“ในบทสนทนาเรื่องเพศ ร่างกายเป็นพื้นที่ปะทะสังสรรค์ทางอำนาจเสมอมา ไม่ว่าจะเป็นร่างกายโดยกำเนิด ร่างกายที่เรากำหนด หรือแม้กระทั่งร่างกายที่พ้นไปจากบรรทัดฐานชาย-หญิง”
คำโปรยของกิจกรรมการบรรยายเรื่อง “ร่างกาย เควียร์ และการขัดขืน”
H0M0HAUS 2025 เป็นงานเทศกาลศิลปะการแสดงเพื่อความหลากหลาย เปิดพื้นที่ให้คนทุกเพศได้มาเรียนรู้และการรับรู้เรื่องราวบทสนทนาของเควียร์-เฟมินิสต์ และต่อต้านปิตาธิปไตย ผ่านศิลปะการแสดงที่ใช้ร่างกายเป็นเครื่องมือเล่าเรื่อง
แน่นอนว่าร่างกายมนุษย์เป็นส่วนสำคัญในกระบวนการต่าง ๆ ทั้งใช้เพื่อขับเคลื่อนชีวิต แม้แต่มิติของการแสดงเอง ก็มีการใช้ร่างกายสื่อความ และถ่ายทอดสารที่ต้องการจะสื่อ นอกจากนี้ ร่างกายยังเป็นหนึ่งในพื้นที่ทางการเมือง เป็นพื้นที่ปะทะของอำนาจ
โดยเฉพาะในเรื่องเพศที่ไม่ได้อยู่ในกรอบมาตรฐานของสังคม ทั้งการถูกนิยาม-แปะป้าย ถูกกดทับโดยอำนาจ หรือแม้แต่ความพยายามต่อต้านสิ่งที่พบเจอผ่านการใช้ร่างกายเป็นเครื่องมือ
The Active ชวนสำรวจร่างกายผ่านมุมมองด้านเควียร์ เฟมินิสต์ และร่างกายศึกษา จากเลคเชอร์ “ร่างกาย เควียร์ และการขัดขืน” โดย ณัฐกานต์ สีสังข์ อาจารย์ประจำสาขาวิชาภาษาอังกฤษ คณะศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน ย้อนมองกันว่าร่างกายของเราเป็นอย่างไร ? ถูกกดทับด้วยอำนาจ หรือ มีความรู้สึกอะไรเกิดขึ้น และจะขัดขืนต่ออำนาจนั้นอย่างไรได้บ้าง ที่อธิบายผ่านการแสดงในเทศกาล H0M0HAUS 2025

ณัฐกานต์ สีสังข์ อาจารย์ประจำสาขาวิชาภาษาอังกฤษ คณะศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน (ภาพ : sisiwat / H0M0HAUS)
ณัฐกานต์ เริ่มต้นอธิบายที่มาที่ไปของหัวข้อการบรรยายในครั้งนี้ว่า เกิดจากการได้ชมละครทั้ง 3 เรื่องในงานเทศกาล ได้แก่ in the minor of everything, Vessel Unbound และ Vase of Possibilities พบว่า ตัวเองมีความรู้สึกกับการแสดงมาก โดยเขามองว่าการที่ละครทั้ง 3 เรื่อง ไม่ได้ตรงตามมาตรฐานความรักแบบต่างเพศ (ชาย-หญิง) จึงเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการเมือง และตั้งคำถามว่าละครเหล่านี้ขัดขืนผ่านร่างกายอย่างไรบ้าง
“ศิลปะและกระบวนการสร้างงานศิลปะที่ได้ดูไป เป็นกระบวนการ เบี่ยงเบน จากเส้นตรงและมาตรฐานจากคู่รักต่างเพศ จึงเป็นเรื่องการเมืองด้วยตัวเอง…และหากร่างกายเป็นการเมือง คำถามคือ เราจะสามารถอ่านการแสดงเหล่านี้ในฐานะศิลปะเควียร์แห่งการขัดขืนผ่านร่างกาย (Bodily Resistance) ได้อย่างไรบ้าง”
