“ไม่มีใครอยู่ที่นี่อีกแล้ว คนที่เหลือยู่ในเมืองนี้ มีแต่ฆาตกร คนไร้ที่ไป และคนที่รอคอยพบเจอศพที่สูญหาย”
หลังการสิ้นสุดของสงคราม เสียงปืนลั่นและระเบิดสนั่นเริ่มจางหาย หลงเหลือไว้เพียงเศษซากแห่งสงครามในฐานะประจักษ์พยานชั้นดี หลายเมืองเต็มไปด้วยบ้านร้าง หมู่บ้านไม่เหลือกระทั่งผู้คน ร่องรอยของกระสุนบนฝาบ้าน คราบน้ำตา และบาดแผลทางใจของผู้คนในพื้นที่ไม่เคยลบเลือนไปจากใจ
The Active ชวนฟังเสียงคนทำงานในพื้นที่จริง บนสนามชีวิตที่เต็มไปด้วยเหตุปะทะและความรุนแรงถึงตาย ผ่าน 3 เรื่องราวความขัดแย้งจาก เหตุการณ์สังหารหมู่สเรเบรนิตซาในบอลข่าน (Balkans) ที่บอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา (Bosnia and Herzegovina) จนถึง ศึกสงครามจีวรในเมียนมา และ ความไม่สงบสามจังหวัดชายแดนใต้…
สงคราม-เหตุความรุนแรงทิ้งอะไร ? ไว้ให้ผู้คนข้างหลัง และบทเรียนราคาแพงแบบไหน ? ที่เรายังต้องจ่าย หากไร้ซึ่ง สันติภาพ
30 ปี บาดแผลทางใจ เหตุการณ์สังหารหมู่สเรเบรนิตซา
ปี 1995 เกิดเหตุการณ์ความรุนแรงครั้งใหญ่ที่สร้างความสะเทือนใจไปทั่วโลก คือ “เหตุการณ์สังหารหมู่สเรเบรนิตซา” (Srebrenica massacre) ในบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา หนึ่งในโศกนาฏกรรมที่เลวร้ายที่สุดของ สงครามบอสเนีย
ณ สเรเบรนิตซา เมืองเล็ก ๆ ทางตะวันออกของบอสเนีย กองกำลังเซิร์บแห่งบอสเนียใช้เวลาเพียงไม่กี่วันในการลงมือสังหาร กวาดล้างชาวบอสเนีย (Bosniak) มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 8,000 คน ความโหดร้ายป่าเถื่อนในครั้งนี้ ทำให้ศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICTY) และศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) รับรองว่าเป็น การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ (genocide)

ภัทรภร ภู่ทอง คือ นักวิจัยที่ลงไปทำงานในบอลข่าน (Balkans) ที่บอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา (Bosnia and Herzegovina) และคอซอวอ (Kosovo) เล่าว่า แม้ประวัติศาสตร์ความรุนแรงนี้จะจบลงด้วยการยุติการสู้รบด้วยอาวุธไปแล้วราว 30 ปีก่อน แต่ยังคงทิ้งบาดแผลไว้ให้ผู้คนในพื้นที่กระทั่งทุกวันนี้
“เราเห็นเด็กชาวเซิร์บ กับเด็กชาวบอสนีแอกที่เรียนอยู่โรงเรียนเดียวกัน แต่ต้องไปคนละเวลา มีเวลาพักกลางวันต่างกันเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้พวกเขาเจอ หรือปฏิสัมพันธ์ต่อกัน
ภัทรภร ภู่ทอง
