ก่อนหน้านี้ TEDxBangkok ลังเลว่า จะกลับมาจัดงานในปี 2025 นี้หรือไม่ ? แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหว เมื่อปลายเดือนมีนาคม 2568 ที่ได้สร้างความสั่นสะเทือนไปทั้งเมือง และสั่นคลอนจิตใจของผู้คน ทำให้ พิริยะ กุลกาญจนาชีวิน License Holder ของ TEDxBangkok ตกตะกอนและได้คำตอบว่า “ปีนี้ TEDxBangkok จะกลับมา”
วันนั้นอยู่ที่ไหน ? และ เลือกคว้าอะไรเป็นอย่างแรก ? เป็นคำถามตั้งต้นที่เรามักถามเมื่อย้อนไปในวันเกิดเหตุ แต่แผ่นดินไหวครั้งนั้นเป็นเพียงจุดเริ่มต้น เพราะหลังจากนั้นเราก็อาจมองสิ่งต่าง ๆ ไม่เหมือนเดิม เกิดเป็นความสงสัย มีคำถาม และเห็นเรื่องใหญ่อื่น ๆ ในสังคมและโลกตามมาที่ทำให้เราเห็นรอยร้าวชัดเจนมากยิ่งขึ้น
The Active ชวนหาคำตอบของคำถามที่ว่า คนกรุงเทพฯ ก้าวผ่านรอยร้าวแล้วหรือยัง ? ผ่านการสำรวจแนวคิดจากบนเวทีของ TEDxBangkok 2025 เมื่อวันที่ 25 ต.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งมาในธีม Through the Cracks ผ่านรอยร้าว พร้อมชวนมองปัญหาและรอยร้าวที่เกิดขึ้น เพื่อพิจารณาว่าภายใต้ความเปราะบางนั้น มีสิ่งที่เราเรียนรู้และเปลี่ยนแปลงให้ดียิ่งขึ้นได้ ตามการตีความของสปีกเกอร์แต่ละคน
ในปีนี้ TEDxBangkok ได้แบ่งกิจกรรมและการเล่าทั้ง 12 เรื่องราว ออกเป็น 3 ช่วงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อมีรอยร้าวในชีวิตและสังคม ได้แก่
1. การแตกหักหรือพังทลาย (Collapse)
- ศ.สันติ ภัยหลบลี้ นักธรณีวิทยาผู้ส่งสารจากโลก
- วรรณสิงห์ ประเสริฐกุล นักเล่าเรื่องที่ใช้เลนส์สำรวจรอยร้าวของมนุษยชาติผ่านสงคราม
- ลาดิด – ณชนก ยุวภูมิ นักศึกษาแพทย์ปี 5 ที่ลาออกมาเป็นนักเขียนวรรณกรรมเควียร์
- ปั๊ป – พัฒน์ชัย ภักดีสู่สุข ศิลปินผู้เติบโตจากความคาดหวังของสังคมและบาดแผลในชีวิต
2. การเก็บกวาดหรือจัดการ (Clean up)
- ตูน – ชยานันท์ อนันตวัชกร ศิลปินคินสึงิที่ซ่อมสิ่งแตกร้าวด้วยรัก และ แอน – มณีรัตน์ สิงหนาท ผู้ก่อตั้งกลุ่ม และ ศิลปิน ‘Ting A Tong’ กลุ่มการแสดงดนตรีที่ใช้ของเล่นและเครื่องดนตรีสำหรับเด็ก
- Mackcha – ชรารัตติ์ สาระอาภรณ์ ศิลปินผู้สร้างคาแรกเตอร์ Chalotte ให้เป็นตัวแทนของความกล้า
- ลุงธร – พีรธร เสนีย์วงศ์ อดีตคนไร้บ้าน ผู้ริเริ่มร้านค้าศูนย์บาทที่เปลี่ยนขยะให้กลายเป็นทุนชีวิต
- ไปป์ – ธาวัน อุทัยเจริญพงษ์ วิศวกรไทย ผู้ออกแบบหุ่นยนต์เก็บขยะอวกาศกลางวงโคจรโลก
3. การสร้างใหม่ (Construct)
- ไก่ – ณฐพล บุญประกอบ ผู้กำกับสารคดีที่เชื่อว่าความจริงไม่ได้เดินทางเป็นเส้นตรง
