เมษายน ค.ศ. 1999 ศิลปินภาพถ่ายหญิงชาวอินเดีย ออกเดินเพียงลำพังจากรัฐเดลี (Delhi) บ้านเกิด สู่หมู่บ้านเล็ก ๆ ในรัฐราชสถาน (Rajasthan) ติดพรมแดนปากีสถาน บนผืนทะเลทรายธาร์ (Thar Desert) จนได้สัมผัสว่าการมีชีวิตอยู่ในดินแดนอันแร้นแค้นแห่งนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เธอใช้กล้องถ่ายรูปบันทึกสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน แต่กลับสะท้อนให้เห็นถึงภาพแห่งความเปราะบางในชีวิตของผู้คนอันแสนสาหัส
The Active ชวนสัมผัสเรื่องราวของ กอรี กิล (Gauri Gill) ช่างภาพหญิงที่ใช้เวลากว่า 26 ปี ใช้ชีวิตร่วมกับชาวบ้านในหมู่บ้านเล็ก ๆ ของรัฐราชสถาน ประเทศอินเดีย ดินแดนแห่งทะเลทรายอันยากจน ที่ซึ่งความเหลื่อมล้ำ กำลังทำให้ชีวิตผู้คนที่นั่นถูกลืม เธอบันทึกภาพความทรงจำด้วยกล้อง และส่งต่อความเป็นจริงให้ประจักษ์สายตาต่อชาวโลก ด้วยภาพถ่ายที่แสนธรรมดาแต่ว่าทรงพลัง และได้เปลี่ยนสายตาของผู้คนทั่วโลกไปตลอดกาล
จากเดลี สู่ รัฐราชสถาน – โลกคู่ขนานแห่งอินเดีย
กอรี กิล (Gauri Gill) เติบโตในเมืองหลวงที่สะดวกสบายในรัฐเดลี (Delhi) เรียนจบด้านการออกแบบที่ Parsons School of Design ในนครนิวยอร์ก และมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา เธอมีชีวิตในเมืองหลวงที่เพรียบพร้อม และทะยานสู่โลกสมัยใหม่ สายตาที่มีต่อโลกในวันนั้น เหมือนจะมีเพียงไม่กี่แบบ
แต่จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นในช่วงวัย 29 ปี
ค.ศ. 1999 กิลได้เห็นภาพเด็กผู้หญิงในโรงเรียนแห่งหนึ่งกำลังถูกครูตี โรงเรียนแห่งนี้เป็นโรงเรียนเล็ก ๆ ที่อยู่ห่างจากเมืองโจธปุระ (Jodhpur) ไปเพียงไม่กี่ชั่งโมง ภาพธรรมดานี้กลับฝังแน่นอยู่ในใจ กิลคิดถึงมันตลอดเวลา เธออยากรู้ว่า เด็กหญิงในชุมชนนั้นมีชีวิตอยู่อย่างไร สุดท้าย เธอตัดสินใจลางาน 1 เดือน เพื่อไปใช้ชีวิตในชนบทของรัฐราชสถาน

ที่มา : หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร (BACC)
“ครั้งแรกที่ไปที่นั่น ฉันตั้งใจจะเข้าไปถ่ายรูปในโรงเรียนในรัฐราชสถาน เริ่มต้นด้วยการเดินทางแบบสุ่ม จากโรงเรียนหนึ่ง ไปยังอีกโรงเรียนหนึ่ง ข้ามไปมาทั่วรัฐ”
กอรี กิล
จากนั้น เธอข้ามไปทั้งเขตชัยปุระ (Jaipur) โจธปุระ (Jodhpur) โอเซียน (Osian) บิกาเนอร์ (Bikaner) บาร์เมอร์ (Barmer) พาโลดี (Phalodi) บารัน (Baran) และ ซูรู (Churu) เพื่อถ่ายภาพโรงเรียนตลอดจนถึงองค์กร NGOs ต่าง ๆ กิล ได้พบผู้คนมากมาย เด็ก ๆ ครู นักรณรงค์ แม้กระทั่งคนเร่ร่อน
สิ่งที่เธอได้พบเจอ เป็นภาพประทับของความเหลื่อมล้ำ ที่เธอไม่เคยรู้จักมาก่อน แต่ก็เป็เพียงภาพย่อส่วนเล็ก ๆ ของความจริงอันซับซ้อนในประเทศอินเดีย