ณัฐกานต์ สีสังข์
ทวิลักษณ์ : จากแนวคิดคู่ตรงข้าม สู่การมองร่างกายที่หยุดนิ่ง
จุดเริ่มต้นอาจต้องเล่าย้อนไปถึงยุคฟื้นฟูศิลปะทางวิทยา (The Renaissance) ที่ผู้คนหันกลับไปศึกษางานเขียนและงานปรัชญาในยุคคลาสสิก (The Classical) มีการตั้งคำถามถึงความเป็นมนุษย์แทนที่จะเป็นเรื่องศาสนาเหมือนแต่ก่อน นำไปสู่ยุครู้แจ้งทางปัญญา (The Enlightenment) ที่เสนอแนวคิดการแบ่งจิตและกายแยกออกจากกัน โดยการมองว่าจิตมีพลังอำนาจมากกว่า (ดังประโยคที่ว่า “จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว”) เช่น มีพลังในการสร้างสรรค์ สร้างการดำรงอยู่ได้ เป็นจุดกำเนิดของอารมณ์ ความรู้สึก และอัตลักษณ์ของบุคคล (เหมือนที่ เรอเน เดการ์ต (René Descartes) กล่าวไว้ว่า “ฉันคิด ฉันจึงมีอยู่ (I think; therefore, I am)” สามารถปรุงแต่งความสุข-ทุกข์ได้ มีพลังในการเปลี่ยนแปลง ต่างจากกายที่เป็นสถาวะไร้ซึ่งพลัง ถูกควบคุม เราบังคับไม่ได้ เช่น ความหิวโหย
แนวคิดทวินิยมในเรื่องของกาย-จิตนี้ นำไปสู่แนวคิดทวินิยมอื่น ๆ ของการมองตู่ตรงข้ามที่ฝังรากลึกในสังคม เช่น แนวคิดชาย-หญิง ซึ่งแนวคิดดังกล่าวยังมีหลายจุดที่เป็นปัญหา เช่น
- อำนาจที่ไม่เท่ากันของคู่ตรงข้าม ตัวอย่างเช่น การแบ่งชาย-หญิง จะพบว่ามีฝั่งที่อยู่เหนือกว่า (ชาย) และอีกฝั่งที่ถูกกดทับ (หญิง)
- การมองข้ามหรือมองไม่เห็นความพร่าเลือนระหว่างเส้นแบ่ง เช่น การมองไม่เห็นความเป็นชายในความเป็นหญิง หรือในทางกลับกัน มองไม่เห็นความเป็นหญิงในความเป็นชาย หรือในตัวอย่างของกาย-จิต ก็คือการมองข้ามว่า การทำงานของจิตก็อาจต้องอาศัยร่างกาย
- รวมไปถึงการมองร่างกายเป็นสารัตถะที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ (Essentialism) ซึ่งนำไปสู่การมองอัตลักษณ์ที่คงที่ หยุดนิ่ง ไม่เปลี่ยนแปลง เช่น เพศ ชนชั้น หรือเชื้อชาติ
ร่างกาย : ไม่แน่นิ่ง ประกอบสร้าง ลื่นไหล ไม่เป็นเส้นตรง และเป็นเควียร์
แม้แนวคิดทวิลักษณ์นำมาสู่การมองว่าร่างกายเป็นสารัตถะ อยู่นิ่ง ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ แต่จากการศึกษาด้านร่างกายศึกษา (Body studies) กลับสะท้อนให้เห็นว่า ร่างกายเป็นสิ่งที่ไม่แน่นิ่ง รวมถึงถูกประกอบสร้างจากบริบทของสังคมและวัฒนธรรม (Constructionism) เช่นเดียวกับ อัตลักษณ์ของมนุษย์ที่มาจากการนิยามและถูกรับรู้ผ่านบริบทของสังคมเช่นกัน