“โรงเรียนกลายเป็นพื้นที่แบ่งแยกอย่างชัดเจน ทั้งที่ควรจะเป็นพื้นที่แห่งความแตกต่างหลากหลาย ที่ให้คนในความเชื่อต่างกันได้ปฏิสัมพันธ์แลกเปลี่ยนกันในชีวิตจริง”
เธอมองว่า หลังจากเหตุการณ์ในครั้งนั้น ชุมชนหลายแห่งก็ตั้งคำถามกับความเชื่อและความศรัทธามากยิ่งขึ้น หนึ่งในประสบการณ์กับเด็ก ๆ เหล่านี้ที่เธอได้เจอ คือ การพาทัวร์พิพิธภัณฑ์
ภัทราภร ยังเล่าอีกว่า เคยพากลุ่มเด็ก อายุราว 8–12 ปี ไปทัวร์พิพิธภัณฑ์ในซาราเยโว เมืองที่เต็มไปด้วยร่องรอยของความทรงจำสงคราม พวกเขาได้เดินเข้าไปทั้งโบสถ์คาทอลิก ออร์ทอดอกซ์ และมัสยิด ในโบสถ์แห่งหนึ่งมีภาพพระแม่อุมาที่กำลังจะให้กำเนิดอยู่ในรางหญ้า เชื่อกันว่าใครก็ตามที่อยากมีลูกสามารถขอพรได้ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือ เด็ก ๆ หันมามองหน้ากัน แล้วพูดออกมาทันทีว่า “นี่มันไร้สาระมาก” ทำให้ภัทราภรต้องหยุด แล้วถามตัวเองว่า เกิดอะไรขึ้นตรงหน้า
“การไร้ศาสนา ไร้ศรัทธา อาจไม่ใช่เรื่องแปลกในสังคมปัจจุบัน แต่คำถาม คือ เราจะสื่อสารเรื่องความเชื่ออย่างไรให้คนรุ่นใหม่ในพื้นที่ที่ผ่านสงคราม ผ่านความขัดแย้ง ให้ยังคงมองเห็นคุณค่าของ ความเชื่อ ในฐานะสิ่งที่เกี่ยวข้องกับการเคารพธรรมชาติและมิติจิตวิญญาณ ไม่ใช่เพียงการผูกโยงกับปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติเท่านั้น”
ภัทรภร ภู่ทอง
อีกสิ่งหนึ่งที่พบคือ บาดแผลทางใจ (trauma) ของผู้คนในพื้นที่ แม้ความขัดแย้งเพิ่งผ่านมาเพียง 25–30 ปี (ไม่ถึงหนึ่งชั่วอายุคน) แต่ทุกครอบครัวล้วนมีประสบการณ์สงคราม ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

“คนที่อายุเกิน 40 ปีขึ้นไปในบอสเนีย แทบไม่มีใครไม่เคยสัมผัสสงคราม สมาชิกในบ้านอย่างน้อยหนึ่งคนต้องเคยเป็นทหาร แต่ไม่ว่าจะเป็นทหารหรือพลเรือน ทุกคนต่างอยู่กับบาดแผลทางใจทั้งสิ้น”
ภัทรภร ภู่ทอง
ทั้งหมดนี้ ส่งผลกระทบต่อ โครงสร้างประชากรและอนาคตของสังคม ทำให้คนรุ่นใหม่ในพื้นที่ไม่อยากมีลูก เพราะไม่มั่นใจว่าความรุนแรงจะกลับมาอีกหรือไม่ มีตัวเลขชี้ว่า 15 ปีที่ผ่านมานี้ มีอัตราการเข้าเรียนมหาวิทยาลัยลดลงถึง 50% คนหนุ่มสาวกำลังเลือกเดินออกจากบ้านเกิด เช่นเดียวกับกลุ่มคนที่วางแผนว่า หากมีลูกจะอพยพย้ายถิ่นฐานออกไปยังยุโรปตะวันตก
เธอได้ลงไปสำรวจคือ เมืองสเรเบรนิตซา (Srebrenica) เมืองที่มี สังหารหมู่สเรเบรนิตซา (Srebrenica massacre) หนึ่งในเหตุการณ์การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่รุนแรงที่สุดครั้งหนึ่งของโลก