- ตฤณห์ – ตฤณห์ โพธิ์รักษา นักอาชญวิทยา ผู้ตามหาความจริงด้วยการถอดรหัสตัวตนที่เปราะบางของมนุษย์
- ออม – ณัชนาถ กระแสร์ชล นักศิลปะบำบัดผู้พาเรากลับมาสร้างพื้นที่ปลอดภัยให้กับใจตัวเอง
- มิก – ผศ.ยุทธนา ศรีสวัสดิ์ ผู้ก่อตั้ง iTAX แอปพลิเคชันจากภาคเอกชนที่ทำให้ภาษีเป็นเรื่องง่ายสำหรับทุกคน

ช่วง 1 : เมื่อเกิดรอยร้าว
4 ทอล์กในช่วงแรก ว่าด้วยการสืบสาวหาต้นตอของรอยร้าวเหล่านี้ ว่าเกิดขึ้นจากอะไร ? เป็นเรื่องธรรมชาติหรือไม่ หรือเราควรมองเรื่องราวเหล่านี้ว่าอย่างไรบ้าง ทั้งเรื่องแผ่นดินไหว สงคราม สังคม รวมถงภายในจิตใจของเราเอง
แผ่นดินไหว…กรุงเทพฯ(ยัง)ไหว โลก(ยัง)ไหว
ศ.สันติ ภัยหลบลี้ มองเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นว่า เป็นเรื่องธรรมดาที่โลกต้องหายใจ และระบุว่า
“วันไหนที่แผ่นดินไม่ไหวแล้ว นั่นแหละน่ากลัว”
ศ.สันติ ภัยหลบลี้

(ที่มา : TEDxBangkok)
อ.สันติ ยังพูดถึงคุณลักษณะของรอยเลื่อนสะกาย ที่อาจจะไม่ได้เกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวบ่อย แต่พอไหวครั้งหนึ่งก็จะรุนแรง และสุดท้าย นักธรณีวิทยาคนนี้ก็มองว่า คนทั่วไปไม่ได้มีความจำเป็นต้องกังวลอะไรเลย กรุงเทพมหานครได้ผ่านการสอบด่านโหดอย่างแผ่นดินไหว 7.7 ริกเตอร์มาแล้ว ซึ่งเหตุการณ์แผ่นดินไหวขนาดใหญ่เช่นนี้มักจะไม่ได้เกิดขึ้นบ่อย ๆ
มองโลก-สงครามผ่าน ‘เลนส์’ ที่หลากหลาย
วรรณสิงห์ ประเสริฐกุล เริ่มต้นด้วยการแนะนำอุปกรณ์หนัก 25 กิโลกรัมที่ถ่วงอยู่รอบเอว ว่าเป็นเหมือน ออฟฟิศ สำหรับถ่ายทำสารคดี ตลอด 10 ปีที่ผ่านมาที่ทำงานด้านสารคดี ปีนี้เป็นปีที่มีผู้ลี้ภัยสูงถึง 122 ล้านคน ซึ่งเป็นจำนวนที่เยอะที่สุดในประวัติศาสตร์ วรรณสิงห์ตั้งคำถามว่า “สงครามคืออะไร ? ทำไมมนุษย์ยังต้องฆ่ากัน ?”

(ที่มา : TEDxBangkok)
สำหรับนักเล่าเรื่องคนนี้ สงครามไม่ได้เป็นสิ่งเดียว แต่มีหลายมิติ ตัวเขาเองจึงต้องพยายามมองหลายมิติ ผ่าน เลนส์ โดยเปรียบว่า “หากกล้องคือสมอง เลนส์ก็คือดวงตา” วรรณสิงห์ จึงแนะนำให้เรารู้จักกับเลนส์ต่าง ๆ ที่เขาใช้งานจริง ว่าแต่ละเลนส์ช่วยถ่ายอะไรและสะท้อนสงครามในมุมไหนบ้าง
ผ่านเลนส์ 85 มม. (Close up) สงคราม คือ ความรู้สึก เลนส์นี้ช่วยให้เห็นดวงตาหรือมือ ซึ่งสะท้อนความรู้สึก เพราะสงครามคือที่ที่ความรู้สึกหนักอึ้งที่สุด เช่น ความกลัวตาย (หญิงชาวเมียนมาร์ที่เมื่อเสียงเตือนระเบิดดังขึ้น แววตาเปลี่ยนเป็นมนุษย์ที่กลัวตายทันที) หรือความโกรธและเกลียดชัง (นักบวชคริสต์ในยูเครน ที่ระบุว่าแม้หลักคำสอนของศาสนาจะสอนให้รักกัน แต่เขาก็ยอมรับว่าหยุดความเกลียดชังในใจไม่ได้)
