เมื่อ ‘การเมือง’ แทรกซึม ระบบราชการ ‘ธรรมาภิบาล’ จะยืนอยู่ตรงไหน ?

กรณี นพ.สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ นับเป็นอีกตัวอย่างที่ทำให้สังคม หันกลับมาตั้งคำถามต่อกลไกของระบบราชการไทยอีกครั้ง ว่าระบบการตรวจสอบ และลงโทษ ที่ออกแบบมาเพื่อรักษาความเป็นระเบียบและความโปร่งใสนั้น ยังยึดโยงอยู่กับหลักการ ธรรมาภิบาล (Good Governance) มากน้อยเพียงใด ?

หรือกลับกลายเป็นกลไกที่เปิดช่องให้เกิดการใช้ดุลยพินิจอย่างไม่สมดุล และถูก แทรกแซง ด้วยแรงกดดันทาง การเมือง แน่นอนอาจไม่ใช่แค่เรื่องบุคคล แต่กำลังชวนให้สังคมทบทวนไปถึงโครงสร้างการบริหารราชการแผ่นดินทั้งระบบ

“ทีมหมอแพทย์ชนบททำนอกกรอบ ที่ไม่ใช่นอกกรอบราชการ แต่คือการทำนอกกรอบการจัดการ เรียกว่า พยายามจะพัฒนาวิธีการในการรับมือ

รศ.บุญเลิศ วิเศษปรีชา

เป็นคำเน้นย้ำต่อสถานการณ์ที่เกิดกับหมอสุภัทร และบทบาทของทีมแพทย์ชนบทในภารกิจบุกกรุง เมื่อปี 2564 ที่ รศ.บุญเลิศ วิเศษปรีชา คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ให้คำอธิบายเอาไว้ ว่า ในสถานการณ์วิกฤตระบาดของโควิดในกรุงเทพฯ เวลานั้น มีการกำหนดให้ผู้ป่วยที่ตรวจโรงพยาบาลไหน โรงพยาบาลนั้นต้องรับดูแล รักษา ทำให้เกิดปัญหาว่าโรงพยาบาลไม่กล้าตรวจเพราะไม่มีเตียง ซึ่งกรณีที่พบคือ คนในชุมชนต้องไปรอตรวจที่โรงพยาบาลตั้งแต่เช้ามืด ไปหลายครั้งเพราะไม่ได้คิวตรวจจนสุดท้ายเขาต้องนอนรออยู่หน้าโรงพยาบาลเพื่อรอให้ทันคิววันถัดไป…

หมอสุภัทร

“การตรวจแบบนี้ทำให้คนจำนวนมากที่ติดเชื้อ หรือสงสัยว่าติดเชื้อ ไม่สามารถคัดแยกออกมาและทำให้ระหว่างที่เขายังไม่ได้พิสูจน์ชัดว่า เขาติดหรือไม่ติด มีโอกาสที่จะแพร่หาคนอื่น แต่สิ่งที่แพทย์ชนบททำ เห็นได้ชัดเจนว่า ในแต่ละวัน ทุกคนที่มาต้องได้ตรวจ มีคนจำนวนมากที่อยากจะมาตรวจ ทั้งคนในชุมชน แรงงานรอบนอก ผมเข้าใจความพยายาม ความตั้งใจ ความจำเป็นที่จะต้องจัดซื้อจัดจ้างเป็นล็อต ๆ ตรงกันข้าม ถ้าเกิดคุณหมอซื้อเยอะแล้วเหลือ คนจะหาเรื่อง อาจจะตำหนิคุณหมออีก ผมว่าวิธีการจัดการของคุณหมอ ซื้อบนฐานว่าความคาดการณ์เท่าที่จำเป็น แต่ว่าความจำเป็นมันขยายและต้องซื้อต่อ ผมเห็นการแก้ปัญหาที่ตรงจุดในสถานการณ์ตอนนั้น”

รศ.บุญเลิศ วิเศษปรีชา

นั่นเป็นเพียงมุมมองหนึ่ง ที่ชี้ให้เห็นถึงความจำเป็น ไปจนถึงความพยายามเข้าใจในวิธีการที่หมอสุภัทร และทีมแพทย์ชนบทต้องทำ ในภาวะวิกฤตการระบาด แล้วอะไร ? ทำให้การตรวจสอบวินัยร้ายแรงเกิดขึ้น…

อคติ กลั่นแกล้ง ในระบบราชการ ‘ธรรมาภิบาล’ ไม่มีจริง ?

