“แม้ปราศจากเวทย์มนตร์ เด็กทุกคนก็มีพลังเวทย์เป็นของตัวเอง
นั่นคือจินตนาการอันไร้ขีดจำกัดของพวกเขา”
โบว์ขาว กระดาษเปล่า และสามนิ้ว เคยเป็นภาพจำของการเคลื่อนไหวทางสังคมช่วงปี 2563–2565 ที่ นิสิต นักศึกษา และประชาชนกลุ่มคนรุ่นใหม่จำนวนมากลุกขึ้นมาแสดงออก หนึ่งในนั้นคือขบวนการของ นักเรียน ทั้งเด็กและเยาวชนที่ยังอยู่และไม่อยู่ในเครื่องแบบ แต่ต่าง ผูกโบว์ขาว ที่ผม หรือกระเป๋านักเรียน ถ่ายรูปติด #โบว์ขาวต้านเผด็จการ เพื่อต่อต้านอำนาจนิยมที่กดทับอยู่ในโรงเรียน
ภาพเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่าสังคมไทยในเวลานั้น ยังคงปิดกั้นเสรีภาพ และไม่อนุญาตให้เยาวชนตั้งคำถามกับโลกที่พวกเขาอาศัยอยู่

ขบวนการนักเรียนที่โดดเด่นที่สุดในยุคนั้นคือ นักเรียนเลว กลุ่มที่นิยามตัวเองว่า เป็นผลผลิตที่ผิดพลาดจากการศึกษาที่แสนดี และกลายเป็นหัวหอกสำคัญในการชวนเยาวชนทั้งประเทศลุกขึ้นมาตั้งคำถามต่อสิทธิเหนือเนื้อตัวร่างกาย ตั้งคำถามถึงกฎระเบียบในโรงเรียน เชื่อมั่นในพลังสิทธิมนุษยชน และต่อต้านอำนาจนิยมและเผด็จการ
แม้ปัจจุบันบางกฎระเบียบ กติกาหลายอย่างจะผ่อนคลายลงไปบ้าง แต่การใช้ อำนาจนิยมในโรงเรียน ก็ยังปรากฏอยู่ การตระหนักรู้เรื่องสิทธิในเนื้อตัวร่างกายกลับจางหายไปตามกระแสที่เงียบลง การเคลื่อนไหวด้วยวิธีเดิม ๆ ดูเหมือนจะไม่เพียงพออีกต่อไป
หนึ่งในอดีตแกนนำนักเรียนเลว คือ มิน – ลภนพัฒน์ หวังไพสิฐ วันนี้เขาเติบโตขึ้น และก้าวเข้าสู่บทบาทใหม่ในฐานะผู้กำกับละครเวที Ribbon Club the musical ชมรมลับโรงเรียนเวท ภายใต้คณะละคร Hope Theatre ที่ตั้งใจใช้ศิลปะการละคร และเสน่ห์ของมิวสิคัลตั้งคำถามต่อสังคม แม้รูปแบบการสื่อสารจะเปลี่ยนไป แต่การเฝ้าเค้นถามต่อผู้มีอำนาจในสังคม ยังคงปรากฎผ่านลายเส้น และเรื่องเล่าของมิน

โบว์สีขาว คนสีดำ ใครกำหนด ?