ตัวอย่างเช่น ซีโมน เดอ โบวัวร์ (Simone de Beauvoir) ที่กล่าวว่า “คนไม่ได้เกิดมาเป็นผู้หญิง หากแต่กลายเป็นผู้หญิง (One is not born, but rather, becomes a woman)” สะท้อนให้เห็นการประกอบสร้างและนิยามความเป็นผู้หญิงจากสังคม เช่น การที่พ่อแม่ให้เด็กเล่นตุ๊กตา ก็เป็นหนึ่งในการประกอบสร้างทางสังคมที่เกี่ยวโยงกับเพศสถานะ
หรือ เอลิซาเบธ สเปลแมน (Elizabeth Spelman) ที่กล่าวถึงการถูกกำหนดความเป็นหญิงจากสังคมว่า “ผู้หญิงถูกนำเสนอว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่ผูกติดกับร่างกายโดยธรรมชาติ (Woman has been portrayed as essentially a bodily being)” ด้วยการมีลักษณะที่เกี่ยวข้องกับร่างกายที่ชัดเจนกว่าผู้ชาย เช่น ประจำเดือน ฮอร์โมน (ที่มักถูกเข้าใจว่าส่งผลต่ออารมณ์และพฤติกรรม) ในขณะที่เพศชายถูกมองว่าผูกติดกับด้านจิตใจ-เหตุผลมากกว่า
อีกหนึ่งแนวคิดที่คัดค้านแนวคิดร่างกายไม่เปลี่ยนแปลง คือ การมองว่า ร่างกายลื่นไหล ในฐานะสิ่งที่ไม่สามารถให้ความหมายแบบเฉพาะเจาะจงได้ (Indeterminism) รวมถึงการมองร่างกายเป็นกระบวนการ (สนใจมากกว่าผลลัพธ์) เพื่อเปิดศักยภาพของร่างกาย เช่น การเปลี่ยนจากการมองว่าร่างกาย “มี” และ “เป็น” อะไรบ้าง เป็นร่างกาย “ทำ” และ “กลายเป็น” อะไรได้บ้าง อย่างที่ ลิซ่า แบลคแมน (Lisa Blackman) ระบุไว้ในหนังสือ The Body: The Key Concepts
“เปลี่ยนการจากมองว่าร่างกายเป็นผ้าใบสีขาว ต้องมีสีมาป้าย เป็นการมองว่าร่างกายมีศักยภาพที่จะกระทำอะไร และกลายเป็นอะไร”
ณัฐกานต์ สีสังข์
ขณะเดียวกัน ร่างกายก็เป็น เควียร์ ด้วยตัวมันเองเช่นกัน เมื่อลักษณะสำคัญในนิยามของเควียร์ คือ ความไม่แน่นอน (Indeterminacy) และความยืดหยุ่น (Elasticity) และคำว่า เควียร์ ยังมีความหมายที่ไม่คงตัว เพราะเปิดรับให้กับคำนิยามใหม่ ๆ เสมอ ดังนั้นเมื่อเควียร์ รวมกับร่างกายศึกษา (ที่สะท้อนว่าร่างกายไม่หยุดนิ่ง) จึงทำให้ร่างกายเป็นเควียร์โดยตัวมันเอง และเมื่อร่างกายมีความไม่แน่นอน จึงนำไปสู่ความไม่แน่นอนของอัตลักษณ์และนิยามทางเพศ
ณัฐกานต์ ยังเล่าถึงปรากฏการณ์วิทยา ที่สนใจทิศทางที่ส่งผลต่อการการประกอบสร้างร่างกาย โดยอ้างอิงถึง ซารา อาเหม็ด (Sarah Ahmed) ที่ระบุว่า ร่างกายมนุษย์ทั่วไปมักถูกทำให้เป็นเส้นตรง ผ่านการหันหน้าเข้าหาวัตถุเส้นตรง ทั้งที่จับต้องได้หรือจับต้องไม่ได้ อย่างความคิดที่อยู่บนกรอบมาตรฐานแบบต่างเพศ ในที่นี้ละครทำให้เห็นว่าร่างกาย ไม่ได้เป็นเส้นตรง ร่างกายที่เป็นเควียร์อาจไม่ได้หันเข้าหาวัตถุที่เป็นลักษณะของความสัมพันธ์ต่างเพศ เช่น ความสัมพันธ์ของเลสเบี้ยน