ในช่วงเวลานั้น คนหนึ่งที่ออกตัวว่าเป็น หัวหน้าทีม ของภารกิจดังกล่าว คือ นพ.ยงยศ ธรรมวุฒิ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ในฐานะอดีตรองปลัดกระทรวงสาธารณสุข ในช่วงปี 2564 ที่ย้ำว่า ภารกิจบุกกรุงของแพทย์ชนบท เป็น การทำงานเพื่อชาติ แต่กลับได้ผลลัพธ์ที่ทำให้เขาสารภาพอย่างตรงไปตรงมา ว่า “เป็นความผิดหวังที่สุดในชีวิตการรับราชการ เหมือนพาน้อง ๆ มาตาย”

นพ.ยงยศ ธรรมวุฒิ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ในฐานะอดีตรองปลัดกระทรวงสาธารณสุข (ในช่วงปี 2564)

หนึ่งในข้อสังเกตสำคัญจากข้าราชการระดับสูงกระทรวงสาธารณสุขคนนี้ ยังเชื่อว่า สิ่งที่เกิดกับหมอสุภัทร เป็นอคติ เป็นการกลั่นแกล้ง และจงใจ ตั้งแต่เริ่มตั้งกรรมการจนถึงปัจจุบัน

“ผมขอกล่าวหาว่ากรรมการที่ตั้งมา ตั้งธงมา 2 ปีแล้ว ผมคุยกับประธานสอบสวน ซึ่งเป็นรุ่นเดียวกัน เติบโตมาด้วยกัน เขาบอกถูกไล่ออกแน่นอน ตั้งแต่ก่อนคุณหมอสุภัทรชี้แจงครบ หมายถึงฟันธงมาก่อนแล้ว แต่ว่าประธานฟันธงโดยใครสั่งมาอีกทีไม่ทราบ”

นพ.ยงยศ ธรรมวุฒิ

เมื่อ ‘ธรรมาภิบาล’ ถูกอำพรางด้วย ‘ธง’ นักการเมือง ผู้มีอำนาจ

ข้อสังเกตจาก หัวหน้าทีมแพทย์ชนบทบุกกรุง ยังถูกให้คำอธิบายผ่านมุมมองของ มานะ นิมิตรมงคล ประธานองค์กรต่อต่านคอร์รัปชัน ระบุว่า แม้พยายามอ่านข้อมูลย้อนหลังของปฏิบัติการครั้งนั้น อ่านกฎ ระเบียบ ต่าง ๆ ก็ยังไม่เห็นประเด็นว่า การกระทำนี้ ละเมิด พ.ร.บ.จัดซื้อจัดจ้าง หรือ เกิดการคอร์รัปชันตรงไหน ?

มานะ นิมิตรมงคล ประธานองค์กรต่อต่านคอร์รัปชัน

สิ่งที่สำคัญ คือ การจัดซื้อจัดจ้างนี้ต้องเกิดความเป็นธรรม และเกิดประโยชน์ต่อสาธารณชน ซึ่งที่เห็นคือไม่ได้ขัด ไม่ผิดเพี้ยน แต่ถามว่า ผิดวินัยหรือไม่ ? ก็ต้องถามต่อว่า แล้วระบบราชการที่เห็น และเป็นอยู่ในทุกวันนี้ ได้ให้อำนาจ ผู้ใหญ่ หรือคนที่ เป็นนาย รวมทั้งนักการเมือง สามารถที่จะตั้งธงว่าเมื่อมีปัญหาสามารถเลือกว่าจะตั้งกรรมการสอบสวนหรือไม่ตั้งก็ได้ อำนาจดุลพินิจของคนเหล่านี้ สามารถทำให้ผิดหนักเป็นเบา ผิดเบาเป็นไม่ผิดเลย หรือช่วยกันอำพรางเรื่องราวต่าง ๆ ไปเลยก็มี