ในโลกแห่งเวทมนตร์ เวทมนตร์ คือทุกสิ่ง ทั้งเกียรติยศ ศักดิ์ศรี ความยิ่งใหญ่ รวมถึงอดีต ปัจจุบัน และอนาคต อะไรก็ตามที่ไม่เกี่ยวข้องกับเวทมนตร์จึงถูกมองว่าไร้ค่า เยาวชนทุกคนถูกคาดหวังให้เติบโตขึ้นเป็นผู้ใช้เวทมนตร์ที่สมบูรณ์แบบและน่าภาคภูมิ
ณ อาณาจักรวิลันดา ดินแดนแห่งเวทมนตร์ในโลกที่สาม มีคำทำนายว่าจะเกิดเภทภัยทำลายล้างเมือง จอมเวทกลุ่มหนึ่งจึงร่ายคาถาใส่ต้นไม้ใหญ่กลางอาณาจักรที่ทำหน้าที่ปกปักษ์รักษาอาณาจักรนี้ให้รอดพ้นจากคำทำนาย โดยขนานนามต้นไม้นี้ว่า ต้นแห่งจิตวิญญาณมนตรา และมีเงื่อนไขว่าชาววิลันดาทุกคนต้องใช้เวทมนตร์ทุกวันเพื่อเติมพลังให้ต้นไม้นี้ เยาวชนในดินแดนนี้จึงถูกพร่ำสอนให้เป็นนักเรียนเวทมนตร์ที่ดี
ใน โรงเรียนเวทพิพัฒน์ศึกษา สถานศึกษาเวทมนตร์ที่สมบูรณ์แบบ กลับมีการเคลื่อนไหวเกิดขึ้นอย่างเงียบงัน จินนี่ นักเรียนดีเด่นของโรงเรียน ลุกขึ้นก่อตั้ง ชมรมลับ ชวนเพื่อน ๆ มารวมตัวกันหลังเลิกเรียน เพื่อพูดคุย ตั้งคำถาม และวิพากษ์สิ่งที่โรงเรียนกำลังพยายามหล่อหลอมให้พวกเขาเป็น
เสียงกระซิบในชมรมลับเริ่มสั่นคลอนภาพลักษณ์อันสมบูรณ์แบบของโรงเรียน จนผู้อำนวยการตัดสินใจส่ง ครูพฤกษ์ ลูกชายของตนให้ไปสืบต้นตอของความวุ่นวายที่กำลังก่อตัวขึ้น เพื่อให้การสืบค้นเป็นไปอย่างแนบเนียน ครูพฤกษ์ จึงร่ายเวทเพื่อเปลี่ยนตัวเองกลับไปเป็นเด็กนักเรียนอายุ 17 ปี แทรกซึมเข้าไปในห้องชมรมลับที่มีกลุ่มนักเรียนรวมตัวกันอยู่
“เธอล่ะชอบสีอะไร ?” นี่คือคำถามที่จินนี่จะทดสอบกับบรรดาสมาชิกใหม่ที่เพิ่งสมัครเข้ามา ก่อนที่จะมอบโบว์สีตามคำตอบ สำหรับครูพฤกษ์ที่ปลอมตัวเข้ามา เมื่อเจอคำถามนี้เข้าไป กลับลังเลที่จะตอบได้อย่างชัดเจน สำหรับคนเป็นครูที่เนี้ยบเป๊ะอย่างเขา เชื่อมาตลอดว่า สีขาว หรือสีของโบว์ประจำโรงเรียนเวทพิพัฒน์ คือ สีที่ดีที่สุด แต่สำหรับตัวเขาเองล่ะ…ถ้าไม่ต้องสนใจกฎแล้ว “เขาชื่นชอบสีอะไรกันแน่ ?”

เช่นเดียวกันกับเด็กนักเรียนอีกหลายคนที่ไม่เคยถามกับตัวเองว่า ชอบโบว์สีขาวที่ตัวเองผูกอยู่หรือไม่ ?
มิน อธิบายพลอตเรื่อง ก่อนออกตัวว่ามันก็อาจจะคล้าย ๆ กับเรื่องราวของประเทศแถว ๆ นี้ ดินแดนที่ ความดี ถูกกำหนดโดยผู้มีอำนาจ และใครที่ตั้งคำถามถึงความดี จะถูกตีตราว่าเป็นผู้ฝักใฝ่ความชั่ว ในฐานะผู้กำกับละครเวที จึงหวังให้ละครเวทีเรื่องนี้เป็นพื้นที่ที่ทำให้คนดูไม่ว่าจะอยู่ในช่วงวัยไหน ได้ย้อนย้อนกลับไปสำรวจตัวเองด้วยว่า ชีวิตเรานั้นเคยเป็นคนที่ตั้งคำถามกับสังคมนี้หรือไม่ ? หรือเคยถูกตั้งคำถามจากคนอื่นหรือไม่ ? หรือบางทีไม่เคยตั้งคำถามกับอะไรเลยก็เป็นไปได้
แล้ว ‘การศึกษา’ คือ อะไร ?
