บาดแผลร้าวลึกของผู้คน ไม่เคยจบลงพร้อมเสียงปืน

“ไม่มีใครอยู่ที่นี่อีกแล้ว คนที่เหลือยู่ในเมืองนี้ มีแต่ฆาตกร คนไร้ที่ไป และคนที่รอคอยพบเจอศพที่สูญหาย”

หลังการสิ้นสุดของสงคราม เสียงปืนลั่นและระเบิดสนั่นเริ่มจางหาย หลงเหลือไว้เพียงเศษซากแห่งสงครามในฐานะประจักษ์พยานชั้นดี หลายเมืองเต็มไปด้วยบ้านร้าง หมู่บ้านไม่เหลือกระทั่งผู้คน ร่องรอยของกระสุนบนฝาบ้าน คราบน้ำตา และบาดแผลทางใจของผู้คนในพื้นที่ไม่เคยลบเลือนไปจากใจ

The Active ชวนฟังเสียงคนทำงานในพื้นที่จริง บนสนามชีวิตที่เต็มไปด้วยเหตุปะทะและความรุนแรงถึงตาย ผ่าน 3 เรื่องราวความขัดแย้งจาก เหตุการณ์สังหารหมู่สเรเบรนิตซาในบอลข่าน (Balkans) ที่บอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา (Bosnia and Herzegovina) จนถึง ศึกสงครามจีวรในเมียนมา และ ความไม่สงบสามจังหวัดชายแดนใต้

สงคราม-เหตุความรุนแรงทิ้งอะไร ? ไว้ให้ผู้คนข้างหลัง และบทเรียนราคาแพงแบบไหน ? ที่เรายังต้องจ่าย หากไร้ซึ่ง สันติภาพ

30 ปี บาดแผลทางใจ เหตุการณ์สังหารหมู่สเรเบรนิตซา

ปี 1995 เกิดเหตุการณ์ความรุนแรงครั้งใหญ่ที่สร้างความสะเทือนใจไปทั่วโลก คือ “เหตุการณ์สังหารหมู่สเรเบรนิตซา” (Srebrenica massacre) ในบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา หนึ่งในโศกนาฏกรรมที่เลวร้ายที่สุดของ สงครามบอสเนีย

ณ สเรเบรนิตซา เมืองเล็ก ๆ ทางตะวันออกของบอสเนีย  กองกำลังเซิร์บแห่งบอสเนียใช้เวลาเพียงไม่กี่วันในการลงมือสังหาร กวาดล้างชาวบอสเนีย (Bosniak) มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 8,000 คน ความโหดร้ายป่าเถื่อนในครั้งนี้ ทำให้ศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICTY) และศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) รับรองว่าเป็น การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ (genocide)

แผนที่แสดงบริเวณ สเรเบรนิตซา (Srebrenica) บอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา (Bosnia and Herzegovina) (ที่มา: britannica)

ภัทรภร ภู่ทอง คือ นักวิจัยที่ลงไปทำงานในบอลข่าน (Balkans) ที่บอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา (Bosnia and Herzegovina) และคอซอวอ (Kosovo) เล่าว่า แม้ประวัติศาสตร์ความรุนแรงนี้จะจบลงด้วยการยุติการสู้รบด้วยอาวุธไปแล้วราว 30 ปีก่อน แต่ยังคงทิ้งบาดแผลไว้ให้ผู้คนในพื้นที่กระทั่งทุกวันนี้

“เราเห็นเด็กชาวเซิร์บ กับเด็กชาวบอสนีแอกที่เรียนอยู่โรงเรียนเดียวกัน แต่ต้องไปคนละเวลา มีเวลาพักกลางวันต่างกันเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้พวกเขาเจอ หรือปฏิสัมพันธ์ต่อกัน

“โรงเรียนกลายเป็นพื้นที่แบ่งแยกอย่างชัดเจน ทั้งที่ควรจะเป็นพื้นที่แห่งความแตกต่างหลากหลาย ที่ให้คนในความเชื่อต่างกันได้ปฏิสัมพันธ์แลกเปลี่ยนกันในชีวิตจริง”