กรณีการตรวจสอบข้อร้องเรียนจัดซื้อวัคซีน คือประเด็นที่ ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน หยิบยกมาเป็นตัวอย่าง เพราะถือเป็นเรื่องหนึ่งที่พูดกันมากใน กระทรวงสาธารณสุข เมื่อก่อนหน้านี้ทาง ป.ป.ช.ขอให้รายงานเรื่องการเกี่ยวกับการร้องเรียนการซื้อวัคซีน มีเรื่องส่งหนังสือไปที่กรมควบคุมโรค ซึ่งตามธรรมดาจะต้องชี้แจงภายใน 30 วัน แต่กลับถูกลากเรื่อง ดึงเรื่องเอาไว้ เจ้าหน้าที่ทำเสร็จแล้วภายใน 30 วัน แต่ผู้ใหญ่บางคนดึงเอาไว้ ไปส่ง ป.ป.ช. เมื่อเวลาผ่านไปถึง 9 เดือน ประเด็นแบบนี้หรือไม่ ที่ควรจะต้องเพ่งเล็ง

“คุณกำลังทำอะไรอยู่เบื้องหลัง เพราะฉะนั้นระบบอุปถัมภ์พวกพ้องในระบบราชการต่างหาก ที่เป็นตัวอันตรายกับระบบราชการไทย ไม่ใช่การเสี่ยงตายของเหล่านักรบทั้ง 500 คน (แพทย์ชนบทบุกกรุง) อย่างที่เรากำลังพูดกันครับ”

มานะ นิมิตรมงคล

รักษา ‘ธรรมาภิบาล’ ในระบบราชการ 

หากมองว่าอะไร ? เป็นภัยคุกคามของระบบราชการไทย สิ่ที่ตอกย้ำชัดเจน คงหนี้ไม่พ้น ความสัมพันธ์ระหว่างข้าราชการประจำกับข้าราชการการเมือง นี่เป็นประเด็นที่ รศ.ตระกูล มีชัย รองคณบดีคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สะท้อนความเห็น โดยย้ำว่า จริง ๆ แล้วนักการเมืองต้องแยกแยะการปฏิบัติหน้าที่ของข้าราชการประจำ ส่วนนักการเมืองมีหน้าที่เพียงแค่กำหนดนโยบาย และขับเคลื่อนนโยบายเท่านั้น หากเข้าไปแทรกแซงถึงขึ้นทำให้เกิดการโยกย้ายข้าราชการ ซึ่งแน่นอนอาจจะทำได้ในบางกระทรวง แต่ไม่ควรทำกับกระทรวงสาธารณสุข เพราะข้าราชการกระทรวงสาธารณสุขมีลักษณะพิเศษไม่เหมือนกับข้าราชการกระทรวงอื่น

รศ.ตระกูล มีชัย รองคณบดีคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

“ถ้าเกิดสูญเสียกำลังใจขึ้นมา อย่าลืมว่าระบบการสาธารณสุขของไทย หมอหรือเจ้าหน้าที่สาธารณสุขนั้น ทำงานกับประชาชนในระดับพื้นที่มากกว่าเจ้าหน้าที่คนอื่นทั้งหมด”

รศ.ตระกูล มีชัย

รศ.ตระกูล อธิบายด้วยว่า ระบบการบริหารงานกระทรวงสาธารณสุข ในอดีตมีการกระจายอำนาจบริหารไปสู่สาธารณสุขในระดับพื้นที่มาก แต่มีอยู่ยุคหนึ่งที่นักการเมืองที่บริหารกระทรวงได้รวมศูนย์อำนาจดึงเอาอำนาจเชิงการบริหารเข้าสู่ส่วนกลางทั้งหมด นี่คือปมปัญหาที่ทำให้การทำงานบริหารระดับกระทรวงสาระสุข ของแพทย์ในพื้นที่มีปัญหามาก