ผ่านเลนส์ 50 มม. (Portrait) สงคราม คือ ตัวตน-ปัจเจก ประวัติศาสตร์ของทุกประเทศเล่าเรื่องผ่านสงคราม เพราะหนึ่งในวิธีการบอกว่าเราเป็นใคร คือการบอกว่าตรงข้ามเราเป็นใคร เช่น กรณีรวันดา ที่เคยเกิดเหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ 4 แสนคน ภายใน 4 เดือน เพียงเพราะอยู่กันคนละเผ่า ซึ่งตัวตนเหล่านี้มาจากคนล่าอาณานิคมที่สร้างเส้นแบ่งออกมาว่าใครอยู่เผ่าไหนจากการวัดจมูกโด่ง-แบน
ผ่านเลนส์ 35 มม. สงคราม คือ เรื่องเล่า การสร้างความสัมพันธ์ระหว่างคน-คน หรือ คน-สถานที่ ซึ่ง วรรณสิงห์ ระบุว่าสิ่งเหล่านี้คือความเป็นจริงที่ถูกเลือกมาแล้ว โดยระบุว่าด้วยบทบาทของสื่อ สื่อไม่มีทางเป็นกลาง เพราะไม่สามารถเล่าได้ครบทุกเรื่อง ไม่ว่าหันกล้องไปทางไหน ก็ล้วนเป็นมุมมองที่เลือกมาแล้ว สงครามจึงเป็นเรื่องเล่าที่ต้องการตัวละคร อุปสรรค และบอกว่าเราเป็นผู้ถูกกระทำหรือเป็นเหยื่อ เพื่อสร้างความชอบธรรมในสิ่งต่าง ๆ เช่น เวเนซุเอลา หรือ เกาหลีเหนือ ที่บอกว่ามีศัตรูอยู่ข้างนอกประเทศ (ซึ่งมักจะเป็นสหรัฐอเมริกา) จึงต้องปกครองแบบเบ็ดเสร็จภายใน หรืออย่าง รัสเซีย ที่เล่าว่า คนรัสเซียในยูเครนตะวันออกถูกกระทำ รัฐเซียจึงต้องบุกยูเครนเพื่อปลดแอก
ผ่านเลนส์ 40 มม. สงคราม คือ สมการ วรรณสิงห์ นำเสนอ ทรัพยากร – มนุษย์ = ความขาดแคลน” และ “ขาดแคลน – กระบวนการ = สงคราม สงครามเป็นการเจรจาเบื้องต้นก่อนที่จะมีการซื้อขายเกิดขึ้น และทุกสันติภาพมีกองศพอยู่ที่รากฐาน เขาตั้งคำถามว่าหากทุกคนติดอยู่ในห้องประชุมและมีน้ำเปล่าอยู่ 2 ขวด จะต้องใช้เวลานานแค่ไหนเราถึงจะฆ่ากันเพื่อแย่งชิงน้ำนั้น หรือตัวอย่างที่เกิดขึ้นจริง เช่น คองโกที่เป็นเหมือนนรกบนดิน มีกองกำลังติดอาวุธมากกว่า 200 ฝ่าย เพราะต้องการแร่โคลแทน (Coltan) ที่มีจำกัดและเป็นแร่พื้นฐานสำคัญในโทรศัพท์ แบตเตอรี่รถ EV การเจรจาขั้นแรกจึงเป็นการรบกัน
ผ่านโดรน สงครามคือ วัฏจักร ให้มุมมองที่ออกจากตัวเราเอง ผ่านการมองจากเบื้องบน และเห็นทุกอย่างพร้อม ๆ กัน ผู้เล่ารายนี้ตั้งคำถามว่า “เราคิดไปเองหรือไม่ ว่าเราเป็นสัตว์ประเสริฐ ?” เพราะแท้จริงแล้วเราก็ไม่ได้ต่างจากสัตว์อื่น ๆ เลย เช่น ปะการังใต้น้ำที่ขยายอาณานิคมบนก้อนหินก้อนเดียวกัน
การบอกเล่าเรื่องราวสงครามผ่านหลายเลนส์เหล่านี้ เพื่ออยากให้คนเข้าใจว่า ไม่มีสิ่งใดเป็นสิ่งเดียว เราสามารถพกหลายเลนส์ได้ พร้อมเน้นย้ำถึงการมีหัวใจที่มีความรู้สึก และจิตวิญญาณที่มองเห็นสิ่งที่ใหญ่กว่าเรา สังคม หรือประเทศ โดยคนทำสารคดีเน้นย้ำว่า ในฐานะปัจเจกบุคคล ทุกคนสำคัญและมีคุณค่า แต่เมื่อรวมเป็นสปีชีส์ เราเป็นส่วนหนึ่งของวัฏจักรที่ใหญ่กว่าตัวเรา