ในเวลานั้นเธอเป็นเพียงหญิงสาวจากเดลี ที่เข้ามาในชุมชน พูดภาษาอังกฤษ และถือกล้อง แน่นอนว่าดูไม่น่าไว้ใจเลย แต่ชาวบ้านที่นั่นกลับเปิดบ้านต้อนรับ อยู่ร่วมกับเธอด้วยความอดทนและไว้ใจ โดยเฉพาะที่บาร์เมอร์ เธอได้รู้จักครอบครัวของอิซมัต และลูกสาว – จันนัต และฮูร่า
“อิซมัตบอกฉันว่า เมื่อกลับถึงเดลี ฉันควรบอกเล่าเรื่องราวความยากลำบากในเมืองบาร์เมอร์ให้ผู้คนในเมืองได้รับรู้”
กอรี กิล
กิล เล่าว่า ชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเขาที่นั่นเต็มไปด้วยความเหลื่อมล้ำและยากลำบาก ความรู้สึกนี้กลายร่างเป็นคำเชิญชวนที่ทำให้กิล เดินทางกลับไปที่นั่น ครั้งแล้วครั้งเล่า

เธอใช้เวลาตลอด 26 ปี ในการกลับไปเยี่ยมคนเดิม ๆ ในสถานที่เดิม ๆ เกิดสายสัมพันธ์ลึกซึ้งยาวนาน สิ่งนี้เปรียบเสมือนการต่อจุดในความคิดของเธอไปเรื่อย ๆ และทำให้ค้นพบความจริงอีกชุดหนึ่งที่เธอไม่คุ้นเคย
ชีวิตจริงของผู้คน กับโลกที่คู่ขนาน
กิล อยู่กับพวกเขานานพอที่จะเห็นทั้งภัยธรรมชาติ โรคร้าย การอพยพย้ายถิ่น ความล้มเหลวของระบบสาธารณสุขและการศึกษา และทำให้เธอมองเห็นความยากจน ที่เป็นผลพวงมาจากความเหลื่อมล้ำในประเทศอินเดีย
“ตลอดหลายสิบปีที่แวะเวียนไปหาพวกเขา ฉันได้เห็นแทบทุกแง่มุมของชีวิตผู้คนที่นั่น เห็นวงจรการทำการเกษตร เห็นการเผชิญภัยแล้ง มรสุมครั้งยิ่งใหญ่ น้ำท่วมรุนแรง พายุฝุ่นที่ทำให้คนเป็นไข้ อยู่ในช่วงที่เป็นปีแห่งภัยแล้ง ปีที่มีฝนมรสุมครั้งยิ่งใหญ่ น้ำท่วมใหญ่จนทำให้บ้านเรือนพังเสียหายต้องสร้างใหม่”
“ฉันได้เห็นการอพยพย้ายถิ่น การเดินทางของแรงงานชายในรัฐคุชราตและรัฐมหาราษฏระ ภายใต้โครงการจ้างงานในชนบทของรัฐบาล (Food for Work) เห็นการเดินทางของคนเผ่าเร่รอน เห็นการระบาดของวัณโรค ไข้มาลาเรียสมอง เห็นคนต้องตายเพราะถูกงูกัด”
“ฉันเห็นความตาย เห็นการเกิด เห็นการแต่งงาน เห็นการเลือกตั้ง เห็นการเฉลิมฉลอง เห็นการสวดมนต์ เห็นโรงเรียนที่ขาดแคลนครู เห็นภาพผู้ป่วยล้นโรงพยาบาล กระทั่งเห็นคนถูกเผาทั้งเป็นเพราะสินสอดไม่เพียงพอ”
กอรี กิล เผยสิ่งที่ได้สัมผัส