ภัทรภร ภู่ทอง

เธอมองว่า หลังจากเหตุการณ์ในครั้งนั้น ชุมชนหลายแห่งก็ตั้งคำถามกับความเชื่อและความศรัทธามากยิ่งขึ้น หนึ่งในประสบการณ์กับเด็ก ๆ เหล่านี้ที่เธอได้เจอ คือ การพาทัวร์พิพิธภัณฑ์

ภัทราภร ยังเล่าอีกว่า เคยพากลุ่มเด็ก อายุราว 8–12 ปี ไปทัวร์พิพิธภัณฑ์ในซาราเยโว เมืองที่เต็มไปด้วยร่องรอยของความทรงจำสงคราม พวกเขาได้เดินเข้าไปทั้งโบสถ์คาทอลิก ออร์ทอดอกซ์ และมัสยิด ในโบสถ์แห่งหนึ่งมีภาพพระแม่อุมาที่กำลังจะให้กำเนิดอยู่ในรางหญ้า เชื่อกันว่าใครก็ตามที่อยากมีลูกสามารถขอพรได้ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือ เด็ก ๆ หันมามองหน้ากัน แล้วพูดออกมาทันทีว่า “นี่มันไร้สาระมาก” ทำให้ภัทราภรต้องหยุด แล้วถามตัวเองว่า เกิดอะไรขึ้นตรงหน้า

“การไร้ศาสนา ไร้ศรัทธา อาจไม่ใช่เรื่องแปลกในสังคมปัจจุบัน แต่คำถาม คือ เราจะสื่อสารเรื่องความเชื่ออย่างไรให้คนรุ่นใหม่ในพื้นที่ที่ผ่านสงคราม ผ่านความขัดแย้ง ให้ยังคงมองเห็นคุณค่าของ ความเชื่อ ในฐานะสิ่งที่เกี่ยวข้องกับการเคารพธรรมชาติและมิติจิตวิญญาณ ไม่ใช่เพียงการผูกโยงกับปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติเท่านั้น”

ภัทรภร ภู่ทอง

อีกสิ่งหนึ่งที่พบคือ บาดแผลทางใจ (trauma) ของผู้คนในพื้นที่ แม้ความขัดแย้งเพิ่งผ่านมาเพียง 25–30 ปี (ไม่ถึงหนึ่งชั่วอายุคน) แต่ทุกครอบครัวล้วนมีประสบการณ์สงคราม ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง 

ญาติผู้เสียชีวิตร้องไห้คร่ำครวญอยู่ข้างโลงศพ ก่อนการประกอบพิธีศพหมู่สำหรับเหยื่อที่เพิ่งถูกระบุว่าเป็นผู้เสียชีวิตจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์สเรเบรนิตซาในปี 1995 ซึ่งจัดขึ้นในปี 2015 (ที่มา: britannica)

“คนที่อายุเกิน 40 ปีขึ้นไปในบอสเนีย แทบไม่มีใครไม่เคยสัมผัสสงคราม สมาชิกในบ้านอย่างน้อยหนึ่งคนต้องเคยเป็นทหาร แต่ไม่ว่าจะเป็นทหารหรือพลเรือน ทุกคนต่างอยู่กับบาดแผลทางใจทั้งสิ้น”

ภัทรภร ภู่ทอง

ทั้งหมดนี้ ส่งผลกระทบต่อ โครงสร้างประชากรและอนาคตของสังคม ทำให้คนรุ่นใหม่ในพื้นที่ไม่อยากมีลูก เพราะไม่มั่นใจว่าความรุนแรงจะกลับมาอีกหรือไม่ มีตัวเลขชี้ว่า 15 ปีที่ผ่านมานี้ มีอัตราการเข้าเรียนมหาวิทยาลัยลดลงถึง 50% คนหนุ่มสาวกำลังเลือกเดินออกจากบ้านเกิด เช่นเดียวกับกลุ่มคนที่วางแผนว่า หากมีลูกจะอพยพย้ายถิ่นฐานออกไปยังยุโรปตะวันตก

เธอได้ลงไปสำรวจคือ เมืองสเรเบรนิตซา (Srebrenica) เมืองที่มี สังหารหมู่สเรเบรนิตซา (Srebrenica massacre) หนึ่งในเหตุการณ์การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่รุนแรงที่สุดครั้งหนึ่งของโลก