วรรณสิงห์ ทิ้งท้ายเรื่องราวด้วยการเล่าถึงการพบเจอกอลิล่าในป่าลึกท่ามกลางดงกระสุน และทำให้เขารู้สึกว่า โลกใบนี้ไม่ได้มีแค่เรา และทำให้ทุกอย่างเบาลง
“พกเลนส์ไว้หลาย ๆ ตัว เพราะมีด้านที่ใหญ่กว่าตัวเราให้มองเสมอ”
วรรณสิงห์ ประเสริฐกุล
ช่วง 2 : ซ่อมแซมสิ่งที่ตกค้าง
รอยร้าวเหล่านี้มักเป็นผู้กำหนดว่า คน สิ่งของ หรือพื้นที่นั้นได้ พัง ลงไป และมีเส้นทางการไปต่อของ สิ่งที่พัง อยู่ 2 ทาง นั่นคือการซ่อมแซม ทั้งในการซ่อมแซมทางกายภาพ อย่างสิ่งของที่แตกหักแล้ว และทางจิตใจ อีกวิธีคือการทิ้งไปให้กลายเป็นขยะ ซึ่งต้องอาศัยการจัดการสิ่งเหล่านี้ โดยเฉพาะในวันที่ประเทศไทยเต็มไปด้วยเทคโนโลยีและไอเดีย การจัดการกับรอยร้าวหรือขยะเหล่านี้ ก็อาจจะไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป ถ้าหากทุกคนเห็นและเข้าใจความสำคัญของการฟื้นฟูหลังเกิดบาดแผล
‘ขยะชุมชน’ ดูแลคนจากครรภ์มารดาถึงเชิงตะกอน
ลุงธร – พีรธร เสนีย์วงศ์ เริ่มบทสนทนาจากการเล่าย้อนอดีตของตัวเอง แต่ก่อนอาศัยอยู่ที่ภาคใต้ เร่ร่อนมาอยู่กรุงเทพฯ ช่วงแรกนอนที่สนามหลวง ต้องตื่นตั้งแต่ตี 5 เนื่องจากมีรถน้ำมาปลุก เร่ร่อนไปอยู่ “บ้านราคาพันล้านหมื่นล้าน” หรือใต้สะพานที่มีรถวิ่งไปมาบนหลังคา วันหนึ่งมีนักข่าวมาถ่ายรูป เพราะมีเสาโทรทัศน์โผล่มากลางสะพาน ทำให้โดนไล่ออกจากพื้นที่ และลุกลามไปยังสะพานอื่น ๆ ส่งผลให้มีผู้ได้รับผลกระทบกว่า 3,000 ครอบครัว หลังจากโดนขับไล่ ลุงธรได้ไปพูดคุยปรับทุกข์กับคนอื่น ๆ เพื่อขอที่ดิน จนภรรยาดุว่าเขาไม่ทำอะไร ลุงธรตอบไปว่า “วันนี้เราอยู่ใต้สะพาน อนาคตลูกจะด่าพ่อว่าไม่มีอะไรให้”

(ที่มา : TEDxBangkok)
ภายหลังเครือข่ายสลัม 4 ภาค ได้เข้ามาช่วยเหลือ ใช้เวลา 7-8 ปีถึงได้ที่ดิน รัฐบาลจัดสรรงบประมาณช่วยเหลือ 3,000 กว่าครอบครัว สุดท้ายได้ที่ใหม่ แต่ก็ยังมีปัญหา เพราะต่างคนต่างที่มา ร้อยพ่อพันแม่
ช่วงแรก ๆ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ส่งไปดูงาน ให้เงินมา 2,000 บาท ไป 3 วัน กลับมาก็ใช้เงินหมด ไม่เกิดอะไรขึ้น แต่มีวันหนึ่ง ไปตลาดกับแฟน อยู่ ๆ ก็เกิดคำถามขึ้นมาว่า ถ้าวันหนึ่งเราไม่มีเงินขึ้นมาจะทำอย่างไร เลยเกิดเอาไอเดียเอาเงินจากคนอื่น ๆ มารวมกัน ซื้อของแล้วตระเวนไปตามชุมชนต่าง ๆ เอาของไปตั้งไว้เพื่อแลกขยะ กลับมาได้กำไรตกคนละ 200-300 บาท