หากกลับมาพิจารณาที่ละคร ก็จะพบว่า ได้สะท้อนนิยามร่างกายตามที่กล่าวมาข้างต้น (ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่สามารถพบเจอได้ในชีวิตจริงเช่นกัน) เช่น การถูกประกอบสร้างจากการที่สังคมกำหนดว่าขนาดร่างกายในอุดมคติของผู้หญิงต้องมีขนาดสัดส่วนเท่าไร และละครยังแสดงให้ถึง ปฏิบัติการโต้กลับ ในลักษณะของการให้นิยามใหม่ เช่น การไม่ยอมรับว่าขนาดร่างกายในอุดมคติของผู้หญิงต้องเป็นไปตามที่สังคมกำหนด การไม่ได้เป็นไปตามมาตรฐานของความสัมพันธ์รักต่างเพศ รวมถึงเผยให้เห็นร่างกายในฐานะกระบวนการประกอบสร้างที่ไม่หยุดนิ่ง ซึ่งสะท้อนให้เห็นความเป็นไปได้ใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้น

อารมณ์ของเควียร์ : มีสุข ไม่ละเลยทุกข์
แน่นอนว่าถ้าพูดถึงการแสดง สิ่งหนึ่งที่จะขาดไปไม่ได้เลย คือ อารมณ์ของตัวละครที่นิยามว่าตัวเองเป็นเควียร์ ซึ่งจะพบว่า มีทั้งด้านสุขและเศร้า
ความสุขและความปิติ เช่น ความสุขจากความไม่สมบูรณ์แบบ ความประชิดและปรารถนาแบบเควียร์ (ในละครคือตัวละครที่เป็นเลสเบี้ยน ต้องการเข้าใกล้หญิงที่ตัวเองปรารถนา)
อย่างไรก็ตาม ณัฐกานต์ มองว่า ไม่ควรสนใจแค่อารมณ์ด้านบวกอย่างเดียว แต่ควรสนใจไปที่อารมณ์เชิงลบที่เกิดขึ้นด้วย แสดงถึงการคัดง้างกับแนวคิดเรื่อง Pride (ความภูมิใจ) ที่มีอยู่ เพื่อไม่ให้ละเลยเรื่องราวของประวัติศาสตร์บาดแผล ที่เควียร์ต้องเผชิญจากความไม่เข้าใจ-ความเกลียดกลัว เช่น การสูญเสียตัวตน การถูกตัดสินหรือถูกกำหนดโดยสังคม ความไม่เข้าใจ รวมไปถึงเรื่องราวจากความสัมพันธ์ในครอบครัว ความเจ็บป่วยที่ต้องเผชิญ
ความรู้สึกด้านลบนี้ ในสังคมอาจพบได้ในลักษณะของการแบ่งปันเรื่องราวและเป็นโครงข่าย งานวิจัยของ ผศ.ชัยรัตน์ พลมุข อาจารย์ภาควิชาภาษาไทย คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้สำรวจนิตยสารเกย์และเลสเบี้ยนในไทย พบว่า มีบทประพันธ์และกวีนิพนธ์เป็นจำนวนมาก ที่เป็นการบอกเล่าประสบการณ์การถูกกีดกัน หรือประวัติศาสตร์บาดแผล เหมือนเป็นโครงข่ายความสัมพันธ์ทางความรู้สึกของเควียร์
ความอึดอัด : เกิดขึ้น ตั้งคำถาม และเปลี่ยนแปลง
ณัฐกานต์ ยังสะท้อนให้เห็นว่า หนึ่งในความรู้สึกที่เกิดขึ้นระหว่างดูละครคือ “อึดอัด” ซึ่งเมื่อเกิดความรู้สึกนี้ขึ้น ก็พยายามหาคำตอบว่า “ทำไมถึงรู้สึกอึดอัด”