บันทึกความหวังหลังภาพถ่าย
ตลอดเวลาหลายสิบปี กิลเพียงแค่ไปอยู่กับพวกเขาใช้ชีวิตร่วมกับพวกเขาโดยไม่ได้มีเป้าประสงค์หรือผลประโยชน์ใด เพียงแค่ใช้ชีวิตไปแต่ละวัน และเริ่มบันทึกเรื่องราวธรรมดานั้นผ่านกล้องถ่ายรูป
กิล บันทึกภาพถ่ายด้วยสายตาของเพื่อนมนุษย์ เกิดเป็นภาพถ่ายหลายชุดที่สะท้อนถึงความจริง ความรัก ความสุข ความยากไร้ และความหวังที่แสนเปราะบางของมนุษย์
ภาพถ่ายของเธอไม่ได้เป็นเพียงการบันทึกเหตุการณ์เท่านั้น แต่เป็นการสร้าง พื้นที่ของความสัมพันธ์ ในช่วงเวลาที่เธอร่วมทุกข์ร่วมสุขกับครอบครัวในหมู่บ้าน
กิล ยังเล่าถึงช่วงเวลาเคยทำคลอดกับพยาบาลผดุงครรภ์ ร่วมสร้างสตูดิโอถ่ายภาพกับเด็กผู้หญิงในโปรเจกต์ Balika Mela และยังเคยยกกล้องให้เด็ก ๆ ใช้ถ่ายภาพด้วยตัวเอง จนเกิดเป็นผลงานที่สะท้อนการมองโลกผ่านสายตาของเด็ก ๆ
“ฉันยกกล้องฟิล์มให้เด็ก ๆ ลองถ่ายภาพ แล้วคงมีใครบางคนเผลอเปิดหลังกล้อง รูปจากฟิล์มม้วนนั้นจึงทำให้ดูเหมือนมีแสงพาดผ่าน ฉันเลยตั้งชื่อว่า ruin rainbow หรือ สายรุ้งที่พังทลาย ตอนนั้น ไม่มีเด็กคนไหนเลยที่ยอมรับว่าใครเปิดกล้องฟิล์ม แต่กลายเป็นความทรงจำที่ทรงพลัง และเกิดเป็นภาพที่เล่าเรื่องราวมากมาย”
กอรี กิล เล่าด้วยรอยยิ้ม

Notes from the Desert – สุสานคนจน บนทะเลทรายธาร์
อีกหนึ่งโปรเจกต์ของ กิล คือ Traces (1999–ongoing) ซึ่งเป็นซีรีส์ในชุด Notes from the Desert โดยบันทึกภาพสุสาน หรือหลุมศพในแถบทะเลทรายธาร์ (บาร์เมอร์–บีกาเนร์ รัฐราชสถาน)
ที่นั่นคือสุสานที่ชาวบ้านทำขึ้นเองอย่างง่าย ๆ จากก้อนหิน เศษอิฐ เศษเครื่องปั้นดินเผา หรือของใช้ส่วนตัวของผู้ตาย บางแห่งไม่มีสัญลักษณ์ศาสนาชัดเจน พบทั้งในชุมชนมุสลิม ฮินดู บิชโนอี และกลุ่มเร่ร่อนอย่างโยคี ฯลฯ
“เขาไม่ได้ทำสุสานแบบที่เราเคยเห็น เขาทำด้วยของง่าย ๆ ป้ายชื่อคนตายยังเขียนด้วยมือ รอบ ๆ มีเพียงผ้า ภาชนะ และขวดยาของผู้ตายเพื่อรำลึกถึง และในเวลาเพียงไม่นาน ของพวกนี้ก็จะกลืนหายไปกับผืนทราย”
กอรี กิล
กิล ยังเล่าว่า สุสานแห่งนี้เป็นของผู้คนที่มีฐานะยากจน หากไม่ได้ไปเยือนสุสานพร้อมกับญาติผู้ตาย หรือคนในชุมชนที่ชี้ตำแหน่งให้ คนนอก อย่างเธอ ก็แทบมองไม่ออกเลยว่านี่คือหลุมศพ
ละครของสามัญชน – Acts of Appearance
Acts of Appearance คือ อีกหนึ่งโปรเจกต์ที่กิลร่วมมือกับช่างทำหน้ากากในชุมชน Warli และ Kokna
โดยปกติแล้วหน้ากาก โบฮาดา (Bohada) สีสันสดใสนี้ จะถูกในการเล่นละครที่เป็นเรื่องราวของเทพเเจ้าในตำนาน แต่กิลเลือกจะใช้หน้ากากแทนหน้าคน
“ฉันเปลี่ยนให้หน้ากากเป็นหน้าคนในชุมชน แล้่วให้พวกเขาเล่นละคร เล่าเรื่องราวในชีวิประจำวัน และสะท้อนสังคมในเวลานั้นแทน ฉัันอยากให้ผู้คนจินตนาการถึงเสรีภาพใต้หน้ากาก นี่คือวิธีสะท้อนตัวตน และสำรวจชีวิตในปัจจุบันได้มากกว่าการคุยเรื่องอดีตอันไกลโพ้น”
กอรี กิล
กิลใช้หน้ากาก เป็นการตั้งคำถามเชิงปรัชญาว่า ตัวตนหรือใบหน้าที่คนอื่นเห็นเรา เป็นใบหน้าที่แท้จริงของเราจริงหรือไม่ ?
หากเปรียบกับการถ่ายภาพ ภาพถ่ายของกิล อาจทำหน้าที่สะท้อน สายตา ของเธอที่จ้องมองไปที่ชุมชนเท่านั้น แต่การที่ชาวบ้านได้เล่นละคร แล้วบอกเล่าเรื่องราวและตัวตนของพวกเขา ผ่านหน้ากากที่มีใบหน้าของพวกเขาเอง ด้วยสายตาของพวกเขาเองเช่นกัน