“เมืองสเรเบรนิตซา เคยมีผู้ชายในเมืองถูกสังหารกว่า 8 พันคนเพียงแค่ไม่กี่วัน ตอนนี้ คนที่เหลืออยู่ในเมืองนี้มีอยู่แค่ 3 กลุ่ม คือ ฆาตกร คนไร้ที่ไป และคนที่ยังรอคอยพบเจอศพที่สูญหาย”

ภัทรภร ภู่ทอง

แม้วันนี้ เสียงของปืนในพื้นที่ได้เงียบลงแล้ว แต่เสียงแห่งสงครามยังคงดังอยู่ในใจผู้คนพร้อมกับบาดแผลที่ไม่เคยจางหาย

“ทุกที่คือสุสาน”

เธอกล่าวสั้น ๆ 
หลุมศพที่ศูนย์รำลึกสเรเบรนิตซา–โปโตชารี (Srebrenica-Potočari Memorial Center)
ในประเทศบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา (ที่มา: britannica)

หากมองมุมสูงจากเครื่องบินตอนกำลังจะ landing ภาพที่เห็นคือผืนดินที่ขาวโพลน เต็มไปด้วยสุสาน ไม่ว่าจะเดินไปเหยียบตรงไหนของเมือง ก็มีแต่สัญลักษณ์ว่า ที่นี่มีคนตาย ไม่ว่าจะเป็นท้องถนน หรือม้านั่งในสวน

“ทุกร้อยเมตร เราจะเห็นสะเก็ดระเบิดถูกเพนต์สีแดงเป็นรอยกุหลาบบนถนน เวลาพวกเขาเดินผ่าน เขาจะอ้อม แล้วก้มหัวให้เหมือนเป็นการคำนับผู้ตาย แม้แต่ในตลาด ยังมีป้ายระบุไว้ว่าตรงนี้มีคนถูกฆ่าในวันไหน กี่คน”

“ผู้คนที่นั่นเหมือนแบกความหม่นเศร้า ทุกข์ระทม อาคารบ้านเรือนก็เต็มไปด้วยรูกระสุน เราเห็นหมู่บ้านร้างที่ไม่มีใครกลับมาอยู่ บ้านบางหลังยังมีคนอาศัยอยู่เพราะพวกเขาไม่มีที่ไป หรืออาจอยู่ด้วยความรู้สึกผิด หรือเพราะรับผิดชอบบางอย่างที่ผูกพันกับที่ตรงนั้น”

“2-3 วันแรกที่เราอยู่ที่นั่น เราร้องไห้ตลอด และไม่รู้จะจัดการอารมณ์อย่างไร”

ภัทราภร บอกเล่าความรู้สึกที่เธอมีต่อพื้นที่แห่งนั้น…

แม้สุดท้ายจะรักษาระยะห่างทางความรู้สึกกับพื้นที่ได้ แต่ยังมีเรื่องให้ต้องขบคิดอีกมากมาย ว่าอีก 10-30 ปีข้างหน้า สถานการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นบนโลกแห่งนี้จะเป็นอย่างไร และต้องทำอย่างไรเพื่อไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเช่นนี้

ศึกจีวรสนทนา : บทเรียนความรุนแรงของพระในเมียนมา

ย้อนไปเมื่อปี 2012 เกิดสถานการณ์ความขัดแย้งทางชาติพันธุ์ ที่ลุกลามกลายเป็นความขัดแย้งทางศาสนาในรัฐยะไข่ (Rakhine State) ประเทศเมียนมา เกิดการประท้วง ก่อจลาจล การปะทะรุนแรงเกิดขึ้นระหว่างชาวยะไข่ที่นับถือศาสนาพุทธ และชาวโรฮิงญาที่นับถือศาสนาอิสลาม 

หนึ่งในกลุ่มเคลื่อนไหวสำคัญในครั้งนั้น คือ กลุ่มมาบาธะ (MaBaTha) ภายใต้การนำของพระวีระธู (U Wirathu) หรือที่เรียกกันว่าพระสายชาตินิยม ที่ต่อมา เกิดความขัดแย้งกับกลุ่มพระสายประชาธิปไตย