หลังจากนั้นก็กลับมาเปิดร้านในชุมชน เอาขยะมาแลก ตั้งชื่อว่า สหกร เพราะว่าถ้าตั้งชื่อถูกกลัวรัฐบาลจะเก็บภาษี แต่ถึงทำอย่างนี้คุณภาพชีวิตของคนในชุมชนก็ยังคงไม่ต่างจากเดิม เลยเกิดไอเดียทำประกันชีวิตผ่านโครงการประกันชีวิตด้วยขยะ ด้วยการจ่ายขยะมูลค่า 1 บาทต่อวัน และได้สิทธิประโยชน์ต่าง ๆ เช่น ถ้านอนโรงพยาบาลได้คืนละ 200 บาท ได้ค่าเดินทางอีก 200 บาท ออกเงินค่ายานอกบัญชีให้ ผู้สูงอายุได้ข้าวสารเดือนละ 5 กิโลกรัม มีทุนให้เด็กเรียนดีเทอมละ 500 บาท หากใกล้เสียชีวิตจะได้เงินไปซื้อของกินก่อนตายไม่เกิน 200 บาท หากตายก็ได้โลงศพ เป็นเจ้าภาพให้ 1 คืน และมีของชำร่วยให้ เพื่อเป็นการ ช่วยเฉลี่ยทุกข์เฉลี่ยสุข ทำไปเพราะอยากมีศักด์ศรีความเป็นมนุษย์
ลุงธร บอกด้วยว่า คนกรุงเทพฯ มีมุมมองว่ากลุ่มซาเล้งตัดสายไฟ เลยพยายามไปจดทะเบียนกลุ่มอาชีพซาเล้งที่เขต ตอนแรกเขตไม่ยอมให้จด จึงรวมกลุ่มไปล้อมเขตและเจรจา เขตเลยอนุญาตให้จดได้แบบปีต่อปี ความต่างระหว่างการจดกับไม่จดทะเบียน คือ ถ้าจดมีตัวตน ย้ายโซนบ้านเพื่อไปเก็บขยะได้ รวมถึงมีเสื้อสีเขียวของกลุ่มซาเล้ง ซึ่งมีเบอร์โทรศัพท์ข้างหลัง เลียนแบบรถตู้ เช่น รถคันนี้ขับรถไม่สุภาพ โปรดโทร หรือหากโดนรถชน ก็มีคนโทรมาบอกได้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ ลุงธร เน้นย้ำกว่า เป็นการตอบโจทย์คุณภาพชีวิตคคนจนในเมือง
ภายหลังได้เปลี่ยนชื่อสหกรณ์ให้คนรู้จักมากขึ้น ทำให้มีคนมาดูงาน และได้ไปกินข้าวในห้างเทอมินัล 21 ซึ่งต้องแลกคูปอง ลุงธรเลยได้ไอเดียไปทำคูปองร้านค้าชุมชน ตอนแรกไม่มีร้านไหนเข้าร่วม แต่พอลุงธรชี้ให้เห็นว่าหากรับคูปองตอนเช้า ก็จะได้เงินตอนเย็นเลย ร้านค้าก็ลองดู หลาย ๆ ร้านทยอยทำตาม สร้างเศรษฐกิจในชุมชน
“อย่าแพ้ขยะ ขยะดูแลพ่อแม่พี่น้องจากครรภ์มารดาถงเชิงตะกอนได้”
พีรธร เสนีย์วงศ์
เก็บกวาด ‘ขยะอวกาศ’ กรุยทางให้ลูกหลานในอนาคต
ไปป์ – ธาวัน อุทัยเจริญพงษ์ เปิดภาพ Earthrise ซึ่งถ่ายระหว่างภารกิจ Apollo 8 เมื่อปี 1968 ให้ดู โดยระบุว่าภาพดังกล่าวเกิดเป็นกระแสรักโลกขึ้นมา จนถึงวันนี้ หลังผ่านมาเกือบ 60 ปี วงโคจรรอบโลกหนาแน่นขึ้น มีทั้งดาวเทียม สถานีอวกาศ และขยะมากมาย

(ที่มา : TEDxBangkok)

(ที่มา : ESA)
ตั้งแต่ยุค 1950 เป็นต้นมา ประเทศมหาอำนาจแข่งขันกันเป็นเจ้าอวกาศ ผ่านการพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศขึ้น การพัฒนาดังกล่าวทิ้งปัญหาให้คนรุ่นหลังต้องเผชิญกับขยะเศษชิ้นส่วนต่าง ๆ ในวงโคจร จากหลายอย่าง เช่น