ดังนั้นปัญหานี้หน่วยงานทั้งหมดต้องมาทบทวนว่า การกระจายอำนาจในเชิงการบริหาร ภายในองค์กรของกระทรวงสาธารณสุข ให้กับระดับพื้นที่มากน้อยแค่ไหน พร้อมเสนอให้กลุ่มประชาชนสร้างพลังของภาคประชาสังคมสนับสนุนการทำงานที่เสียสละ และ สร้างระบบการตรวจสอบผู้บริหารและนักการเมืองที่เข้ามาก้าวก่าย การทำงาน ของข้าราชการที่ประโยชน์สาธารณะ เพื่อปกป้องระบบการทำงานที่มีเจตนาในการทำเพื่อประชาชน ระบบราชการจะเดินหน้าได้โดยปลอดภัยจากการแทรกแซงของฝ่ายการเมืองได้จะต้องพึ่งประชาชน

“องค์กรราชการหลายที่ มีองค์กรรวมตัวกันเป็นวิชาชีพ แต่รัฐธรรมนูญไม่ยอมให้ตั้งสมาคมของข้าราชการ ในการที่ดูแลตรงจุดนี้ ทั้งที่ตอนร่างรัฐธรรมนูญ เราเรียกร้องกัน ดังนั้นคิดว่าการรวมตัวกันแบบไม่เป็นทางการ ภาคประชาสังคม จะช่วยสกัดยับยั้งกระบวนการของนักการเมืองที่ไปรังแกข้าราชการประจำ”

รศ.ตระกูล มีชัย

ทั้งยังมองว่า ระบบราชการจะเดินงานได้โดยปลอดจากการแทรกแซงของฝ่ายการเมือง จำเป็นต้องพึ่งประชาชน หากทำดีประชาชนจะปกป้องโดยโดยอัตโนมัติ ส่วนตัวจึงส่งเสริมการเมืองของภาคประชาชน ว่า ต้องให้แรงใจสนับสนุน เพื่อร่วม ปกป้องระบบ ให้ยังมีข้าราชการ หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ดีทำงานให้กับประชาชน

ระบบราชการไทย ตอบสนองใคร ?

นักรัฐศาสตร์ ยังชี้ให้เห็นกระบวนการแต่งตั้งโยกย้าย โดยเชื่อว่า ฝ่ายการเมืองมีอำนาจในกระบวนการนี้ และเกิดขึ้นมาทุกยุคทุกสมัย แม้จะมีกฎหมาย แต่ก็เลี่ยงได้ตลอด เพราะว่า “มีคนยื่นให้ มีคนรับ” เนื่องจาก ข้าราชการทุกคน อยากจะได้อยู่ในตำแหน่งเหล่านั้น ดังนั้นทุกอย่างต้องกลับมาที่ประชาชน ว่า ประชาชนเห็นว่าคนที่ได้รับการแต่งตั้ง ทำงานตอบสนองประชาชน หรือ ตอบสนองนักการเมือง 

“การเมืองในยุคนี้เปลี่ยนเร็วมาก และมีกระบวนการจองล้าง จองผลาญ จองเวรจองกรรม กันอยู่ระหว่างนักการเมืองกับข้าราชการ มันจะเกิดแบบนี้ ซึ่งระบบ และกระบวนการเหล่านี้ทั้งหมด เท่าที่ติดตามมาไม่ต่ำกว่า 50 ปี ผมว่ายุคนี้เป็นยุคที่เลวร้าย และจะเป็นยุคที่ข้าราชการตกต่ำมาก ถ้าข้าราชการยอมอยู่ใต้อำนาจของฝ่ายการเมืองโดยไม่ยอมอยู่ใต้อำนาจของประชาชน”

รศ.ตระกูล มีชัย

รศ.ตระกูล ยังเชื่อว่า ทุกวันนี้ยังมีข้าราชการรุ่นใหม่อีกมากที่มีเจตนาทำงานมุ่งมั่นแก้ปัญหา โดยยกตัวอย่าง กรณีปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา หากข้าราชการฝ่ายปกครองที่อยู่แนวหลัง ดำเนินการเพื่อดูแลประชาชน เขาต้องรีบตัดสินใจทำ และอาจจะต้องหลีกเลี่ยง หรือหาหนทางใดก็แล้วแต่ ที่จะรักษาชีวิตของประชาชนเอาไว้ก่อน โดยผู้บังคับบัญชาของเขานั้นมองว่า เรื่องนี้เป็นความจำเป็น