ภาพ : BBC NEWS ไทย

ชาญชัย ชัยสุขโกศล กระบวนกรด้านการแปลงเปลี่ยนความขัดแย้ง หนึ่งในนักวิจัยผู้เคยลงพื้นที่ในสนามความขัดแย้งเมียนมา เล่าว่า ตนเองได้ไปเมียนมาครั้งแรกราวปี 2016 ซึ่งเป็นช่วงเพิ่งเปิดประเทศ สังคมยังเต็มไปด้วยความขัดแย้งในหลายมิติ บาดแผลทางการเมืองและศาสนายังคงสดใหม่

หน้าที่ในครั้งนั้นคือการเข้าไปสร้าง กระบวนการอบรมเพื่อสร้างการสื่อสารและความเข้าใจระหว่างคนพุทธกับมุสลิม โดยเริ่มจากฝั่งคนพุทธด้วยกันที่แตกแยกออกเป็นหลายกลุ่มชัดเจน และระหว่างพระด้วยกัน กลุ่มหนึ่งอยู่ฝั่งชาตินิยม และอีกกลุ่มหนึ่งอยู่ฝั่งประชาธิปไตย

“ช่วงนั้น พระกลุ่มมาบาธะถูกจับตาอย่างหนัก หลายคนเห็นว่าทำตัวเป็นพระฝ่ายขวาสุดโต่ง ใช้คำเทศน์เพื่อปลุกเร้าความเกลียดชัง”

ชาญชัย ชัยสุขโกศล

การสนทนาท่ามกลางความคุกรุ่นเกิดขึ้นในห้องแคบ ๆ  สร้างความท้าทายให้ ชาญชัย ที่ต้องทำหน้าที่เป็นกระบวนกรไม่น้อย

“พระบางรูปในห้องนั้นมีเพื่อนที่เคยถูกจับเข้าคุก หรือเสียชีวิตจากเหตุการณ์ Saffron Movement 2007 (การปฏิวัติสีแสด) ในขณะที่พระอีกกลุ่มพูดขึ้นมาว่า ถูกแล้วที่เขาต้องตาย สมควรแล้วที่เขาต้องคิดคุก บรรยากาศเต็มไปด้วยแรงของอารมณ์ พระบางรูปเดินวนไปวนมา นั่งไม่ติด จีวรร้อนผ่าว เพราะข้างในใจคุกรุ่นสุดขีด”

“ยังไม่นับรวมถึงการมีประเด็นร้อนเรื่องโรฮิงญาในขณะนั้น ที่ฝ่ายชาตินิยมมี เรื่องเล่า ที่ตอกย้ำความหวาดกลัวมากมาย ไม่ว่าจะบอกว่า ‘เดินในรัฐยะไข่แล้วเจอไม้แหลมปักรออยู่ข้างทาง’ เป็นการสื่อว่ามุสลิมคือภัย แต่ฝ่ายประชาธิปไตยก็นำข้อมูลมาหักล้าง สุดท้ายการพูดคุยวนไปวนมาแทบหาข้อสรุปไม่ได้”

ชาญชัย ชัยสุขโกศล

เป้าหมายของการทำกระบวนการในครั้งนั้น คือ การพยายามให้ทุกฝ่ายหันหน้ารับฟังกัน และโฟกัสลึกลงไปที่ คุณค่าที่แท้จริง ที่อีกฝ่ายยึดถือ มากกว่า คำพูด ที่ออกมาจากปาก

“ภายใต้ถ้อยคำรุนแรงของพระฝ่ายชาตินิยมที่ได้ยิน ผมลองให้พระฝ่ายประชาธิปไตยลองมองให้ลึก และหาว่าพวกเขารู้สึกอย่างไร และกำลังปกป้องอะไรอยู่ ? ผลลัพธ์ไม่คาดคิด พระฝ่ายชาตินิยมบอกว่า เสียงสะท้อนนี้ทำให้เขา รู้สึกได้รับความเข้าใจ

ชาญชัย ชัยสุขโกศล

ภาพ : BBC NEWS ไทย

เห็นได้ชัดว่า คำพูดที่ออกมาภายนอกอาจเต็มไปด้วยความแข็งกร้าวรุนแรง แต่เมื่อเรามองลึกลงไปข้างใน เราจะได้เห็นความบริสุทธิ์ของจิตใจ และความหวงแหนต่อพระพุทธศาสนา