- จากการปล่อยจรวดขึ้นสู่อวกาศ มีขยะเกิดขึ้นหลายชิ้น เพราะการปล่อยมีหลายขั้นตอน ในช่วงแรกค่าส่งมีราคาแพง ทำให้คนส่งดาวเทียมขึ้นไปน้อย แต่พอบริษัท SpaceX ประสบความสำเร็จในการนำจรวดกลับมาใช้ใหม่ ค่าส่งก็ถูกลง จากเดิมกิโลกรัมละ 2 ล้านบาท เหลือเพียง 1 แสนบาทเท่านั้น ส่งผลให้มีการส่งบ่อยขึ้น โดยวัตถุในอวกาศกว่า 57% ในตอนนี้ พึ่งถูกส่งขึ้นไปในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา มากกว่าที่เราส่งมาตลอดกว่า 60 ปี
- จากดาวเทียมทั้งที่ใช้งานอยู่และปลดระวางแล้ว เช่น ดาวเทียม GPS หรือ โครงข่ายดาวเทียม Starlink (ภายใต้ SpaceX) ที่มุ่งหวังให้บริการอินเทอร์เน็ตกับทุกคนบนโลก ปัจจุบันมีกว่า 8,000 ดวง ซึ่งคิดเป็นประมาณครึ่งหนึ่งของแผนที่วางไว้ทั้งหมด 14,000 ดวง
- จากขยะต่าง ๆ เช่น เศษจรวด เครื่องยนต์จรวจ ดาวเทียม รวมถึงขยะที่ชนกับชิ้นส่วนอื่น ๆ เกิดเป็นขยะเพิ่มขึ้นอีก โดยในวงโคจรของโลกมีขยะใหญ่กว่า 1 ซม. ประมาณ 1.2 ล้านชิ้น
- จากการชนกันของดาวเทียมที่สูญเสียการควบคุม เช่น การชนกันของดาวเทียม Iridium 33 และ Cosmos 2251 ในปี 2009 เกิดเป็นขยะ
- บางส่วนเกิดขึ้นจากความตั้งใจ ผ่านการทดลองทำลายดาวเทียมในวงโคจรของ 2 ประเทศ ในปี 2007 และปี 2021 เพียงเพื่อที่จะบอกว่า “ฉันก็ทำได้” และเป็นการแข่งกันสร้างขยะขึ้นมา
ผลกระทบจากเศษขยะอวกาศ เช่น กล้องโทรทรรศน์อวกาศฮับเบิลซึ่งมีส่วนที่เป็นแผงโซลาร์เซลล์ เมื่อเกิดการชนกับเศษขยะอวกาศก็กลายเป็นรูพรุน ผลิตไฟฟ้าได้น้อยลง นักบินก็ต้องไปเปลี่ยนหรือซ่อมแซม หรือสถานีอวกาศนานาชาติก็โดนชนบ่อย ๆ วิศวกรรายนี้เปรียบเหมือน การขับรถบนไฮเวย์ แล้วโดนหินดีดใส่
ยิ่งขยะมากขึ้น ก็ยิ่งมีปัญหาตามมา โอกาสที่ดาวเทียมจะโดนชนก็มีมากขึ้น สถิติบอกว่า มีดาวเทียมกว่า 5% ที่ถูกทำลายโดยขยะก่อนภารกิจของดาวเทียมนั้น ๆ จะเสร็จสิ้น เกิดเป็นขยะลูกโซ่ชนไปต่อเรื่อย ๆ กระทบคนในมิติต่าง ๆ ที่ข้องเกี่ยวกับดาวเทียม เช่น การสื่อสาร การพยากรณ์อากาศ การทำธุรกรรม หรือการนำทางผ่าน GPS
วิศวกรรายนี้เปรียบว่า ทุกวันนี้เราใช้ดาวเทียมเหมือนรถที่ไม่มีปั๊มน้ำมัน เมื่อใช้จนน้ำมันหมด ก็ทิ้งไว้ข้างทาง ก่อนจะอธิบายถึงงานที่ตัวเองทำให้ฟังว่า ที่ ClearSpace พยายามลดจำนวนดาวเทียม ผ่านการออกแบบยานเก็บขยะและเอาไปทิ้งโดยการเผาไหม้ในชั้นบรรยากาศ หรือให้ไปประกอบร่างกับดาวเทียมเป้าหมาย ให้ดาวเทียมนั้น ๆ สามารถทำงานต่อได้อีกนิด
ผู้เล่าทิ้งท้ายด้วยการฉายภาพให้เห็นถึงอนาคตหลังจากนี้ ที่ลูกหลานของเราทุกคนอาจได้ใช้ชีวิตบนดาวดวงอื่น แต่ถ้าหากเรายังทิ้งขยะอวกาศอย่างเช่นทุกวันนี้ มนุษยชาติก็อาจจะไม่สามารถไปต่อได้