“เรารู้สึกว่าการศึกษาคือสิ่งที่ทำให้คนหนึ่ง รู้จักตัวเอง เข้าใจว่าเราเป็นใคร ยืนอยู่ตรงไหนบนโลกใบนี้ จุดยืนของเราคืออะไร มนุษย์มันซับซ้อน และเรามีเวลาไม่มากนักในชีวิต การศึกษาไม่ควรเป็นแค่การยัดความรู้ใส่หัว แต่ควรเป็นกระบวนการที่ช่วยให้เราได้ค้นหาตัวเองจริง ๆ“
“ในอุดมคติ การศึกษาควรช่วยให้เราพาตัวเองไปอยู่ในที่ที่เหมาะสม ที่ที่ทำให้เราได้เป็นตัวของตัวเอง ภูมิใจในสิ่งที่ทำ และสร้างประโยชน์ให้กับคนรอบข้างแบบนิด ๆ หน่อย ๆ แต่ระบบที่เป็นอยู่กลับทำงานตรงข้าม มันเหมือนมีบล็อกสำเร็จรูปวางไว้ แล้วหาคนมาเติมเต็ม มองเด็กเป็นสินค้า เป็นวัตถุดิบ ที่ต้องปั้นให้เป็นไปตามแบบที่รัฐหรือสังคมต้องการ มากกว่าจะมองว่าเด็กควรได้ค้นหาตัวตนของตัวเอง“
มิน ให้คำอธิบาย
ประเด็นเดิม การสื่อสารเปลี่ยน คนฟังเปิดใจขึ้น
นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้ มิน ยอมรับเลยว่า ประเด็นการสื่อสารตั้งแต่ตอนที่เคลื่อนไหว กับตอนนี้ยังเป็นเรื่องเดิม พูดเรื่องนี้ซ้ำมาจนบางทีเบื่อตัวเองเหมือนกัน แต่สิ่งที่เปลี่ยนคือวิธีสื่อสารมากกว่า เมื่อก่อนต้องพูดตรง ๆ ผ่านการประท้วง หรือโพสต์โซเชียล แต่ตอนนี้ก็หันมาเล่าเรื่องเดิมผ่านละคร เป้าหมายยังเหมือนเดิม เพียงแต่การสื่อสารต้องปรับให้เข้ากับสถานการณ์และช่วงเวลา รู้สึกว่า ถ้าเราแค่พูดตรง ๆ เช่น เรื่องการตั้งคำถาม เรื่องการค้นหาตัวเอง บางทีมันอาจไม่เข้าถึงคนฟัง แต่พอทำเป็นละคร คนกลับสนใจมากขึ้น คนที่ไม่เคยฟัง ก็พร้อมเปิดใจรับฟัง เลยมองว่านี่คือการทำงานอีกแบบที่เราต้องทำควบคู่ไปกับการเคลื่อนไหว
“ในประเทศที่การพูดอย่างตรงไปตรงมาเป็นเรื่องยาก
ศิลปะจึงเป็นพื้นที่ ที่ทำให้เราได้พูดในสิ่งที่ต้องการได้”
มิน ย้อนเรื่องราวในช่วงการเคลื่อนไหว ว่าหากใครได้ติดตามจะเห็นสิ่งที่พวกเราสื่อสาร โดยเฉพาะในเรื่องเกี่ยวกับ ทรงผมนักเรียน อยู่ตลอด ๆ ซึ่งหลายคนก็จะถามว่า ทำไม ? จะต้องเอาจริงเอาจังกับเรื่องเล็ก ๆ แค่นี้ คำตอบมันก็ง่ายนิดเดียว เพราะเราเจอปัญหานี้มากับตัวเอง เรื่องทรงผมดูเป็นเรื่องเล็ก ๆ เหมือนไม่สำคัญ แค่ตัดผมตามกฎก็จบ แต่สำหรับเรา มันสะท้อนว่า แม้แต่เรื่องเล็ก ๆ เกี่ยวกับร่างกายตัวเอง เรายังไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจเลย แล้วเรื่องที่ใหญ่กว่านี้ล่ะ ? เรื่องสิทธิเสรีภาพในระดับสังคมล่ะ ?
