1 ปี เหตุการณ์รถบัสทัศนศึกษาไฟไหม้ อะไรเปลี่ยนไปบ้าง ?

ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีอุบัติเหตุทางจราจรมากที่สุดในโลก อันมีสาเหตุมาจากทั้งยานพาหนะที่ไม่ปลอดภัยและการขับขี่ที่อันตราย จากข้อมูลที่ผ่านมาพบว่ามียอดผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุจราจรอยู่ที่ประมาณ 20,000 รายต่อปี เท่ากับว่าในแต่ละ 1 วัน มีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนนเกือบ 60 ราย

หนึ่งในอุบัติเหตุที่ถูกพูดถึงมากที่สุด คือเหตุการณ์เพลิงไหม้รถบัสทัศนศึกษานักเรียนโรงเรียนวัดเขาพระยาสังฆาราม จ.อุทัยธานี เมื่อวันที่ 1 ต.ค.2567 จนมีผู้เสียชีวิต 23 คนและบาดเจ็บจำนวนมาก นำไปสู่การถอดบทเรียน ค้นหาสาเหตุ หามาตรการ แผนการป้องกันที่ชัดเจน พร้อมทั้งดำเนินคดีกับผู้รับผิดรับชอบจากเหตุการณ์นี้

หลังโศฏนาฎกรรม เกิดมาตรการอะไรบ้าง

หากแต่กรณีรถบัสทัศนศึกษาโรงเรียนวัดเขาพระยาสังฆาราม คณะครูและนักเรียนเสียชีวิต 23 ราย ซึ่งตลอด 1 ปีที่ผ่านมาของโศกนาฏกรรมครั้งนี้ พบการเปลี่ยนแปลงของหน่วยงานภาครัฐในบางส่วน ดังนี้

  • 2 ต.ค. 67 การกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) สั่งการงดทัศนศึกษาที่ไม่จำเป็น​ทันที ยกเว้นกรณีที่จำเป็นหรือเป็นประโยชน์ต่อการศึกษา เช่น ค่ายลูกเสือ ซึ่งจะต้องวางมาตรการความปลอดภัยอย่างละเอียด โดยมีผู้อำนวยการโรงเรียนเป็นผู้รับผิดชอบหลัก หรือให้งดเว้นเด็กเล็กไม่ให้ออกนอกพื้นที่จังหวัด หรืออาจจะมีผู้ปกครองไปช่วยดูแลเด็กเล็กด้วย 
  • กพฐ. ได้เน้นย้ำให้ปฏิบัติตามระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ ว่าด้วยการพานักเรียน และนักศึกษาไปนอกสถานศึกษา พ.ศ. 2562 และที่แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2563 รวมทั้งออกแนวทางปฏิบัติการพานักเรียนไปนอกสถานศึกษา 16 ข้อ และให้โรงเรียนปฏิบัติอย่างเคร่งครัด
  • 15 ต.ค. 67 สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) ออกหนังสือแนวทางการพานักเรียนไปนอกสถานศึกษา และซักซ้อมการพานักเรียนไปทัศนศึกษา รวมทั้งขอให้โรงเรียนพิจารณางดการพานักเรียนไปทัศนศึกษา ยกเว้นมีเหตุจำเป็น และขอให้โรงเรียนดำเนินการตามระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการพานักเรียน และนักศึกษาไปนอกสถานศึกษา 
  • 11 ต.ค. 67 หลังจากประกาศกระทรวงเรื่องงดทัศนศึกษาที่ไม่จำเป็น มีหลายหน่วยงานสับสนเรื่องการปฏิบัติ รวมถึงผู้บริหารสถานศึกษาและผู้ปกครองเกิดความไม่สบายใจที่จะให้ผู้เรียนเดินทางไปทัศนศึกษา ศธ. ได้ตั้งคณะทำงานกำหนดมาตรการการคุ้มครองความปลอดภัย เชิญผู้เชี่ยวชาญให้ข้อคิดเห็น ออกแบบระเบียบการเดินทางไปทัศนศึกษาแผนปฏิบัติการให้เข้มข้นขึ้น เช่น กำหนดช่วงอายุของผู้ไปทัศนศึกษา การตรวจสภาพรถ ความพร้อมของพนักงานประจำรถ พลังงานเชื้อเพลิงที่เลือกใช้ และดูแนวทางการจัดการของต่างประเทศ

คดีความ และ มาตรการเยียวยา คืบหน้าแค่ไหน

25 มิ.ย. 68 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (ป.ป.ช.) มีมติเอกฉันท์ชี้มูลความผิดอดีตนายช่างตรวจสภาพรถชำนาญการ สำนักงานขนส่งจังหวัดสิงห์บุรี และพวก ฐานละเว้น ไม่ตรวจสภาพรถและจัดทำรายงานตรวจภาพรถเป็นเท็จ ทำให้รถโดยสารไม่ประจำทางที่ไม่ผ่านการตรวจสอบมาตรฐานความปลอดภัยตามกฎหมาย ชำระต่อภาษีประจำปีและนำรถไปใช้รับจ้าง จนเป็นเหตุให้เกิดอุบัติเหตุและเพลิงไหม้