“อนาคตลูกหลานเราอาจใช้เวลามหาศาลในการแก้ปัญหา แทนที่จะได้ใช้ชีวิตอย่าที่ควรจะเป็น”
ธาวัน อุทัยเจริญพงษ์
ช่วง 3 : ฟื้นฟู กลับมาตั้งต้นใหม่
ช่วงท้ายของเวทีนี้ เล่าถึงเมื่อหลังเหตุการณ์ได้ผ่านพ้นไป ทิ้งไว้ซึ่งรอยร้าวไว้ทั้งทางกายภาพและจิตใจ แต่ถึงอย่างไร เราก็ต้องเดินหน้าไปต่อ ผ่านกระบวนการฟื้นฟูและสร้างใหม่ทั้งในมิติของตัวเองและสังคม
เปลี่ยนจาก คนดู เป็น ผู้เล่น ผ่าน ‘สตง. model’
มิก – ผศ.ยุทธนา ศรีสวัสดิ์ เริ่มจากการฉายภาพให้เห็นว่า ทุกคนได้ทำหน้าที่สนับสนุนประเทศนี้ ด้วยการเสียภาษี คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 3.3 ล้านล้านบาท ซึ่งเก็บได้พอ ๆ กับประเทศสวิสเซอร์แลนด์ นิวซีแลนด์ และสิงคโปร์ คำถามสำคัญคือ “ทำไมเรายังตามหลัง ?”

(ที่มา : TEDxBangkok)
อ.มิก ขยายความต่อว่า ส่วนหนึ่งมาจากภาษีที่ถูกเอาไปพัฒนาประเทศอย่างไม่สมเหตุสมผล เช่น เสาไฟกินรี กว่า 7 แสนต้น, แอปพลิเคชันของภาครัฐกว่า 2,700 แอป, ถนนพระราม 2 ที่สร้างไม่เสร็จสักที, อุปกรณ์อย่าง GT200 หรือการดูงานหรูที่ต่างประเทศ ในขณะที่งบฯ บางส่วนกลับไม่พอใช้ เช่น งบฯ สาธารณสุข ส่งผลให้ประชาชนจำนวนไม่น้อยไม่พอใจกับผู้ที่นำภาษีไปใช้ เพราะกระบวนการใช้ที่ตรวจสอบไม่ได้ ระบบที่ทำให้คนดีกลายเป็นส่วนหนึ่งของระบบ ราคาที่ต้องจ่ายคือค่าเสียโอกาสของประชาชน เช่น ตอนการระบาดไวรัสโควิด-19 ที่ทำให้ อ.มิก สูญเสียพ่อไป ถ้าวันนั้นรัฐบาลทำงานมีประสิทธิภาพ ก็อาจจะได้วัคซีนที่ทันเวลา และพ่อก็อาจจะได้มานั่งฟังทอล์กนี้ ในห้องนี้ ในวันนี้
ผู้พูดรายนี้ตั้งคำถามตอนเรียนปริญญาเอกว่า “ทำไมภาษีมันยาก ?” โดยเขาได้เริ่มทำจากสิ่งที่ถนัด ลงสนามมาเป็นผู้เล่นคนหนึ่ง พร้อมงัดกันสักตั้งกับปัญหานี้ดู จึงได้ชวน เตย – จรรยนนท์ โลหอุ่นจิตร มาช่วยทำแอป iTax ช่วยคิดภาษี ปัจจุบันมีผู้ใช้งาน 1.3 ล้านคน เพื่อทำให้เป็นแบบอย่างให้ภาครัฐดู ว่าวิธีการดูแลผู้เสียภาษีอย่างถูกต้องต้องทำแบบไหน
หลังจากนั้นเกิดเหตุการณ์ตึกสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ถล่ม ซึ่งเป็นตึกเดียวที่ถล่ม สร้างจากภาษี 2,136 ล้านบาท ไร้ซึ่งผู้รับผิดชอบ ประชาชนทำอะไรไม่ได้ เนื่องจากรัฐธรรมนูญ ปี 2560 ได้ริบสิทธิ์ในการถอดถอนองค์กรอิสระของประชาชนออกไป
อย่างไรก็ตาม อ.มิก มองว่า ตัวเขาเองยังมีแอป iTax ที่มีผู้ใช้หลักล้าน เลยลงสนามอีกครั้ง เพื่อให้มีการเข้าชื่อแก้รัฐธรรมนูญใน iTax โพสต์เชิญชวนดังกล่าวมีคนแชร์ถึง 4,000 กว่าคน แต่มีคนเข้าชื่อตอนแรกเพียง 3,000 กว่าคนเท่านั้น จากการพูดคุยพบว่า หลายรายไม่กล้าลงชื่อ ไม่กล้าแชร์ เพราะกลัวกระทบหน้าที่การงาน ทั้ง ๆ ที่สิ่งเหล่านี้เป็นสิทธิ์ของเราเอง