“ถ้าเรายอมให้เรื่องเล็ก ๆ ถูกมองข้าม เรื่องใหญ่กว่านี้ที่ส่งผลต่อชีวิตของเด็กก็จะถูกมองข้ามง่ายขึ้นเรื่อย ๆ เช่นกัน”มิน ขยายความ

กรณีไฟไหม้รถบัสทัศนศึกษา (1 ต.ค. 67) เป็นหนึ่งในตัวอย่างที่สะท้อนถึงสิทธิเด็กและความปลอดภัยของเยาวชนถูกมองข้าม
ละครเวที…ศิลปะที่มาพร้อมพลังการสื่อสาร
แล้วทำไม ? ต้องเปลี่ยนการสื่อสารมาใช้ละครเวที มิน สารภาพเลยว่า นี่เป็นอีกวิธีหนึ่งของการสื่อสารประเด็นที่เราอยากพูดออกไป ละครเวทีเป็นพื้นที่ที่ทำให้เราได้ถ่ายทอดเรื่องราวในแบบที่ไม่เหมือนกับการพูดตรง ๆ เหมือนการแถลงข่าวหรือการประท้วง การสื่อสารผ่านศิลปะมันต่างออกไป มันมีพลังบางอย่างที่ทำให้คนดูรับสารแล้วเกิดความรู้สึกบางอย่างที่ลึกกว่า จึงสนใจตรงนี้มาตลอด
“จริง ๆ แล้วที่ผ่านมาเราไม่ได้ทำละครเวทีแบบ Full-scale มาก่อน แต่เรามักพยายามสอดแทรกองค์ประกอบของศิลปะการละครเข้าไปในงานเคลื่อนไหวต่าง ๆ เช่น การประท้วง การแสดงเชิงสัญลักษณ์ พวก Performance นิด ๆ หน่อย ๆ ถ้าใครตามจะเห็นว่าเราทำแนวนี้อยู่บ่อย ๆ เหมือนเป็นความชอบส่วนตัว เพียงแต่ยังไม่เคยทำแบบจริงจังซักที จนมาถึงวันนี้เรารู้สึกว่าถึงเวลาแล้วที่จะลองสร้างงานละครเวทีเต็มรูปแบบเรื่องแรก”
“เราอาจจะสังเกตได้ว่าคนทำงานเคลื่อนไหวหลาย ๆ กลุ่มก็มักจะหยิบเอาศิลปะมาเชื่อมกับงานเคลื่อนไหวอยู่แล้ว เพราะศิลปะเป็นภาษาที่ไม่ต้องพูดตรง ๆ มันสื่อสารผ่านร่างกาย เสียง ภาพ ความรู้สึกได้ ซึ่งในประเทศที่การพูดตรง ๆ เป็นเรื่องยาก การซ่อนข้อความไว้ในงานศิลปะก็ช่วยให้สารนั้นยังคงถูกส่งต่อไปได้ โดยไม่ถูกปิดกั้นอย่างตรงไปตรงมา บทเพลงและบทประพันธ์มันยังเปิดพื้นที่ให้คนดูตีความเอง ไม่ได้ยัดเยียดตัวสารแบบเอาไปจ่อหน้าเขา เรารู้สึกว่ามันทำให้คนดูคล้อยตาม ฉุกคิด และใคร่ครวญกับความคิดของเขาเองได้มากกว่าการเดินเข้าไปพูดแบบตรงไปตรงมา”
มิน เผยมุมมอง

แล้วทำไม ? ต้องเป็นโรงเรียนเวทมนตร์
“ตอนแรกเรารู้แค่ว่าอยากทำโชว์ที่ Setting อยู่ในโรงเรียน แต่ไม่อยากให้เป็นโรงเรียนแบบโลกจริง เพราะถ้าเป็นโรงเรียนธรรมดา เราก็ต้องใส่ชุดนักเรียนอีกแล้ว ซึ่งเราเบื่อภาพแบบนั้นมาก คนที่มาดูก็คงจะเบื่อด้วยเช่นกัน มันติดภาพแบบเดิม ๆ ที่เราสื่อสารมา เลยคิดว่าถ้าจะทำก็ควรสร้างโลกแฟนตาซีขึ้นมาใหม่ไปเลย เพื่อจะได้เล่าเรื่องในเชิงสัญลักษณ์มากขึ้น และความมหัศจรรย์ของเวทมนตร์ก็สอดรับได้ดีกับศิลปะการสื่อสารแบบละครมิวสิคัลด้วย”