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ ณัฐกานต์ เคยพบเจอความรู้สึกอึดอัดเกี่ยวกับประเด็นเรื่องเพศ เขายกตัวอย่างจากการเรียนการสอนในรั้วมหาวิทยาลัย เมื่อมีนักศึกษาชายคนหนึ่งมีความคิดเห็นต่อวิชาที่ณัฐกานต์เป็นผู้สอน ว่า “อาจารย์ให้ศึกษาแต่งานเขียนของนักเขียนหญิง ทำให้ตัวเขารู้สึกอึดอัด” เขาเน้นย้ำว่า ความรู้สึกอึดอัดที่เกิดขึ้นนี้ควรนำไปสู่การตั้งคำถาม (ทั้งความรู้สึกของเขาและของตัวนิสิตเอง) ว่า ทำไมถึงเกิดความรู้สึกนี้ขึ้น เพราะก่อนหน้านี้เรายืนอยู่บนสิ่งที่ให้สิทธิพิเศษ (privilege) แก่เรามาโดยตลอดหรือไม่ (เช่น การเป็นผู้ชาย) พอได้เจออะไรใหม่ที่ไม่เหมือนเดิมเลยทำให้เรารู้สึกอึดอัดใช่หรือไม่ และอาจารย์ยังเน้นย้ำว่า เมื่อเราตั้งคำถามแล้ว ก็ควรนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงตามมา เช่น การตระหนักรู้ถึงความหลากหลาย
“เหมือนการนั่งบนโซฟาที่ไม่พอดี อึดอัด ทั้งที่ก่อนหน้านี้นั่งบนโซฟาที่สบายมาตลอด ซึ่งเราก็ควรตั้งคำถามว่าความอึดอัดนี้มาจากอะไร มาจากการที่ร่างกายถูกทำให้เป็นเส้นตรงตลอดเวลาหรือไม่”
ณัฐกานต์ สีสังข์
บทส่งท้าย : เมื่อการเมืองของเควียร์คือการเมืองเรื่องพื้นที่ การสร้างพื้นที่ปลอดภัยจึงสำคัญ
ณัฐกานต์ ทิ้งท้ายการเลคเชอร์ว่า “การเมืองของเควียร์ คือการเมืองเรื่องพื้นที่” ดังจะเห็นได้ว่า ความเป็นเควียร์นั้นเกี่ยวโยงกับความเป็นพื้นที่ เช่น การสร้างพื้นที่ที่เป็นมิตรกับกลุ่มเควียร์ การเปิดพื้นที่ที่ก่อนหน้านี้เคยกีดกัน-ไม่ได้ต้อนรับเควียร์ เช่น ในมิติของศาสนาที่อาจจะต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ระหว่างการเป็นเควียร์หรือการนับถือศาสนาต่อไป
เมื่อความเป็นเควียร์ข้องเกี่ยวกับความเป็นพื้นที่ การสร้างพื้นที่ปลอดภัยจึงเป็นเรื่องสำคัญ เทศกาลการแสดง H0M0HAUS 2025 นี้ จึงไม่ได้ทำหน้าที่แค่จัดการแสดงหรือละครเท่านั้น แต่ยังสร้างพื้นที่ของการอยู่ร่วมของกลุ่มเพศหลากหลาย สร้างการเกี่ยวดองแบบเควียร์ (Queer Kinship) เปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมได้พบเจอ ตั้งคำถาม และแลกเปลี่ยนเรื่องราวของเควียร์ในมิติต่าง ๆ มากกว่ามิติของศิลปะการแสดง แต่ยังรวมไปถึงการสร้างพื้นที่ถกเถียงถึงนิยามความเป็นเควียร์ในมิติต่าง ๆ และสร้างพื้นที่ปลอดภัยให้แก่กลุ่มเควียร์ด้วยกันเองด้วย