อย่างไรก็ตาม อ.มิก ยังเชื่อว่าวิธีการแก้ปัญหาที่ดีที่สุดคือการลงมืองทำ ทำสิ่งที่ทำได้ และได้เสนอสิ่งที่เรียกว่า “สตง. model” ซึ่งจะช่วยเปลี่ยนจากคนดูเป็นผู้เล่น ประกอบด้วย
- ส… สงสัย – สงสัยว่าทำไมต้องเป็นแบบนี้ หากเจอปัญหาคาใจ อย่าปล่อยผ่านหรือเออออตาม
- ต… ตัวแทนหมู่บ้าน – ลุกขึ้นมาเป็นตัวตั้งตัวตีในการแก้ปัญหา
- ง… งัดกันสักตั้ง – เชื่อว่าประเทศเราไม่ใช่ไม่มีคนเก่ง แต่เพราะคนเก่งยังไม่ลงสนาม ถ้าเราไม่กล้า การแก้ปัญหาจะเกิดขึ้นได้อย่างไร
อ.มิก เน้นย้ำว่า การเป็นคนดูไม่ผิด แต่การลงสนามก็ไม่ได้ยากขนาดนั้น ใคร ๆ ก็สามารถลงมือทำได้ การลงมือทำเรื่องเล็ก ๆ ก็สามารถทำให้เรากลายเป็นผู้เล่นได้เช่นกัน ตัวอย่างเช่น หากพบเจอขยะอุดตันในท่อก็หยิบออก หากเจอเสาไฟไม่ส่องสว่างก็แจ้งผ่าน Traffy Fondou หากเจอมิจฉาชีพโทรมาก็แจ้งต่อให้ตำรวจเพื่อบล็อกเบอร์ หากพบการทุจริตในองค์กรของตัวเองก็แจ้งสื่อโดยไม่จำเป็นต้องเปิดหน้า รวมถึงการปลูกฝังให้ลูกคิดถึงประโยชน์ส่วนรวม เพื่อให้โลกนี้มีผู้ใหญ่คุณภาพเพิ่มขึ้นอีกคน สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นวิธีการลงมือ ซึ่งเริ่มจากสิ่งที่เราสามารถทำได้
“โลกเรายังเปิดรับสมัคร player (ผู้เล่น) อีกหลายอัตรา ยิ่งมีเยอะ ก็ยิ่งแก้ปัญหาได้เยอะ”
ผศ.ยุทธนา ศรีสวัสดิ์
ภายในงานยังมีกิจกรรมอื่น ๆ ที่เปิดโอกาสให้ได้สำรวจรอยร้าว แบ่งปันแลกเปลี่ยนความคิด เช่น
- Sounds Through the Cracks โดยทีม Hear and Found ชวนทุกคนมาฟังเสียงจากกลุ่มชาติพันธุ์ในประเทศไทย ทั้งเสียงธรรมชาติ เสียงดนตรีท้องถิ่น เสียงในชีวิตประจำวัน เพื่อลดการแบ่งความเป็นเขา-เรา
- Museum of Broken ชวนสำรวจและแบ่งปันเรื่องราวรอยร้าวผ่านสิ่งของที่ครั้งหนึ่งเคยสมบูรณ์ แต่วันนี้กลับไม่สามารถใช้งานได้เหมือนก่อน
- TEDxBangkok 10101 ที่เปิดให้ทุกคนลองนำของที่พบเห็นบ่อยในกรุงเทพมหานคร มาลองสร้างแลนด์มาร์คใหม่ ฟื้นฟูใหม่ สะท้อนการช่วยกันฟื้นฟูสิ่งที่ผุพัง ออกมาสร้างสิ่งใหม่
- Connection Atlas ที่ทุกคนสามารถมาสำรวจความสนใจที่คล้ายคลึงกันของแต่ละคน ผ่านเว็บไซต์และโต๊ะแสดงความเชื่อมโยงระหว่างผู้เข้าร่วมงานกับชุมชน TEDxBangkok เพื่อต่อยอดเป็นบทสนทนาของคนแปลกหน้า และไอเดียเพื่อเปลี่ยนโลกในอนาคต
- Conversation Space ที่เปิดให้ผู้เข้าชมมาพูดคุยกับสปีกเกอร์เวที TEDxBangkok ทั้งในอดีตและปัจจุบัน