“มันทำให้เราสามารถซ่อนข้อความที่อยากสื่อสารไว้ในโลกอีกใบหนึ่ง โดยไม่ได้พูดเรื่องจริงแบบตรง ๆ คนดูก็ต้องตีความกันเองว่าสิ่งใดในโลกของละครนั้น สะท้อนกับสิ่งใดในโลกความจริง”
มิน ให้คำตอบ
ในมิวสิคัล มีเพลงหนึ่งถูกแต่งขึ้นให้เป็นเพลงมาร์ชของโรงเรียนเวทพิพัฒน์ศึกษา ซึ่งก็ล้อมาจากเพลงมาร์ชจริงของโรงเรียนในประเทศไทย เนื้อหาระบุถึงความยิ่งใหญ่ มีเกียรติ น่าเชิดชู นักเรียนเวททุกคนจึงต้องประพฤติตนให้เหมาะสมกับเกียรติภูมินี้ มีกฎระเบียบที่ต้องนักเรียนรักษามากกว่าร้อย ๆ ข้อ เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการเป็น จอมเวทที่ดี และหากใครฝ่าฝืนหรือตั้งคำถามต่อกฎระเบียบนี้ จะต้องถูกลงโทษด้วยทัณฑ์ร้ายแรง

จับขัง และแขวนคอ ในคุกที่มืดดำ อดอาหารสามวันสี่คืน”
ทั้งนี้ ตัวละครหลัก ๆ ในเรื่องก็เป็นนักเรียนกับครู มีตัวละคร ผอ. ที่มีอำนาจสูงสุดอยู่ในเรื่องด้วย ส่วนตัวเราไม่ได้ตั้งใจจะทำให้ครูกับนักเรียนเป็นคู่ขัดแย้ง แต่กลับอยากให้เห็นว่าทั้งสองฝ่ายต่างก็มีเป้าหมายร่วมกัน ทุกคนอยากเห็นเด็กเติบโตอย่างดี แต่คำว่า ดี ของแต่ละฝ่ายไม่เหมือนกัน
ครูเติบโตมาในบริบทหนึ่ง เด็กก็เติบโตมาอีกแบบ เมื่อมุมมองไม่ตรงกัน ความขัดแย้งจึงเกิดขึ้น เกิดเป็นการตั้งกฎเกณฑ์ลงโทษ เกิดการแหกกฎและใช้ความรุนแรง พอเราสื่อสารกันด้วยวิธีการแบบอำนาจนิยม ผลผลิตที่ได้เราก็จะได้เด็กที่แก้ไขปัญหาด้วยวิธีการแบบที่ครูใช้ แต่เราอยากให้ละครเรื่องนี้ทำให้คนฉุกคิดว่า เราต่างเคยเด็กและไร้เดียงสา ในวันที่เรายังไม่ประสาต่อโลกนี้นัก เราก็หวังให้ผู้ใหญ่สักคน เข้าใจและรับฟังคำถามในใจ ไม่ใช่กวดขันและบังคับให้เชื่อฟัง“
“ต่อให้ครูกับนักเรียนเข้าใจกันได้ แต่ถ้าคนที่มีอำนาจนโยบายไม่เห็นด้วย
สุดท้ายระบบก็ไม่เปลี่ยนแปลงอยู่ดี”

ครูพฤกษ์ ตัดสินใจที่จะต่อต้านคำสั่งพ่อ และยืนอยู่ข้างนักเรียน
สังคมก้าวหน้า – เด็กรุ่นใหม่หันขวา วิธีสื่อสารเปลี่ยนไปไหม ?
“มันเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้เราตั้งคณะ Hope Theatre ขึ้นมา เราอยากขยายฐานคนฟัง อยากเข้าถึงคนที่ไม่เคยสนใจงานเคลื่อนไหวมาก่อน หลายคนที่มาดูละครไม่รู้จักเรามาก่อนเลย แค่คิดว่ามาดูละครโรงเล็ก คณะใหม่ ๆ แล้วพอเขาได้ฟังเรื่องราว เขาอาจจะฉุกคิดตาม นี่เป็นกลยุทธ์เพื่อให้สารของเราไปได้กว้างขึ้น ถามว่ากังวลไหม ? ก็กังวลนะ แต่เราทำได้แค่ทำหน้าที่ของเรา พูดในสิ่งที่เชื่อ ขับเคลื่อนในสิ่งที่อยากเห็นต่อไป แม้จะเป็นเสียงเล็ก ๆ ของสังคมก็ตาม”
“เราเห็นทุกวันนี้ สังคมโกรธและโบยตีเด็กหนักขึ้นทุกวัน เราเห็นเด็กคนหนึ่งผิดพลาดเราก็จะจับเขาเข้าคุกอย่างเดียว ใช้วิธีการขับไล่ไสส่ง ตัดโอกาสและทำลายอนาคต โดยไม่ฉุกคิดกันเลยว่าเด็กคนหนึ่งล้วนเติบโตมาในสังคมนี้ และเพราะสังคมนี้ที่ทำให้เขาเลือกตัดสินใจใช้ชีวิตเช่นนั้น เราว่าสังคมลืมไปว่าทุกคนก็เคยเป็นเด็กมาก่อน ไม่มีใครเกิดมาพร้อมวุฒิภาวะ เด็กไม่ได้เกิดมาเป็นปีศาจตั้งแต่แรก แต่ถูกหล่อหลอมจากการเลี้ยงดูและบริบทสังคมทั้งหมด”
มิน อธิบายความ
ในฐานะผู้กำกับ มิน มองว่า สิ่งหนึ่วงที่สะท้อนชัดเจน คือ ถ้าไม่แก้ปัญหาที่ต้นตอ เราจะเจอ เด็กคนนั้น, ปีศาจตัวเดิม ๆ ตัวนั้น โผล่มาเรื่อย ๆ เพราะเรามัวแต่ประชาทัณฑ์ มัวแต่ไล่สาปแช่งกันที่ปลายเหตุ ไม่เคยถามว่าอะไรทำให้เด็กคนหนึ่งเติบโตมาแบบนั้น ทั้งที่เรามีทั้งวิทยาศาสตร์ จิตวิทยา และการแพทย์ที่ยืนยันว่าความเป็นปีศาจ มันไม่ได้เกี่ยวกับสายเลือดหรือดีเอ็นเอ แต่มันคือผลของการเลี้ยงดูและสภาพแวดล้อมทั้งหมด และสังคมแบบใดกันล่ะที่สร้างปีศาจเหล่านี้ขึ้นมา

เพียงเพราะเขาเป็นเด็กที่เรียนหนังสือไม่เก่งและครอบครัวฐานะไม่ดี
ก้าวต่อไปของ ‘นักเรียนเลว’ และ ‘Hope Theatre’ ต่อจากนี้
มิน บอกอย่างภูมิใจ ว่า สำหรับคณะละคร Hope Theatre นี้ก่อตั้งขึ้นมาเพื่อทำเรื่องนี้เป็นเรื่องแรก และรู้สึกว่าประสบความสำเร็จมาก ทั้งในแง่ความสนใจของผู้ชม และการได้รับการสนับสนุน
“หลายคนดูละครแล้วมาบอกเราว่า ขอบคุณที่ทำให้เขาได้ย้อนกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง หรือ ขอบคุณที่ทำให้เขาไม่โทษตัวเองที่วันนั้นไม่ได้ทำอะไรเลย แม้เราจะพยายามเล่าเรื่องให้ชัด แต่สุดท้ายคนดูก็จะตีความกันเองตามประสบการณ์ของเขา ซึ่งเป็นสิ่งที่เราดีใจมาก เพราะมันหมายความว่าละครสามารถสร้างความหมายใหม่ในใจคนดูได้”
“คนจองบัตรเกือบเต็มโรงละครเวที เรามีความสุขที่เห็นคนสนใจมากขนาดนี้ แม้ประเด็นที่เราสื่อสารจะยังเป็นเรื่องเดิมที่ Bad Student หรือนักเรียนเลวเคยพูด แต่เราก็ยืนยันที่จะพูดเรื่องเดิม ๆ นี้ต่อไปนี่แหละ เราอยากชวนทุกคนย้อนกลับไปทบทวนตัวเอง ว่าในชีวิตที่ผ่านมาเราเคยสงสัย เคยตั้งคำถามกับสิ่งรอบตัวไหม ? หรือเราเคยยอมรับกฎระเบียบโดยไม่เคยถามถึงความชอบธรรมของมันเลยหรือเปล่า ?”