เครื่องมือรับฟังหลังเสียงชัตเตอร์
กิล ยังเล่าด้วยว่า แค่เธอลงไปอยู่กับผู้คนในชุมชน ใช้ชีวิตอยู่อย่านั้นโดยไม่ตัดสิน เมื่อเวลาผ่านไปนานพอ เรื่องราวที่ค่อย ๆ ผุดขึ้นมาให้เห็น เธอเพียงแค่หยิบกล้องขึ้นมาบันทึกไว้ ภาพถ่ายของเธอ ไม่ใช่สิ่งที่ตัดสินว่าชุมชนหรือผู้คนที่นั่นเป็นอย่างไร แต่ การถ่ายภาพ คือเครื่องมือการรับฟังที่ดีสุดต่างหาก
“อินเดีย คือ หนึ่งในประเทศที่เต็มไปด้วยความเหลื่อมล้ำ แต่พวกเขาไม่เคยถูกมองเห็น เพราะเรื่องราวมักถูกบอกเล่าโดยผู้มีอำนาจเสมอ ฉันจึงเลือกจะรับฟังเสียงของพวกเขาด้วย สายตา แล้วบันทึกไว้เป็นภาพถ่ายที่สะท้อนความยากลำบากในชีวิตของพวกเขา ฉันอยากให้โลกเห็นว่ามันเกิดอะไรขึ้น และพวกเขาเอาตัวรอดอย่างสง่างามเช่นนี้ได้อย่างไร”
กอรี กิล
ช่างภาพหญิงชาวอินเดีย ยังได้อธิบาย ถึงสายตาของเธอที่มองเห็นประเทศบ้านเกิด กับผู้คนที่เผชิญกับความเหลื่อมล้ำ ไร้ความหวัง และเชื่อมั่นในพลังของภาพถ่ายของเธอมากกว่่าสิ่งใดเสียอีก
“ฉันรู้ดีว่าปัญหาเหล่านี้คงไม่จบสิ้นลงในเร็ววัน และความสงสารหรือโศกเศร้าไม่เคยช่วยอะไร แต่แทนที่จะอยู่่แต่ในฟองสบู่ที่หรูหรา ฉันขออเลือกที่จะทำสิ่งเล็ก ๆ เหล่านี้เพื่อให้ผู้คนรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบนโลกใบนี้ ยังดีกว่าปิดหูปิดตาไม่รับรู้อะไรเลย”
กอรี กิล
กิล ยังเชื่อว่าในโลกอันเปราะบาง และไม่ยุติธรรมเช่นนี้ ยังมีความงดงามของผู้คนซ่อนอยู่ ภาพถ่าย จะทำหน้าที่เป็นหน้าต่างแห่งความหวัง และประตูเชื่อมใจ ให้ผู้คนในโลกหันมามองเห็นปัญหาความเหลื่อมล้ำขนาดใหญ่ในผู้คนตัวเล็ก ๆ แห่งนี้บ้างเสียที
กอรี กิล คือ 1 ใน 12 ศิลปิน ที่ได้รับการคัดเลือกเข้าสู่รอบสุดท้ายในการประกวดภาพถ่ายของ Prix Pictet ครั้งที่ 10 ในหัวข้อ “Human” และได้รับรางวัลชนะเลิศ

ที่มา : หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร (BACC)

ที่มา : หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร (BACC)
ผลงานทั้ง 12 ชิ้น จากศิลปินภาพถ่ายทั่วโลก สะท้อนความเป็นมนุษย์ที่ต้องต่อรองกับความโหดร้ายในบ้านเมือง ภัยพิบัติ และตัวตน ผ่านความยากจนแร้นแค้นในอินเดีย ผลพวกแห่งสงครามรัสเซีย-ยูเครน พิธีกรรมการต่อรองกับธรรมชาติผ่านร่างกายในอิหร่าน กระทั่ง ความหวังคร้ั้งสุดท้ายของชนเผ่าอินนุก เมื่อน้ำแข็งขั้วโลกกำลังละลาย
โดยนิทรรศการภาพถ่าย Prix Pictet Human จัดแสดงไปจนถึงวันที่ 23 พฤศจิกายนนี้ ณ ห้องนิทรรศการหลัก ชั้น 9 หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร (BACC) ภายใต้ความร่วมมือกับ Pictet Group และ สถาบันเกอเธ่ ประเทศไทย