ถ้ามองดูเจตนา และวัตถุประสงค์ของระบบราชการที่ดีนั้น ถ้าเขาไม่มีเจตนาทุจริต แต่เพื่อปกปักรักษาประโยชน์สาธารณะ ผู้บังคับบัญชาที่ดีควรที่จะเอื้ออำนวย และเปิดทางให้ เพราะฉะนั้นในกรณีนี้ (หมอสุภัทร) คิดว่าขืนปล่อยให้เป็นแบบนี้ จะเป็นกรณีเลวร้ายของระบบราชการ

รศ.ตระกูล ยังมองว่า ปัญหาที่หนักกว่า คือ ผู้บริหาร ต้องดูด้วยว่าผู้บริหารมีคุณธรรม มีจริยธรรมดีแล้วหรือยัง มีความอาฆาตแค้นหรือไม่ คิดว่าเขาต้องไปอ่าน พ.ร.ก.ว่าด้วยการบริหารหลักธรรมาภิบาลให้ดี ว่าเจตนารมณ์คืออะไร ถ้าตัวคนยังมีจิตใจที่ดำมืดอยู่ มันมีปัญหาแน่ อย่าคิดว่าตัวเองเป็นผู้บริหาร แล้วจะใช้อำนาจในทางไม่ชอบต่อผู้ใต้บังคับบัญชา เพราะผู้ใต้บังคับบัญชา มีสิทธิ์ที่จะย้อนกลับไปถึงผู้บริหารนั้น ขว้างงูไม่พ้นคอหรอกครับ ถ้าคุณใช้อำนาจโดยไม่ชอบ

“อย่าคิดว่าตัวเองเป็นผู้บริหารและคุณจะใช้อำนาจในทางที่ไม่ชอบต่อผู้ใต้บังคับบัญชา เพราะผู้ใต้บังคับบัญชามีสิทธิ์ที่จะย้อนกลับไปถึงผู้บริหารนั้น ขว้างงูไม่พ้นคอหรอกครับถ้าคุณใช้อำนาจโดยไม่ชอบ”

รศ.ตระกูล มีชัย

‘ธรรมาภิบาล’ สร้างยาก แต่ต้องไม่หมดหวัง  

“การสับเปลี่ยนพรรคการเมือง หรือรัฐบาลที่มาดูแล ผู้บริหารระดับสูงก็จะเปลี่ยนโทนไป ยากมากที่จะหาคนที่จะวางตัวธรรมาภิบาลไว้ยาว ๆ ในระบบราชการ ถึงจะสร้างยาก แต่ไม่ใช่หมดหวัง”

นพ.ยงยศ ธรรมวุฒิ

ถึงจะยอมรับว่าการวางรากฐาน กลไก ธรรมาภิบาล ไม่ง่ายกับระบบราชการยุคนี้ แต่สำหรับ อดีตรองปลัดกระทรวงสาธารณสุข ก็ยังไม่หมดหวัง โดยย้ำว่า ต้องมีหวังในเรื่องของการกระบวนการการสร้างรากฐานให้กับภาคประชาชน หรือน้อง ๆ ข้าราชการ ให้เป็นคนทำงานอย่างแท้จริง

“ธรรมาภิบาลในระดับสูงขึ้นมายอมรับว่าเหนื่อย แต่ถ้าในอนาคตเปลี่ยนเจเนอเรชั่น เปลี่ยนระบบ ในเรื่องของการคัดเลือกคนเข้าระบบราชการ เปลี่ยนในเรื่องของระบบการทำงานที่คิดถึงสังคม ผมยังมีความหวังเสมอ”