อีกทั้ง  ป.ป.ช. ได้ชี้มูลความผิดทางอาญาข้าราชการ เจ้าหน้าที่รัฐและเอกชนหลายคน ฐานเป็นผู้สนับสนุนเจ้าหน้าที่รัฐกระทำความผิดด้วย เบื้องต้นคณะกรรมการ ป.ป.ช. เห็นชอบให้ส่งรายงานสำนวนการไต่สวน เอกสารหลักฐานและคำวินิจฉัยไปยังอัยการสูงสุด เพื่อดำเนินคดี ซึ่งขั้นตอนต่อไปคือ

  • มติที่ชี้มูลความผิดต้องได้รับการรับรองมติจากคณะกรรมการ ป.ป.ช.
  • หลังจากรับรองมติแล้ว จะมีการเผยแพร่อย่างเป็นทางการต่อไป
  • เลขาธิการ ป.ป.ช. ยืนยันว่ามีการชี้มูลความผิดแล้ว แต่ยังต้องรอการรับรองมติอย่างเป็นทางการเพื่อเปิดเผยรายละเอียด 

9 ก.ย. 68 ศาลจังหวัดธัญบุรีตัดสินเจ้าของอู่รถ 2 คน จำคุกคนละ 8 ปี และปรับคนละ 200,000 บาท เนื่องจากจำเลยให้การรับสารภาพ จึงลดโทษให้กึ่งหนึ่ง เหลือจำคุกคนละ 4 ปี ปรับคนละ 100,000 บาท พร้อมทั้งให้รอลงอาญา 5 ปี และคุมประพฤติ

คนขับรถบัส 1 คน ศาลตัดสินจำคุก 8 ปี 2 เดือน และปรับ 205,000 บาท แต่จำเลยให้การรับสารภาพ ศาลจึงลดโทษให้กึ่งหนึ่ง เหลือจำคุก 4 ปี 1 เดือน ปรับ 102,500 บาท และให้รอลงอาญา 5 ปี

ส่วนการเยียวยา ครอบครัวครูได้รับการเยียวยา 80,000 บาท และนักเรียนได้รับการเยียวยา 160,000 บาท จากการทำประกันหมู่ที่โรงเรียนนักเรียนและครูทุกคนได้ทำไว้อยู่แล้ว รวมทั้งค่าสินไหมทดแทนตาม พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ.2535 รวมทั้งทางเจ้าของรสบัส เยียวยาครอบครัวเหยื่อจำนวน 550,000 บาท โดยผ่อนชำระเดือนละ 10,000 บาท

ข้อจำกัดด้านการพัฒนาเชิงระบบความปลอดภัยบนท้องถนน

นพ.ธนะพงศ์ จินวงษ์ ผู้จัดการศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน ชี้ให้เห็นว่าเหตุการณ์รถทัศนศึกษาไฟไหม้ เป็นผลลัพธ์ของระบบที่เต็มไปด้วยปัญหาหลายด้าน ตลอด 1 ปีที่ผ่านมา แม้จะเห็นความคืบหน้าของคดีหรือการยกระดับมาตรการความปลอดภัย แต่ก็ยังมีข้อจำกัด เพราะกระบวนการที่ผ่านมามุ่งเน้นไปยังตัวบุคคล เช่น คนขับ คนตรวจสภาพรถ การกำหนดบทบาทหน้าที่ครูและผู้บริหาร แต่ยังพัฒนาไปไม่ถึงจัดการเชิงระบบ

ทั้ง ๆ ที่กรณีรถทัศนศึกษาไฟไหม้นี้ควรนำมาทบทวนถึงปัญหาความปลอดภัยบนท้องถนนทั้งระบบ เช่น ปัญหารถยนต์ที่โรงเรียนใช้ทัศนศึกษาส่วนใหญ่ เป็นผู้ประกอบการรายย่อย หมายความว่าบริษัทที่ให้บริการมีรถเพียง 3 – 5 คันเท่านั้น ไม่ได้เป็นรายใหญ่