“พระในเมียนมาส่วนใหญ่บวชตั้งแต่เด็ก การใช้ชีวิตทางโลกมีน้อย พวกเขารู้จักเพียงไม่กี่วิธีในการปกป้องสิ่งที่ตนเองรัก พอมีใครที่รับฟังอย่างเข้าใจ แม้จะไม่เห็นด้วย แต่ก็ทำให้ใจเขาเปิดออก”

ชาญชัย ชัยสุขโกศล

เมื่อกระบวนการสิ้นสุดลง สิ่งที่เกิดขึ้นคือ พระทั้งสองฝ่ายสามารถกลับมาคุยกันต่อเองได้ แม้ยังไม่ใช่ฉันทามติสมบูรณ์ แต่ก็เป็นการเริ่มต้นใหม่ที่สำคัญ

เรื่องเล่าจากเมียนมาในครั้งนั้น สะท้อนว่า การสร้างสะพานสนทนาแห่งความเห็นต่าง อาจไม่ได้เริ่มจากการหาข้อสรุป แต่เริ่มจากการทำให้ “อีกฝ่ายรู้สึกว่าตนถูกรับฟังและเข้าใจ” ต่างหาก

อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ความรุนแรงในเมียนมายังมิติทับซ้อนจากบริบทของประเทศหลายอย่าง หนึ่งในนั้นคือ บริบททางการเมือง ที่เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ

“หลังรัฐประหาร มันเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ” เขาเปรียบเทียบ ก่อนบอกว่าช่วงก่อนรัฐประหาร ไม่ว่าคนเมียนมาจะทะเลาะกันมากเพียงใด แต่อย่างน้อยพวกเขายังมีความหวัง เพราะเชื่อว่าบ้านเมืองของเขา “ยังมีประชาธิปไตย ยังมีเสรีภาพที่จะวิจารณ์ทหาร”

แต่หลังรัฐประหาร ทั้งประเทศเหมือนตกอยู่ในความซึมเศร้า ผู้คนอยู่ในบ้านเมืองด้วยความหวาดกลัว

“การอยู่บ้านคนเดียวอันตรายมาก ไม่รู้ว่าทหารเมียนมาจะบุกเข้ามาเมื่อไหร่” 

ชาญชัย ชัยสุขโกศล

ชาญชัย ยังเล่าถึงสิ่งที่ได้รับฟังจากหญิงสาวเมียนมา ว่า ตลอด 70 ปี หลังเมียนมาได้รับเอกราชจากอังกฤษ เคสข่มขืนเช่นนี้ก็เกิดขึ้นมาโดยตลอด การเป็นผู้หญิงโดยเฉพาะชนกลุ่มน้อยในเมียนมาจึงถือเป็นสถานะที่อันตรายมาก

ปัจจุบัน สถานการณ์ยิ่งเลวร้ายลงอีก ไม่เพียงผู้หญิง แต่กลุ่มคนที่ต้องเผชิญกับอคติทับซ้อน ทั้งเรื่องชาติพันธุ์ ศาสนา และเพศสภาพ กลายเป็นกลุ่มที่ต้องระวังตัวเป็นพิเศษ เช่น เคสของ LGBTQ+ ที่ถูกบังคับให้เกณฑ์ทหาร จนต้องไปเป็นทหารแนวหน้า ที่สุดท้ายต้องจบชีวิตลง สิ่งนี้คือ ความสูญเสียที่ไม่มีทางเลือก

ช่วงแรกหลังรัฐประหาร ชาวเมียนมาเล่าว่าแม้แต่เดินออกไปปากซอยยังไม่มั่นใจเลยว่าจะปลอดภัยไหม กลัวถูกจับ กลัวถูกยิง แม้แต่การสื่อสารออนไลน์ก็เต็มไปด้วยความเสี่ยง 