“เมืองสเรเบรนิตซา เคยมีผู้ชายในเมืองถูกสังหารกว่า 8 พันคนเพียงแค่ไม่กี่วัน ตอนนี้ คนที่เหลืออยู่ในเมืองนี้มีอยู่แค่ 3 กลุ่ม คือ ฆาตกร คนไร้ที่ไป และคนที่ยังรอคอยพบเจอศพที่สูญหาย”
ภัทรภร ภู่ทอง
แม้วันนี้ เสียงของปืนในพื้นที่ได้เงียบลงแล้ว แต่เสียงแห่งสงครามยังคงดังอยู่ในใจผู้คนพร้อมกับบาดแผลที่ไม่เคยจางหาย
“ทุกที่คือสุสาน”
เธอกล่าวสั้น ๆ

ในประเทศบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา (ที่มา: britannica)
หากมองมุมสูงจากเครื่องบินตอนกำลังจะ landing ภาพที่เห็นคือผืนดินที่ขาวโพลน เต็มไปด้วยสุสาน ไม่ว่าจะเดินไปเหยียบตรงไหนของเมือง ก็มีแต่สัญลักษณ์ว่า ที่นี่มีคนตาย ไม่ว่าจะเป็นท้องถนน หรือม้านั่งในสวน
“ทุกร้อยเมตร เราจะเห็นสะเก็ดระเบิดถูกเพนต์สีแดงเป็นรอยกุหลาบบนถนน เวลาพวกเขาเดินผ่าน เขาจะอ้อม แล้วก้มหัวให้เหมือนเป็นการคำนับผู้ตาย แม้แต่ในตลาด ยังมีป้ายระบุไว้ว่าตรงนี้มีคนถูกฆ่าในวันไหน กี่คน”
“ผู้คนที่นั่นเหมือนแบกความหม่นเศร้า ทุกข์ระทม อาคารบ้านเรือนก็เต็มไปด้วยรูกระสุน เราเห็นหมู่บ้านร้างที่ไม่มีใครกลับมาอยู่ บ้านบางหลังยังมีคนอาศัยอยู่เพราะพวกเขาไม่มีที่ไป หรืออาจอยู่ด้วยความรู้สึกผิด หรือเพราะรับผิดชอบบางอย่างที่ผูกพันกับที่ตรงนั้น”
“2-3 วันแรกที่เราอยู่ที่นั่น เราร้องไห้ตลอด และไม่รู้จะจัดการอารมณ์อย่างไร”
ภัทราภร บอกเล่าความรู้สึกที่เธอมีต่อพื้นที่แห่งนั้น…
แม้สุดท้ายจะรักษาระยะห่างทางความรู้สึกกับพื้นที่ได้ แต่ยังมีเรื่องให้ต้องขบคิดอีกมากมาย ว่าอีก 10-30 ปีข้างหน้า สถานการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นบนโลกแห่งนี้จะเป็นอย่างไร และต้องทำอย่างไรเพื่อไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเช่นนี้
ศึกจีวรสนทนา : บทเรียนความรุนแรงของพระในเมียนมา
ย้อนไปเมื่อปี 2012 เกิดสถานการณ์ความขัดแย้งทางชาติพันธุ์ ที่ลุกลามกลายเป็นความขัดแย้งทางศาสนาในรัฐยะไข่ (Rakhine State) ประเทศเมียนมา เกิดการประท้วง ก่อจลาจล การปะทะรุนแรงเกิดขึ้นระหว่างชาวยะไข่ที่นับถือศาสนาพุทธ และชาวโรฮิงญาที่นับถือศาสนาอิสลาม
หนึ่งในกลุ่มเคลื่อนไหวสำคัญในครั้งนั้น คือ กลุ่มมาบาธะ (MaBaTha) ภายใต้การนำของพระวีระธู (U Wirathu) หรือที่เรียกกันว่าพระสายชาตินิยม ที่ต่อมา เกิดความขัดแย้งกับกลุ่มพระสายประชาธิปไตย

ชาญชัย ชัยสุขโกศล กระบวนกรด้านการแปลงเปลี่ยนความขัดแย้ง หนึ่งในนักวิจัยผู้เคยลงพื้นที่ในสนามความขัดแย้งเมียนมา เล่าว่า ตนเองได้ไปเมียนมาครั้งแรกราวปี 2016 ซึ่งเป็นช่วงเพิ่งเปิดประเทศ สังคมยังเต็มไปด้วยความขัดแย้งในหลายมิติ บาดแผลทางการเมืองและศาสนายังคงสดใหม่
หน้าที่ในครั้งนั้นคือการเข้าไปสร้าง กระบวนการอบรมเพื่อสร้างการสื่อสารและความเข้าใจระหว่างคนพุทธกับมุสลิม โดยเริ่มจากฝั่งคนพุทธด้วยกันที่แตกแยกออกเป็นหลายกลุ่มชัดเจน และระหว่างพระด้วยกัน กลุ่มหนึ่งอยู่ฝั่งชาตินิยม และอีกกลุ่มหนึ่งอยู่ฝั่งประชาธิปไตย
“ช่วงนั้น พระกลุ่มมาบาธะถูกจับตาอย่างหนัก หลายคนเห็นว่าทำตัวเป็นพระฝ่ายขวาสุดโต่ง ใช้คำเทศน์เพื่อปลุกเร้าความเกลียดชัง”
ชาญชัย ชัยสุขโกศล
การสนทนาท่ามกลางความคุกรุ่นเกิดขึ้นในห้องแคบ ๆ สร้างความท้าทายให้ ชาญชัย ที่ต้องทำหน้าที่เป็นกระบวนกรไม่น้อย
“พระบางรูปในห้องนั้นมีเพื่อนที่เคยถูกจับเข้าคุก หรือเสียชีวิตจากเหตุการณ์ Saffron Movement 2007 (การปฏิวัติสีแสด) ในขณะที่พระอีกกลุ่มพูดขึ้นมาว่า ถูกแล้วที่เขาต้องตาย สมควรแล้วที่เขาต้องคิดคุก บรรยากาศเต็มไปด้วยแรงของอารมณ์ พระบางรูปเดินวนไปวนมา นั่งไม่ติด จีวรร้อนผ่าว เพราะข้างในใจคุกรุ่นสุดขีด”
“ยังไม่นับรวมถึงการมีประเด็นร้อนเรื่องโรฮิงญาในขณะนั้น ที่ฝ่ายชาตินิยมมี เรื่องเล่า ที่ตอกย้ำความหวาดกลัวมากมาย ไม่ว่าจะบอกว่า ‘เดินในรัฐยะไข่แล้วเจอไม้แหลมปักรออยู่ข้างทาง’ เป็นการสื่อว่ามุสลิมคือภัย แต่ฝ่ายประชาธิปไตยก็นำข้อมูลมาหักล้าง สุดท้ายการพูดคุยวนไปวนมาแทบหาข้อสรุปไม่ได้”
ชาญชัย ชัยสุขโกศล
เป้าหมายของการทำกระบวนการในครั้งนั้น คือ การพยายามให้ทุกฝ่ายหันหน้ารับฟังกัน และโฟกัสลึกลงไปที่ คุณค่าที่แท้จริง ที่อีกฝ่ายยึดถือ มากกว่า คำพูด ที่ออกมาจากปาก
“ภายใต้ถ้อยคำรุนแรงของพระฝ่ายชาตินิยมที่ได้ยิน ผมลองให้พระฝ่ายประชาธิปไตยลองมองให้ลึก และหาว่าพวกเขารู้สึกอย่างไร และกำลังปกป้องอะไรอยู่ ? ผลลัพธ์ไม่คาดคิด พระฝ่ายชาตินิยมบอกว่า เสียงสะท้อนนี้ทำให้เขา รู้สึกได้รับความเข้าใจ”
ชาญชัย ชัยสุขโกศล

เห็นได้ชัดว่า คำพูดที่ออกมาภายนอกอาจเต็มไปด้วยความแข็งกร้าวรุนแรง แต่เมื่อเรามองลึกลงไปข้างใน เราจะได้เห็นความบริสุทธิ์ของจิตใจ และความหวงแหนต่อพระพุทธศาสนา
“พระในเมียนมาส่วนใหญ่บวชตั้งแต่เด็ก การใช้ชีวิตทางโลกมีน้อย พวกเขารู้จักเพียงไม่กี่วิธีในการปกป้องสิ่งที่ตนเองรัก พอมีใครที่รับฟังอย่างเข้าใจ แม้จะไม่เห็นด้วย แต่ก็ทำให้ใจเขาเปิดออก”
ชาญชัย ชัยสุขโกศล
เมื่อกระบวนการสิ้นสุดลง สิ่งที่เกิดขึ้นคือ พระทั้งสองฝ่ายสามารถกลับมาคุยกันต่อเองได้ แม้ยังไม่ใช่ฉันทามติสมบูรณ์ แต่ก็เป็นการเริ่มต้นใหม่ที่สำคัญ
เรื่องเล่าจากเมียนมาในครั้งนั้น สะท้อนว่า การสร้างสะพานสนทนาแห่งความเห็นต่าง อาจไม่ได้เริ่มจากการหาข้อสรุป แต่เริ่มจากการทำให้ “อีกฝ่ายรู้สึกว่าตนถูกรับฟังและเข้าใจ” ต่างหาก
อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ความรุนแรงในเมียนมายังมิติทับซ้อนจากบริบทของประเทศหลายอย่าง หนึ่งในนั้นคือ บริบททางการเมือง ที่เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ
“หลังรัฐประหาร มันเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ” เขาเปรียบเทียบ ก่อนบอกว่าช่วงก่อนรัฐประหาร ไม่ว่าคนเมียนมาจะทะเลาะกันมากเพียงใด แต่อย่างน้อยพวกเขายังมีความหวัง เพราะเชื่อว่าบ้านเมืองของเขา “ยังมีประชาธิปไตย ยังมีเสรีภาพที่จะวิจารณ์ทหาร”
แต่หลังรัฐประหาร ทั้งประเทศเหมือนตกอยู่ในความซึมเศร้า ผู้คนอยู่ในบ้านเมืองด้วยความหวาดกลัว
“การอยู่บ้านคนเดียวอันตรายมาก ไม่รู้ว่าทหารเมียนมาจะบุกเข้ามาเมื่อไหร่”
ชาญชัย ชัยสุขโกศล
ชาญชัย ยังเล่าถึงสิ่งที่ได้รับฟังจากหญิงสาวเมียนมา ว่า ตลอด 70 ปี หลังเมียนมาได้รับเอกราชจากอังกฤษ เคสข่มขืนเช่นนี้ก็เกิดขึ้นมาโดยตลอด การเป็นผู้หญิงโดยเฉพาะชนกลุ่มน้อยในเมียนมาจึงถือเป็นสถานะที่อันตรายมาก
ปัจจุบัน สถานการณ์ยิ่งเลวร้ายลงอีก ไม่เพียงผู้หญิง แต่กลุ่มคนที่ต้องเผชิญกับอคติทับซ้อน ทั้งเรื่องชาติพันธุ์ ศาสนา และเพศสภาพ กลายเป็นกลุ่มที่ต้องระวังตัวเป็นพิเศษ เช่น เคสของ LGBTQ+ ที่ถูกบังคับให้เกณฑ์ทหาร จนต้องไปเป็นทหารแนวหน้า ที่สุดท้ายต้องจบชีวิตลง สิ่งนี้คือ ความสูญเสียที่ไม่มีทางเลือก
ช่วงแรกหลังรัฐประหาร ชาวเมียนมาเล่าว่าแม้แต่เดินออกไปปากซอยยังไม่มั่นใจเลยว่าจะปลอดภัยไหม กลัวถูกจับ กลัวถูกยิง แม้แต่การสื่อสารออนไลน์ก็เต็มไปด้วยความเสี่ยง
ชาญชัย ย้ำถึงวิธีการทำงาน ว่าเมื่อไหร่ที่จัดกระบวนการออนไลน์ พวกเขาจะปิดกล้อง เมื่อต้องพูดอะไรบางอย่าง พวกเขาจะไม่พูด แต่ใช้วิธีการพิมพ์ข้อความใน zoom แทน เขาบอกว่า “กำแพงมีหู” และขณะนั่งคุยอยู่ เอกสารสำคัญต้องซ่อนเอาไว้ใต้เบาะที่นั่งเสมอ หากมีอะไรเกิดขึ้นจะได้หนีได้ทัน พวกเขาไม่มีความปลอดภัยใด ๆ ในชีวิตเหลืออยู่อีกแล้ว
“ผมได้ยินเรื่องราวแบบนี้มากมายจากการทำงานกับชาวเมียนมา หลายคนซึมเศร้า และฆ่าตัวตาย คนรุ่นใหม่เริ่มหนีออกนอกประเทศ ส่วนคนที่เหลืออยู่ทำได้เพียงแค่แค่พยายามดูแลใจตัวเอง”
ชาญชัย ชัยสุขโกศล ทิ้งท้าย
เรื่องเล่าชายแดนใต้ :
หากสอนให้เด็กภูมิใจในเครื่องแบบลายพราง แล้วเขาจะรู้จักสันติภาพได้อย่างไร ?
ตุลาคม 2548 วัดพรหมประสิทธิ์ อำเภอรือเสาะ จังหวัดนราธิวาส พระแก้ว โกสโร และเด็กวัดถูกคนร้ายบุกเข้าไปทุบตี สังหารด้วยมีดพร้าและเผาร่างถึงในกุฏิ
เหตุการณ์นั้นไม่เพียงพรากชีวิตพระและเด็กวัด แต่ยังสั่นสะเทือนคนไทยทั้งประเทศ เพราะการที่พระสงฆ์ธรรมดารูปหนึ่งถูกฆ่าตาย คือการทำลายขวัญของชุมชน และตอกย้ำว่า ไม่มีใครในที่แห่งนี้ปลอดภัยอีกแล้ว เหตุการณ์รุนแรงในครั้งนั้น หลายฝ่ายลงความเห็นว่าเป็นความพยายามสร้างสถานการณ์ให้เกิดความขัดแย้งระหว่างไทยพุทธและไทยมุสลิม
เหตุการณ์ในครั้งนั้น สร้างความสะเทือนใจอย่างมากให้กับ ผศ.พัทธ์ธีรา นาคอุไรรัตน์ อาจารย์และนักวิจัยสถาบันสิทธิมนุษยชนและสันติศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล และกลายเป็นผลักดันให้ลงทำงานในพื้นที่ขัดแย้งรุนแรงถึงตายอย่างสนามชายแดนใต้

“เราลงพื้นที่ในปี 2553 ตอนนั้น ครู กลายเป็นเป้าหมายความรุนแรง การสังหารครูเกิดขึ้นซ้ำ ๆ และทุกครั้งที่ครูถูกทำร้าย สิ่งที่ผุดขึ้นมาในหัวซ้ำ เด็ก“
ผศ.พัทธ์ธีรา นาคอุไรรัตน์
ผศ.พัทธ์ธีรา ย้อนเล่าช่วงแรกที่ลงไปสัมผัสชีวิตจริงในพื้นที่ความไม่สงบสามจังหวัดชายแดนใต้ที่เริ่มต้นด้วยการลงไปเป็นครูอาสาในโรงเรียนท้องถิ่น ทำหน้าที่สอนเด็ก ๆ ตั้งแต่ชั้นอนุบาล 1 ถึง ม.3
“วันหนึ่ง สอนอยู่ดี ๆ ผู้ปกครองก็วิ่งมาบอกว่า ต้องขอเอาเด็กกลับบ้าน เพราะมีคนที่บ้านถูกยิง เราไม่รู้จะจัดการความรู้สึกตัวเองยังไง วันต่อ ๆ มา เด็กบางคนก็เรียนไม่ไหว ร้องไห้ เราทำได้แค่กอดเด็กทุกคน ชวนคิดชวนคุย พยายามทำให้ห้องเรียนเป็นพื้นที่ปลอดภัย”
ผศ.พัทธ์ธีรา นาคอุไรรัตน์
ผศ.พัทธ์ธีรา ยังพาเราย้อนไปถึงช่วงแห่งความรุนแรงเมื่อเกือบ 20 ปีที่แล้ว
จากการทำงานในพื้นที่มากกว่าทศวรรษ สิ่งที่ได้พบคือภาพของความไม่มั่นคงซ้ำ ๆ ที่แม้ดูเหมือนสถานการณ์ชายแดนใต้จะดีขึ้น แต่ความเป็นจริง ความรุนแรงยังคงเกิดขึ้นทุกวัน และกัดกินคนในพื้นที่อย่างไม่มีที่สิ้นสุด
จากการคุยกับชาวบ้านในพื้นที่ ผศ.พัทธ์ธีรา บอกว่า ชาวบ้านจำนวนมากอยากให้ยกเลิกกฎหมายพิเศษ และนำทหารออกไปจากพื้นที่เสียที แต่ในทางกลับกัน ฝ่ายความมั่นคงกลับพยายามให้ผู้ชายในหมู่บ้านมาฝึก เพื่อเข้าร่วมเป็นชุดคุ้มครองหมู่บ้าน (แลกกับเงินเดือนและเงินชดเชยหากบาดเจ็บหรือตาย)


“ผมไม่มีทางเลือก ไม่อยากเป็นชุดคุ้มครองอะไรทั้งนั้น” นี่คือเสียงของชายคนหนึ่งที่ ผศ.พัทธ์ธีรา พบเจอในพื้นที่ เขาแสดงความอัดอั้นตนใจเพราะสถานะนี้ทำให้เขาตกอยู่ในความเสี่ยง
“คนนอกหมู่บ้านมองว่าเขาเป็นสายให้ทหาร ส่วนคนในหมู่บ้านเองก็มองว่าเขาเป็นมุสลิม แต่ทำไมไปรับใช้ทหาร มันทำให้ชีวิตเขาอยู่ยากมาก แต่แน่นอนว่าเขาไม่มีทางเลือก”
ผศ.พัทธ์ธีรา นาคอุไรรัตน์
ผศ.พัทธ์ธีรา อธิบายว่าการลงไปเป็นครูในพื้นที่ของเธอช่วยเปิดโอกาสให้ได้สัมผัส พูดคุยลึก ๆ กับผู้คนในพื้นที่มากมาย จนพบว่า คนในพื้นที่เสี่ยงตายเหล่านี้ แทบไม่มีโอกาสได้กำหนดชะตากรรมของตนเองเลย
ตลอด 15 ปีในพื้นที่ ทำให้เห็นว่าความรุนแรงกระทบผู้คนในพื้นที่ทุกหย่อมหญ้า สภาพแวดล้อมกดทับจนเจ็บป่วยด้วยปัญหาสุขภาพจิต และไม่มีใครใช้ชีวิตได้อย่างอิสระจนถึงปัจจุบัน
ข้อมูลจาก News Reporting Standard in Conflict Situations and Transformative Learning รายงานว่า ระหว่าง พ.ศ. 2547 – 2563 พบว่า ในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ (ปัตตานี ยะลา นราธิวาส และ 4 อำเภอในสงขลา) มีจำนวนผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตรวม 7,260 ราย โดยแบ่งตาม ผู้ถืออาวุธ (Hard Target) ราว 38% และ พลเรือน (Soft Target) ราว 61% และมีผู้ที่ ไม่ชัดเจน ประมาณ 1%
ทั้งหมดนี้ สะท้อนภาพความรุนแรงที่เกิดขึ้นทั้งในประเทศไทยและเพื่อนบ้าน รวมถึงความขัดแย้งระดับโลก แต่หลายครั้งที่เรายังเห็นการเชียร์ให้ใช้ความรุนแรงอย่างขาดสติ ราวกับว่ากำลังเสพติดความรุนแรงอยู่
“ในขณะที่คนเชียร์ให้ไปรบกัน แต่ในพื้นที่ชายแดนใต้จริง คนที่ต้องไปรบคือลูกหลานชาวบ้านที่ถูกเกณฑ์มาเป็นทหาร ไม่เคยเห็นนายพลเดินลาดตระเวน หรือไปโดยไม่มีบอดีการ์ดสักครั้ง”
ผศ.พัทธ์ธีรา นาคอุไรรัตน์
ผศ.พัทธ์ธีรา ยกตัวอย่างว่าเสียงเชียร์เหล่านี้ คือ วัฒนธรรมความรุนแรง หากเปรียบว่าเราอาศัยอยู่ในบ้าน บ้านหลังนี้กำลังหยั่งรากลึกบนพื้นฐานโครงสร้างของความรุนแรง มีหลังคาเป็นวัฒนธรรมอำนาจครอบงำ

“หลังคาบ้านเราคือวัฒนธรรมอำนาจครอบงำ อำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดที่ให้เราไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ากำลังโดนล้างสมองด้วยระบบ หรือกลไกอะไรในสังคมบ้าง”
ผศ.พัทธ์ธีรา นาคอุไรรัตน์
หากมองที่เสาบ้าน เราจะเห็นว่ามันฝังอยู่ทั้งในทุกมิติของชีวิต หนึ่งในนั้น คือ การศึกษา
“ล่าสุดเราเห็นการนำทหารเข้าไปสอนหนังสือในโรงเรียน สอนให้เด็กภูมิใจในเครื่องแบบลายพราง แทบไม่ต่างกับระบบการศึกษาที่นาซีเยอรมันทำช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2”
ผศ.พัทธ์ธีรา นาคอุไรรัตน์
เหล่านี้คือรากฐานของวัฒนธรรมอำนาจนิยมที่ปลูกฝังให้คนพร้อมจะใช้ความรุนแรง มันกำลังครอบงำเราเชื่อโดยไม่เคยตั้งคำถาม
ผศ.พัทธ์ธีรา อธิบายว่า การสร้างสันติภาพจะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของนักการเมืองฝ่ายเดียวไม่ได้ เพราะหากมีเจตจำนงที่ไม่ชัดเจนก็อาจกลายเป็นการสร้างสงคราม สิ่งนี้จึงควรถูกวางรากฐานไว้ตั้งแต่ในห้องเรียน
“สถาบันการศึกษาทุกระดับต้องทำหน้าที่ตามปรัชญาการศึกษา คือ ตั้งอยู่บนมนุษยธรรม ปฏิบัติต่อกันในฐานะเพื่อนร่วมโลก ให้ทุกคนเข้าถึงความเป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์ ซาบซึ้งต่อความเจ็บปวด ความเศร้า เมตตาต่อกัน และเห็นอกเห็นใจผู้อื่น”
ผศ.พัทธ์ธีรา นาคอุไรรัตน์
เพราะการเรียนรู้ ไม่ใช่การใช้สมองเพียงอย่างเดียว แต่ต้องใช้หัวใจด้วย นี่จึงเป็นสิ่งที่เรียกว่า การศึกษาเพื่อสันติภาพ
“เพราะสันติภาพไม่ได้เริ่มต้นจากโต๊ะเจรจาเพียงอย่างเดียว หากแต่เริ่มจากหัวใจที่มองเห็นความเป็นมนุษย์ของกันและกันต่างหาก”
ผศ.พัทธ์ธีรา นาคอุไรรัตน์ ทิ้งท้าย

เนื้อหาทั้งหมดเป็นส่วนหนึ่งจากงานเสวนาวิชาการ “สันติวิธีจากภาคสนาม ที่รุนแรงถึงตาย เราเรียนรู้อะไร” ส่วนหนึ่งของงาน “จากการต่อต้านสงครามสู่สันติภาพ: 80 ปี มรดกของขบวนการเสรีไทย เส้นทางสู่สันติภาพและความเป็นธรรมอย่างยั่งยืน” ณ สถาบันสิทธิมนุษยชนและสันติศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา วันที่ 20 สิงหาคม 2568