นพ.ยงยศ ธรรมวุฒิ

รศ.บุญเลิศ วิเศษปรีชา คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

รศ.บุญเลิศ ก็ย้ำว่า ทั้งกรณีของหมอสุภัทร และ ธรรมาภิบาลในระบบราชการ ต้องมีคำว่า เปิดเผย โปร่งใส ถ้ากระบวนการสอบสวนดำเนินการมาอย่างเปิดเผย โปร่งใสตรวจสอบได้ว่าข้อสรุปนี้มาอย่างถูกต้อง เป็นธรรม ประชาชนจะยอมรับได้ แต่ถ้าเปิดเผยมาแล้วสังคมเห็นว่าไม่เป็นธรรม ข้อกล่าวหานี้สามารถโต้แย้งได้ เพราะอะไร ดุลยพินิจจึงออกมาอย่างนี้ ดังนั้นสิ่งที่จำเป็นคือการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน ถ้าเป็นรูปธรรมมากขึ้น จะช่วยผลักดันให้กระทรวง หรือองค์กร ต้องทำให้เรื่องนี้เปิดเผย โปร่งใส การใช้อำนาจที่เป็นจริงก็จะตามมา 

สอดคล้องกับประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน ที่ยอมรับเช่นกันว่า ช่วง 20-30 ปีที่ผ่านมา การคอร์รัปชันของไทยรุนแรงขึ้น เห็นชัดเจนมากขึ้น ระบบราชการถูกแทรกแซงโดยนักการเมืองมากขึ้นตลอดเวลา เป็นสิ่งที่น่าเป็นห่วง เพราะทำลายกลไกธรรมาภิบาลในภาครัฐ ขณะเดียวกันรัฐบาล นักการเมือง ก็ไม่ได้สนใจที่จะแก้ปัญหาคอร์รัปชัน แม้แต่ในรัฐบธรรมนูญ มีเขียนไว้ว่ารัฐหรือรัฐบาลจะต้องสนับสนุนให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการสร้างความโปร่งใส ป้องกันคอร์รัปชัน แต่ความจริงไม่เป็นอย่างนั้น จึงต้องทำให้พลังประชาชนเข้มแข็งมากขึ้น

“ใครก็ตามที่เป็นผู้รู้ในด้านต่าง ๆ ต้องมาช่วยเล่าความจริงกับประชาชนให้เข้าใจ โดยเฉพาะ เรื่อง ธรรมาภิบาล คอร์รัปชัน การกลั่นแกล้งรังแกข้าราชการ ไม่ใช่การปล่อยวาง เพื่อให้พลังของประชาชนเข้มแข็งมากขึ้น จะสามารถกดดันนักการเมือง กดดันข้าราชการที่ไม่ดี ช่วยส่งเสริมให้ข้าราชการที่ดี นักการเมืองที่ดี มีที่ยืนมากขึ้น”

มานะ นิมิตรมงคล

‘การเมือง’ บนความสุจริต-เป็นธรรม ปกป้องข้าราชการได้

ขณะที่ พิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส อดีตผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ยังคงเรียกร้องให้หน่วยงานอิสระทั้ง สตง. และ ป.ป.ช. อย่าละเลยต่อปัญหาความไม่ชอบธรรมในระบบราชการ โดยเฉพาะในกรณีของหมอสุภัทร โดยให้เข้ามาตรวจสอบข้อเท็จจริง เพื่อที่จะหาข้อยุติให้เกิดความเป็นธรรม เพราะเรื่องนี้ขณะนี้อยู่ในความสนใจของประชาชน จึงควรจะเข้ามาเชิงรุก เข้ามาตรวจสอบ เพราะตอนนี้สังคมดูสิ้นหวังกับระบบที่เป็นอยู่ โดยเฉพาะระบบราชการถ้าล้มเหลว ไม่เกิดคุณประโยชน์อะไรกับประชาชนเลย

พร้อมทั้งมองว่า แนวทางการตรวจสอบต้องระมัดระวัง ต้องอยู่บน จุดยืนความเป็นธรรม มองไปถึงสภาพบริบท สภาพแวดล้อม สภาพปัญหาในขณะนั้น มีสภาพอย่างไร แล้วมีอะไรที่เป็นเหตุสภาพบังคับให้จำเป็นจะต้องดำเนินการโดยวิธีการนั้น ๆ รวมถึง สัจจะ คือ ความจริง มาสู่การวิเคราะห์ตามข้อระเบียบ ซึ่งระเบียบการจัดซื้อจัดจ้างเขียนไว้เพื่อป้องกันปัญหาการหลบเลี่ยงแอบแฝงเรื่องประโยชน์ทับซ้อน พยายามจะเขียนให้ลึกซึ้ง แต่ในการใช้งานต้องอิงตามบริบทคู่ขนานกันไป ที่สำคัญคือมองที่ประโยชน์สาธารณะเป็นสำคัญด้วย