จากการสำรวจผู้ประกอบการกลุ่มนี้พบว่า มักใช้รถเก่ามาดัดแปลง และพยายามใช้เชื้อเพลิงอย่างประหยัด ด้วยการติดตั้งถังแก๊ส NGV เกินกว่าที่ได้รับอนุญาต เช่นในกรณีรถทัศนศึกษาไฟไหม้ ก็ขออนุญาตติดตั้งถังแก๊ส NGV จำนวน 6 ถัง แต่ติดตั้งจริง 11 ถัง ทั้งนี้เพื่อยกระดับเรื่องความปลอดภัยผู้ประกอบการรถโดยสารรายย่อย ต้องเข้มงวดในมาตรการตรวจสภาพความปลอดภัยในการต่ออายุทะเบียนรถ

แม้กระทรวงศึกษาธิการจะยกระดับหลักเกณฑ์ให้ทุกโรงเรียนต้องตรวจสภาพรถยนต์ก่อนเดินทาง แต่ขาดกลไกหนุนเสริม เช่นกระทรวงกำหนดแนวทางปฏิบัติ ให้มีความปลอดภัยครบถ้วนตามที่กฎหมายกำหนด ซึ่งการตรวจสภาพรถเป็นเรื่องเทคนิคโดยเฉพาะ เกินความเชี่ยวชาญของโรงเรียน ดังนั้นจึงต้องมีหน่วยงานกลางที่มีความเชี่ยวชาญเข้ามาตรวจสอบให้ แต่ที่ผ่านมากระทรวงศึกษาธิการก็ไม่ได้จัดบุคลากรผู้เชี่ยวชาญมาทำหน้าที่ติดตามตรวจสอบ

นพ.ธนะพงศ์ จินวงษ์ ยังชี้ให้เห็นว่าเหตุการณ์นี้ยังมาจากรากปัญหามาจากงบประมาณเงินอุดหนุนรายหัวของนักเรียนที่กระทรวงศึกษาธิการได้รับ แบ่งเป็น 5 หมวดคือ

1) ค่าจัดการเรียนการสอน
2) ค่าหนังสือเรียน
3) ค่าอุปกรณ์การเรียน
4) ค่าเครื่องแบบนักเรียน
5) ค่ากิจกรรมพัฒนาคุณภาพผู้เรียน

ปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ที่เกิดเหตุการณ์ ค่ากิจกรรมพัฒนาคุณภาพผู้เรียน คือการพานักเรียนไปทัศนศึกษา มีงบนักเรียนอนุบาลอยู่ที่ 232 บาท ต่อคนต่อเทอม นักเรียนชั้นประถมศึกษา 259 บาทต่อคนต่อเทอม ถ้าจะพานักเรียนไปทัศนศึกษา ประมาณสัก 40 คนเช่นในกรณีนี้ ก็จะมีค่าเช่ารถได้ราว 9,00-10,000 บาท ซึ่งไม่สามารถเช่ารถคุณภาพดี มีอุปกรณ์ระบบรักษาความปลอดภัยที่ดี ดังนั้นต้องทบทวนเรื่องงบประมาณเงินอุดหนุนรายหัวของนักเรียนด้วย

ผลลัพธ์จากคอร์รัปชัน

เหตุการณ์ในครั้งนี้ถือว่าเป็นผลมาจากการคอร์รัปชันที่เกิดขึ้นในระบบราชการไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรมการขนส่งทางบก ที่ทำให้เกิดการสูญเสียครั้งใหญ่ และสร้างความหวาดผวาให้กับประชาชน เพราะการเดินทางคมนาคมเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน ยวดยานพาหนะที่ไม่ได้มาตรฐาน กลับได้รับการอนุญาตให้ใช้โดยสารโดยหน่วยงานราชการ

ทางด้าน มานะ นิมิตรมงคล ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชันฯ (ACT) กล่าวถึงมติของ ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดว่า

“การที่ ป.ป.ช. มีมติตัดสินอย่างรวดเร็ว ถือเป็นนิมิตรหมายที่ดีบ้างไหมครับ ปกติเนี่ย เพราะปรกติจะใช้ระยะเวลาในการไต่สวนขั้นต้นกินเวลาประมาณสัก 3 ปี แต่ตอนนี้เราเห็นว่ามีเจ้าหน้าที่ระดับระดับล่างนะครับ เป็นข้าราชการระดับปฏิบัติการ C3-C5 เท่านั้นเองที่ถูกดำเนินคดี เพียงมีกี่คน ไม่ได้ดำเนินคดีไปถึงข้าราชการระดับสูงหรืออธิบดีที่ต้องรับผิดรับชอบด้วย และเรื่องนี้ยังมีผู้ส่วนเกี่ยวข้องอีกจำนวนมาก เช่นเอกชนเจ้าของบริษัทรถอีก”

ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชันฯ ชี้ว่า คนไทยรู้กันมานานเกี่ยวกับการคอร์รัปชันในกรมการขนส่งทางบก ที่มีหลากหลายรูปแบบในกระบวนการตรวจสภาพรถยนต์ รวมถึงการ “ตรวจสภาพรถทิพย์” ซึ่งทำให้มีรถที่ไม่ได้มาตรฐานความปลอดภัยเต็มไปทั่วท้องถนน ทั้งรถทัวร์ รถแท็กซี่ รถเมล์ รถบรรทุก รถลากพ่วง รถกระบะ รถเก๋ง รวมไปถึงการสวมทะเบียนรถเกินอายุใช้งาน รถหนีไฟแนนซ์และรถขโมย แม้ไม่สามารถระบุจำนวนได้ว่ามีกี่คัน แต่มักปรากฏข่าวอยู่ตลอดเวลาต่อเนื่อง แทบทุกสัปดาห์ ซึ่งตามข่าวบอกว่าเจ้าหน้าที่ไม่เกี่ยวข้อง แต่ว่าหน่วยงานก็ปล่อยปะละเลยให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้

ทุกวันนี้ บริเวณกรมการขนส่งทางบก บริเวณถนนวิภาวดี หรือสำนักงานขนส่งจังหวัด ยังคงมีพวก “หน้าม้า” ที่มาเคาะกระจกถามว่ามากรมขนส่งฯ มาต่อทะเบียนใช่ไหม แล้วอาสาเป็นตัวแทนไปจัดการให้และเรียกเก็บเงิน หรือการตรวจสภาพรถเป็นการตรวจจากเอกสาร ที่บางบริษัทรถประจำทางและรถไม่ประจำทางตกลงราคากันไว้แล้วล่วงหน้า

กรมการขนส่งทางบกพัฒนาตัวเองอยู่เรื่อย ๆ ในการให้บริการ ซึ่งเป็นที่ชื่นชมมากในเรื่องการต่อทะเบียนรถ การทำใบขับขี่ที่รวดเร็วขึ้น แต่ยังมีเจ้าหน้าที่บางส่วนที่ทุจริต ซึ่งการทุจริตจากเจ้าหน้าที่เพียงไม่กี่คน กระบวนการขั้นตอนให้บริการที่ไม่โปร่งใส การปล่อยปละละเลยของเจ้าหน้าที่ นำไปสู่การสวมทะเบียน นำป้ายทะเบียนของรถคันหนึ่งไปติดกับรถอีกคัน อาจเป็นป้ายทะเบียนปลอมหรือป้ายจริงจากรถที่ถูกขโมย มันส่งผลเสียหายในระดับกว้าง เพราะไม่ใช่แค่เรื่องความปลอดภัยเท่านั้น แต่ยังทำให้รัฐเสียรายได้และความมั่นคงในหมู่ผู้ประกอบการค้าขายรถยนต์ด้วย

ในกรณีรถบัส กรมการขนส่งทางบกได้สั่งยกเลิกจดทะเบียนรถโดยสารสองชั้นตั้งแต่ปี 2559 แล้ว เนื่องจากเสี่ยงเกิดอุบัติเหตุมากกว่ารถโดยสารชั้นเดียว ในปี 2560 ได้กำหนดมาตรการให้รถโดยสารขนาดใหญ่ที่มาจดทะเบียนใหม่จะต้องมีความสูงไม่เกิน 4.00 เมตร จากเดิมที่กำหนดไว้ 4.30 เมตร เพื่อไม่ให้มีการจดทะเบียนรถโดยสารสองชั้นเพิ่มใหม่ ซึ่งยังเป็นการควบคุมรถที่จดทะเบียนใหม่ แต่ไม่มีแนวทางที่เป็นรูปธรรมกับกลุ่มรถเก่าที่ยังมีจำนวนมาก ซึ่งปัจจุบันก็ยังมีรถโดยสารสองชั้นให้บริการทั่วประเทศมากกว่า 6,300 คัน

และจากคดีรถบัสทัศนศึกษาเกิดเพลิงไหม้ส่วนอื่น ๆ ที่ยังไม่คืบหน้า มานะ ได้ทิ้งท้ายไว้ว่า เมื่อเกิดเหตุการณ์ในครั้งนี้จนมีคนเจ็บคนตายจำนวนมาก จำเป็นอย่างยิ่งที่กระทรวงคมนาคมและรัฐบาลจะต้องทำเรื่องปฏิรูปกรมการขนส่งยุติคอร์รัปชันให้เป็นวาระแห่งชาติ เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ได้อีกในอนาคต ถึงเวลาที่จะต้องแก้ไขปัญหาตรงนี้ให้ได้ ไม่เฉพาะเรื่องการตรวจทะเบียนรถทิพย์ แต่รวมถึงปฏิรูปกลไกให้รอบคอบโปร่งใส ไม่มีการคอร์รัปชัน ทุกอย่างตรงไปตรงมา ซึ่งจะเป็นการปกป้องสาธารณประโยชน์ และทำให้การการเดินทางบนท้องถนนมีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง