัญหาหรือ ช้างในออฟฟิศแล้ว อาจนำไปสู่การชี้ให้เห็นปัญหา หรือพยายามหาทางแก้ไข เพื่อให้ชีวิตการทำงานของเราที่ต้องทนอยู่ใต้ระบอบทุนนิยมต้องทุกข์ทรมานน้อยลงก็ยังดี

ทั้งยังย้ำเตือนถึง การให้ความสำคัญกับตัวเองมาก ๆ เพราะว่าทุนนิยมไม่ได้มีจิตใจ ด้วยโครงสร้างของบริษัทสามารถหาคนอื่นมาแทนเราได้ตลอดเวลา ในขณะที่ตัวเราเอง ทั้งร่างกาย จิตใจ ไม่สามารถหาอะไรมาแทนที่ได้ แน่นอนว่าการมีจิตใจเป็นเรื่องที่ดี เขต เล่าย้อนกลับไปถึงตอนตัดสินใจลาออกว่า ตอนนั้นเป็นการตัดสินใจที่ยากมาก เพราะเป็นห่วงหลายเรื่อง ทั้งออฟฟิศ หัวหน้า เพื่อนร่วมงาน ลูกค้า แต่ท้ายที่สุดแล้ว บริษัทก็สามารถดำเนินต่อไปได้โดยที่ไม่มีเรา 

“สุดท้ายแล้ว บริษัทมันก็ดำเนินต่อไปได้ เพราะมันมีทุนนิยม มันมีเงิน มันมีอะไรหมุนอยู่ตลอดเวลา แต่ว่าตัวเราเอง เราต้องให้ priority (ความสำคัญ) กับตัวเองให้เยอะ ๆ และก็รักตัวเองให้มาก ๆ มากพอที่จะรู้ว่าอะไรควรกับการทุ่มเทของเรา และอะไรไม่ควร”

เขต ย้ำเตือน

ผู้กำกับ ยังทิ้งท้ายว่า ถ้ายังมองไม่เห็นช้าง ก็ขอให้ช่วยกันหาช้างตัวนั้นให้เจอ ทำให้พื้นที่การทำงานเป็น พื้นที่ปลอดภัย และเป็นพื้นที่ที่ไม่ทำให้เราสูญเสียตัวตน สุขภาพกาย และสุขภาพจิตไปมากกว่านี้

เช่นเดียวกับ โปเต้ ที่มองว่า แม้ละครสุดแสนจะ Absurd เรื่องนี้อาจเป็นเหมือนกระจกที่บิดเบือนความจริงให้มันใหญ่ขึ้นและเหนือจริง แต่ถ้าย้อนกลับไปคิดตาม เราอาจจะมีช้างที่เราไม่กล้าพูดถึงเช่นกัน โปรดิวเซอร์ จึงเสนอให้เริ่มต้นจากการมองให้เห็น หาให้เจอ แล้วลองบอกเพื่อน คนรู้จัก สังคม ก็อาจกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ตามมาก็ได้

“ถ้าคุณรู้ว่าช้างคืออะไร ขอให้คุณก้าวข้ามช้างตัวนั้นได้ แต่ถ้าคุณยังไม่รู้ ขอให้คุณหาช้างตัวนั้นให้เจอ… อย่างน้อยการที่เราเห็นช้างในวันนี้ มันอาจเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ได้”

โปเต้ ทิ้งท้าย

ละครปิดจบด้วยการบรรเลงเพลงเปิดซ้ำอีกครั้ง (Reprise) แต่ครั้งนี้ไม่ใช่ด้วยท่วงทำนองที่สนุกสนานเหมือนตอนต้นที่ชวนเราพร้อมอุทิศตนเพื่องานในเช้าวันใหม่ แต่ด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย เซื่องซึม และเชื่องช้า ก่อนจะปิดม่านด้วยเหล่ามนุษย์เงินเดือนที่ต้องทำงานต่อในฐานะเครื่องจักรของบริษัท และต้องจำยอมภายใต้ระบอบทุนนิยมที่กัดกินชีวิตเราทุกคน

ด้วยประโยคที่ว่า “เราต้องทำงานเพราะเงิน”

งาน งาน งาน เราทำงานเราได้เงิน 
เงิน เงิน เงิน เราทำงานเลยได้มา
ทุ่มเทอุทิศร่างกาย ทุ่มเทให้เราได้เงิน
เราต้องทำงานเพราะเงิน

เพลงปิด (Reprise), ละคร Elephant in the Room

Author

Alternative Text
AUTHOR

ธนธร จิรรุจิเรข

สงสัยว่าตัวเองอยากเป็นนักวิเคราะห์ data ที่เขียนได้นิดหน่อย หรือนักเขียนที่วิเคราะห์ data ได้นิดหน่อยกันแน่