“เพื่อให้การสอบสวนเรื่องนี้ เป็นไปโดยบริสุทธิ์ เป็นธรรม อย่าปล่อยให้หน่วยงานซึ่งมีความขัดแย้งกันอยู่แล้ว สอบสวนกันเองภายใน แม้ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไรก็ตาม มันก็ไม่น่าเชื่อถืออยู่ดี ดังนั้นองค์กรที่มีอำนาจหน้าที่ตรวจสอบอยู่แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องปัญหาการจัดซื้อจัดจ้าง เรื่องการใช้จ่ายเงิน หรือเรื่องความสุจริตในการใช้อำนาจหน้าที่อย่าง สตง. และ ป.ป.ช. สามารถจะเข้ามาตรวจสอบได้อยู่แล้ว ไม่ต้องรอใครไปร้อง”

พิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส

อดีตผู้ว่าฯ สตง. ยังฝากไว้ว่า คำสั่งที่จะให้ข้าราชการคนหนึ่งพ้นจากราชการเป็นคำสั่งทางปกครอง โดยหลักการต้องเป็นคำสั่งที่ยืนอยู่บนพื้นฐานของความเป็นธรรมความสุจริตเป็นที่ตั้ง หรืออย่างในหลักการทางการเมืองก็ยิ่งต้องให้ความเป็นธรรม เพราะว่าการเมืองนั้นจะต้องอยู่บนความสุจริต และธรรมาภิบาลถึงจะปกครองข้าราชการได้

มุมมองของ ทพ.วิรัตน์ เอื้องพูลสวัสดิ์ อดีตผู้อำนวยการ สปสช. เขต 13 กรุงเทพมหานคร ซึ่งอยู่ในช่วงการปฏิบัติภารกิจบุกกรุงของแพทย์ชนบท ยังเสนอความเห็นที่น่าสนใจโดยยกประเด็น ระบบธรรมาภิบาลแบบมีส่วนร่วมของประชาชน เพราะเวลาพูดถึงคำว่าธรรมาภิบาล หรือนิติธรรม ดูจะเป็นคำพูดลอย ๆ ขึ้นมา ซึ่งการจะฟันธงว่าการมี ธรรมาภิบาล หรือไม่มีธรรมาภิบาล ก็จะกระทำโดยคณะหรือ องค์กรขนาดเล็ก ซึ่งเรื่องที่หมิ่นเหม่ จะต้องใช้กลไกการมีส่วนร่วมในวงใหญ่เพื่อตัดสินใจ

“เพราะการตัดสินใจโดยคนเพียง 5 คน ดูไม่ค่อยสมเหตุสมผล และมีโอกาสถูกครอบงำโดยนักการเมือง พรรคการเมือง หรือผู้มีอำนาจ อื่น ๆ ดังนั้นตอนนี้ถึงเวลาที่เราจะต้องมาช่วยกันดำเนินการ เพื่อทำให้การเมืองภาคประชาชน และการตรวจสอบอย่างมีส่วนร่วมเข้มแข็ง”

ทพ.วิรัตน์ เอื้องพูลสวัสดิ์

ท้ายที่สุดเรื่องนี้อาจไม่ใช่เพียงการตรวจสอบหมอคนหนึ่ง แต่กลายเป็นกระจกที่สะท้อนคำถามใหญ่ของสังคม ว่าเราจะปล่อยให้ระบบราชการไทยถูกกำกับด้วยอำนาจที่มองไม่เห็นต่อไป หรือสังคมจะลุกขึ้นมาปกป้อง ธรรมาภิบาล ที่เป็นรากฐานของประชาธิปไตย และชีวิตผู้คน บนพื้นฐานของความโปร่งใส ยุติธรรม และความรับผิดชอบ