ชาญชัย ย้ำถึงวิธีการทำงาน ว่าเมื่อไหร่ที่จัดกระบวนการออนไลน์ พวกเขาจะปิดกล้อง เมื่อต้องพูดอะไรบางอย่าง พวกเขาจะไม่พูด แต่ใช้วิธีการพิมพ์ข้อความใน zoom แทน เขาบอกว่า “กำแพงมีหู” และขณะนั่งคุยอยู่ เอกสารสำคัญต้องซ่อนเอาไว้ใต้เบาะที่นั่งเสมอ หากมีอะไรเกิดขึ้นจะได้หนีได้ทัน พวกเขาไม่มีความปลอดภัยใด ๆ ในชีวิตเหลืออยู่อีกแล้ว

“ผมได้ยินเรื่องราวแบบนี้มากมายจากการทำงานกับชาวเมียนมา หลายคนซึมเศร้า และฆ่าตัวตาย คนรุ่นใหม่เริ่มหนีออกนอกประเทศ ส่วนคนที่เหลืออยู่ทำได้เพียงแค่แค่พยายามดูแลใจตัวเอง”

ชาญชัย ชัยสุขโกศล ทิ้งท้าย

เรื่องเล่าชายแดนใต้ :
หากสอนให้เด็กภูมิใจในเครื่องแบบลายพราง แล้วเขาจะรู้จักสันติภาพได้อย่างไร ?

ตุลาคม 2548 วัดพรหมประสิทธิ์ อำเภอรือเสาะ จังหวัดนราธิวาส พระแก้ว โกสโร และเด็กวัดถูกคนร้ายบุกเข้าไปทุบตี สังหารด้วยมีดพร้าและเผาร่างถึงในกุฏิ

เหตุการณ์นั้นไม่เพียงพรากชีวิตพระและเด็กวัด แต่ยังสั่นสะเทือนคนไทยทั้งประเทศ เพราะการที่พระสงฆ์ธรรมดารูปหนึ่งถูกฆ่าตาย คือการทำลายขวัญของชุมชน และตอกย้ำว่า ไม่มีใครในที่แห่งนี้ปลอดภัยอีกแล้ว เหตุการณ์รุนแรงในครั้งนั้น หลายฝ่ายลงความเห็นว่าเป็นความพยายามสร้างสถานการณ์ให้เกิดความขัดแย้งระหว่างไทยพุทธและไทยมุสลิม 

เหตุการณ์ในครั้งนั้น สร้างความสะเทือนใจอย่างมากให้กับ ผศ.พัทธ์ธีรา นาคอุไรรัตน์ อาจารย์และนักวิจัยสถาบันสิทธิมนุษยชนและสันติศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล และกลายเป็นผลักดันให้ลงทำงานในพื้นที่ขัดแย้งรุนแรงถึงตายอย่างสนามชายแดนใต้

“เราลงพื้นที่ในปี 2553 ตอนนั้น ครู กลายเป็นเป้าหมายความรุนแรง การสังหารครูเกิดขึ้นซ้ำ ๆ และทุกครั้งที่ครูถูกทำร้าย สิ่งที่ผุดขึ้นมาในหัวซ้ำ เด็ก

ผศ.พัทธ์ธีรา นาคอุไรรัตน์

ผศ.พัทธ์ธีรา ย้อนเล่าช่วงแรกที่ลงไปสัมผัสชีวิตจริงในพื้นที่ความไม่สงบสามจังหวัดชายแดนใต้ที่เริ่มต้นด้วยการลงไปเป็นครูอาสาในโรงเรียนท้องถิ่น ทำหน้าที่สอนเด็ก ๆ ตั้งแต่ชั้นอนุบาล 1 ถึง ม.3

“วันหนึ่ง สอนอยู่ดี ๆ ผู้ปกครองก็วิ่งมาบอกว่า ต้องขอเอาเด็กกลับบ้าน เพราะมีคนที่บ้านถูกยิง เราไม่รู้จะจัดการความรู้สึกตัวเองยังไง วันต่อ ๆ มา เด็กบางคนก็เรียนไม่ไหว ร้องไห้ เราทำได้แค่กอดเด็กทุกคน ชวนคิดชวนคุย พยายามทำให้ห้องเรียนเป็นพื้นที่ปลอดภัย”