มิน บอกเล่าความภาคภูมิใจ
สำหรับ มินแล้ว ยอมรับว่า การตั้งคำถามเป็นเรื่องยาก หลายคนไม่เคยถูกสอนให้สงสัย แต่ก็เชื่อว่าถ้าความคิดแบบนี้เกิดขึ้นสักครั้ง มันจะฝังอยู่ในใจ และสักวันหนึ่งเขาอาจหยิบมันขึ้นมาใช้เมื่อเผชิญสถานการณ์ที่จำเป็น ต่อให้เขาไม่ได้เติบโตมาเป็นคนที่คิดเหมือนเรา แต่เราหวังว่าอย่างน้อยช่วงหนึ่งของชีวิต เขาจะได้ใช้ การตั้งคำถาม เพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ ให้กับโลกของเขาเอง

หนึ่งในเครื่องมือสร้างความตระหนักรู้ด้านสิทธิฯ จากกลุ่มนักเรียนเลว
ความฝันที่ยังไม่สำเร็จ…
การเคลื่อนไหวทางสังคมเป็นกระบวนการที่ต้องใช้เวลา แม้เสียงของผู้เคลื่อนไหวอาจเงียบลงไปบ้าง แต่ไม่ได้หมายความว่าการเคลื่อนไหวได้สิ้นสุดลง พวกเขายังคงทำงาน สื่อสาร และส่งต่อความเชื่อของตน เพียงแต่ปรับเปลี่ยนวิธีการให้เหมาะกับกาลเวลา นักเรียนเลว และ Hope Theatre ก็เป็นตัวอย่างหนึ่งของการเดินทางเช่นนั้น
เรื่องเล่าในละครเวทีชวนผู้ชมตั้งคำถามต่อกฎเกณฑ์ที่ถูกเชิดชูว่าเป็น ความดีงาม และชี้ให้เห็นด้วยว่า กฎเกณฑ์เหล่านั้นล้วนถูกสร้างขึ้นโดยมนุษย์ และในฐานะมนุษย์ เรามีสิทธิที่จะวิพากษ์ ถามหาความเหมาะสมและความจำเป็น การตั้งคำถามนี่เองที่จะเปิดประตูให้สังคมเรียนรู้ และก้าวไปสู่จินตนาการใหม่ของการอยู่ร่วมกัน
ละครเรื่องนี้ยังพาผู้ชมย้อนสำรวจตัวเอง ว่าในสายพานการศึกษาที่ผลิตผู้คนดั่งเสื้อโหล
ตัวตนและความชอบที่แท้จริงของเราหายไปไหนบ้าง ?
การศึกษาเคยให้โอกาสเราได้ลองผิดลองถูกบ้างหรือไม่ ?
เมื่อก้าวสู่วัยผู้ใหญ่ เรายังมีสิทธิที่จะถามคำถามกับตัวเองอยู่หรือเปล่า ?
ทั้งที่การเรียนรู้และการค้นหาตัวตนเป็นกระบวนการที่ไม่เคยสิ้นสุด เช่นเดียวกันกับระบบการศึกษาที่จำเป็นจะต้องถูกวิพากษ์วิจารณ์ เพื่อพัฒนาตัวมันเองในเท่าทันสังคมต่อไปเรื่อย ๆ
ท้ายที่สุด สังคมไทยควรยอมรับว่าความฝันต่อสังคมที่ดีกว่าไม่ใช่ความผิด การที่ใครสักคน หรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งมีอุดมการณ์ที่แตกต่าง ย่อมเป็นสิทธิและเสรีภาพที่ควรได้รับการเคารพและให้เกียรติ ทุกการเคลื่อนไหวมีทั้งความสูญเสีย ความเจ็บปวด และบางครั้งถึงขั้นสูญเสียชีวิต ทั้ง ๆ ที่เขาเลือกที่จะอยู่เฉยและคล้อยตามไปกับกฎระเบียบของสังคมก็ได้ ผู้คนที่พยายามชักชวนให้ผู้อื่นมองเห็นปัญหาสังคมเช่นนี้ต่างหาก คือ แบบอย่างของผู้คนที่หวังดี คือตัวอย่างของผู้คนที่หวังสร้างการเปลี่ยนแปลงให้สังคมนี้มันดีได้กว่าเดิม