ผศ.พัทธ์ธีรา นาคอุไรรัตน์

ผศ.พัทธ์ธีรา ยังพาเราย้อนไปถึงช่วงแห่งความรุนแรงเมื่อเกือบ 20 ปีที่แล้ว

จากการทำงานในพื้นที่มากกว่าทศวรรษ สิ่งที่ได้พบคือภาพของความไม่มั่นคงซ้ำ ๆ ที่แม้ดูเหมือนสถานการณ์ชายแดนใต้จะดีขึ้น แต่ความเป็นจริง ความรุนแรงยังคงเกิดขึ้นทุกวัน และกัดกินคนในพื้นที่อย่างไม่มีที่สิ้นสุด

จากการคุยกับชาวบ้านในพื้นที่ ผศ.พัทธ์ธีรา บอกว่า ชาวบ้านจำนวนมากอยากให้ยกเลิกกฎหมายพิเศษ และนำทหารออกไปจากพื้นที่เสียที แต่ในทางกลับกัน ฝ่ายความมั่นคงกลับพยายามให้ผู้ชายในหมู่บ้านมาฝึก เพื่อเข้าร่วมเป็นชุดคุ้มครองหมู่บ้าน (แลกกับเงินเดือนและเงินชดเชยหากบาดเจ็บหรือตาย)

“ผมไม่มีทางเลือก ไม่อยากเป็นชุดคุ้มครองอะไรทั้งนั้น” นี่คือเสียงของชายคนหนึ่งที่ ผศ.พัทธ์ธีรา พบเจอในพื้นที่ เขาแสดงความอัดอั้นตนใจเพราะสถานะนี้ทำให้เขาตกอยู่ในความเสี่ยง

“คนนอกหมู่บ้านมองว่าเขาเป็นสายให้ทหาร ส่วนคนในหมู่บ้านเองก็มองว่าเขาเป็นมุสลิม แต่ทำไมไปรับใช้ทหาร มันทำให้ชีวิตเขาอยู่ยากมาก แต่แน่นอนว่าเขาไม่มีทางเลือก” 

ผศ.พัทธ์ธีรา นาคอุไรรัตน์

ผศ.พัทธ์ธีรา อธิบายว่าการลงไปเป็นครูในพื้นที่ของเธอช่วยเปิดโอกาสให้ได้สัมผัส พูดคุยลึก ๆ กับผู้คนในพื้นที่มากมาย จนพบว่า คนในพื้นที่เสี่ยงตายเหล่านี้ แทบไม่มีโอกาสได้กำหนดชะตากรรมของตนเองเลย

ตลอด 15 ปีในพื้นที่ ทำให้เห็นว่าความรุนแรงกระทบผู้คนในพื้นที่ทุกหย่อมหญ้า สภาพแวดล้อมกดทับจนเจ็บป่วยด้วยปัญหาสุขภาพจิต และไม่มีใครใช้ชีวิตได้อย่างอิสระจนถึงปัจจุบัน

ข้อมูลจาก News Reporting Standard in Conflict Situations and Transformative Learning รายงานว่า ระหว่าง พ.ศ. 2547 –  2563 พบว่า ในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ (ปัตตานี ยะลา นราธิวาส และ 4 อำเภอในสงขลา) มีจำนวนผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตรวม 7,260 ราย โดยแบ่งตาม ผู้ถืออาวุธ (Hard Target) ราว 38% และ พลเรือน (Soft Target) ราว 61% และมีผู้ที่ ไม่ชัดเจน ประมาณ 1%

ทั้งหมดนี้ สะท้อนภาพความรุนแรงที่เกิดขึ้นทั้งในประเทศไทยและเพื่อนบ้าน รวมถึงความขัดแย้งระดับโลก แต่หลายครั้งที่เรายังเห็นการเชียร์ให้ใช้ความรุนแรงอย่างขาดสติ ราวกับว่ากำลังเสพติดความรุนแรงอยู่

“ในขณะที่คนเชียร์ให้ไปรบกัน แต่ในพื้นที่ชายแดนใต้จริง คนที่ต้องไปรบคือลูกหลานชาวบ้านที่ถูกเกณฑ์มาเป็นทหาร ไม่เคยเห็นนายพลเดินลาดตระเวน หรือไปโดยไม่มีบอดีการ์ดสักครั้ง”

ผศ.พัทธ์ธีรา นาคอุไรรัตน์

ผศ.พัทธ์ธีรา ยกตัวอย่างว่าเสียงเชียร์เหล่านี้ คือ วัฒนธรรมความรุนแรง หากเปรียบว่าเราอาศัยอยู่ในบ้าน บ้านหลังนี้กำลังหยั่งรากลึกบนพื้นฐานโครงสร้างของความรุนแรง มีหลังคาเป็นวัฒนธรรมอำนาจครอบงำ 

แผนภาพแสดงโครงสร้างของวัฒนธรรมความรุนแรง

“หลังคาบ้านเราคือวัฒนธรรมอำนาจครอบงำ อำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดที่ให้เราไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ากำลังโดนล้างสมองด้วยระบบ หรือกลไกอะไรในสังคมบ้าง”

ผศ.พัทธ์ธีรา นาคอุไรรัตน์

หากมองที่เสาบ้าน เราจะเห็นว่ามันฝังอยู่ทั้งในทุกมิติของชีวิต หนึ่งในนั้น คือ การศึกษา

“ล่าสุดเราเห็นการนำทหารเข้าไปสอนหนังสือในโรงเรียน สอนให้เด็กภูมิใจในเครื่องแบบลายพราง แทบไม่ต่างกับระบบการศึกษาที่นาซีเยอรมันทำช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2”

ผศ.พัทธ์ธีรา นาคอุไรรัตน์

เหล่านี้คือรากฐานของวัฒนธรรมอำนาจนิยมที่ปลูกฝังให้คนพร้อมจะใช้ความรุนแรง มันกำลังครอบงำเราเชื่อโดยไม่เคยตั้งคำถาม

ผศ.พัทธ์ธีรา อธิบายว่า การสร้างสันติภาพจะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของนักการเมืองฝ่ายเดียวไม่ได้ เพราะหากมีเจตจำนงที่ไม่ชัดเจนก็อาจกลายเป็นการสร้างสงคราม สิ่งนี้จึงควรถูกวางรากฐานไว้ตั้งแต่ในห้องเรียน

“สถาบันการศึกษาทุกระดับต้องทำหน้าที่ตามปรัชญาการศึกษา คือ ตั้งอยู่บนมนุษยธรรม ปฏิบัติต่อกันในฐานะเพื่อนร่วมโลก ให้ทุกคนเข้าถึงความเป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์ ซาบซึ้งต่อความเจ็บปวด ความเศร้า เมตตาต่อกัน และเห็นอกเห็นใจผู้อื่น”

ผศ.พัทธ์ธีรา นาคอุไรรัตน์

เพราะการเรียนรู้ ไม่ใช่การใช้สมองเพียงอย่างเดียว แต่ต้องใช้หัวใจด้วย นี่จึงเป็นสิ่งที่เรียกว่า การศึกษาเพื่อสันติภาพ

“เพราะสันติภาพไม่ได้เริ่มต้นจากโต๊ะเจรจาเพียงอย่างเดียว หากแต่เริ่มจากหัวใจที่มองเห็นความเป็นมนุษย์ของกันและกันต่างหาก”

ผศ.พัทธ์ธีรา นาคอุไรรัตน์ ทิ้งท้าย

ผศ.พัทธ์ธีรา นาคอุไรรัตน์ (ซ้าย) ภัทรภร ภู่ทอง (กลาง) ชาญชัย ชัยสุขโกศล (ขวา)

เนื้อหาทั้งหมดเป็นส่วนหนึ่งจากงานเสวนาวิชาการ “สันติวิธีจากภาคสนาม ที่รุนแรงถึงตาย เราเรียนรู้อะไร” ส่วนหนึ่งของงาน “จากการต่อต้านสงครามสู่สันติภาพ: 80 ปี มรดกของขบวนการเสรีไทย เส้นทางสู่สันติภาพและความเป็นธรรมอย่างยั่งยืน” ณ สถาบันสิทธิมนุษยชนและสันติศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา วันที่ 20 สิงหาคม 2568

Author

Alternative Text
AUTHOR

ปุณยอาภา ศรีคิรินทร์

บุญคุณต้องทดแทน มนต์แคนต้องแก่นคูน