ดูเหมือนมหากาพย์หนังม้วนยาว ที่มีสารตั้งต้นจาก “รักซ้อน” ของนักดนตรีหนุ่มซึ่งมีคู่ครองแล้วคงไม่จบลงง่าย ๆ หากไม่นับเรื่องการฟ้องร้องคดีที่ดูอินุงตุงนังจนขึ้นโรงขึ้นศาล พร้อมกับกระแสวิพากษ์วิจารณ์เชิง “ศีลธรรม” ได้เข้าโจมตีทุกฝ่ายอย่างหนักโดยไม่รู้ว่าจะจบลงแบบไหน
นี่คงไม่ใช่ครั้งแรก และครั้งสุดท้าย เพราะก่อนหน้านั้นสังคมเคยได้ยินข่าวในทำนองนี้ จนทำให้คำว่า “โลกสองใบ” กลายเป็นวาทะแห่งปีมาแล้ว
The Active ชวนตั้งคำถามสำคัญ ว่า ทำไม ? “การนอกใจ” ที่ดูเหมือนเป็นหลุมดำทางความรู้สึก จึงยังคงอยู่ควบคู่มนุษย์มานานแสนนาน ผ่านมุมมองนักจิตวิทยาความรัก อย่าง ผศ.ฉัตรวิบูลย์ ไพจ์เซล รองหัวหน้าภาควิชาจิตวิทยา คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
สามเหลี่ยมแห่งรัก
ก่อนไปถึงเรื่องการนอกใจ ขอแวะมาทำความรู้จักกับ ความรัก กันก่อน…แม้ที่ผ่านมา มีนักจิตวิทยาให้นิยามสิ่งที่เรียกว่าความรักไว้ในหลายรูปแบบ แต่ที่ดูจะสมเหตุสมผล เข้าใจง่าย จนถูกหยิบยกมาอธิบายกันมากเห็นจะเป็นของ โรเบิร์ต สเติร์นเบิร์ก (Robert Sternberg) นักจิตวิทยาชาวสหรัฐฯ ที่กล่าวเอาไว้เมื่อเกือบ 40 ปีก่อน โดยตั้งชื่อทฤษฎีนี้ว่า “สามเหลี่ยมความรัก” (triangular theory of love)

สเติร์นเบิร์ก อธิบายว่า ความรักจะประกอบด้วย 3 ส่วน ได้แก่ Intimacy หรือ ความสนิท นั่นคือความรู้สึกดีที่ได้อยู่ใกล้ พึ่งพาและเข้าใจกันและกัน หรือเรียกง่าย ๆ ว่า รู้สึก อุ่นใจ ในความสัมพันธ์
Passion หรือ เสน่หา คือ ความหลงใหล ปรารถนา อยากสัมผัส อาจเป็นทั้งรูปร่างหน้าตา น้ำเสียง หรือบุคลิกภาพหรือรู้สึกเร่าร้อนในความสัมพันธ์
และสิ่งสุดท้ายคือ Commitment หรือ ความผูกมัด เป็นความรู้สึกตกลงใจว่าอยากจะรักษาความสัมพันธ์ หรืออยู่เคียงข้างคนนี้ไปนาน ๆ แต่ความรักในมุมของ สเติร์นเบิร์ก นี้ไม่จำเป็นต้องมีองค์ประกอบครบทั้ง 3 ส่วนก็ได้ เพราะความรักมีได้หลายแบบขึ้นกับความสัมพันธ์ที่มีต่อผู้คน ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่กับลูก ลูกศิษย์กับครูบาอาจารย์ หรือแม้กระทั่งกับแฟนแก่าและแฟนใหม่
“ความรักเป็นสิ่งที่ไม่เคยหยุดนิ่งโดยตัวมันเอง ในวันแต่งงาน คุณอาจจะประกาศว่าฉันมีรักแท้ที่มอบให้อีกฝ่ายอย่างจริงใจ แต่ในอีก 20 ปีต่อมา มันอาจไม่ได้เป็นเช่นนั้นแล้ว เพราะธรรมชาติ ใจมนุษย์เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา บางครั้ง passion ก็อาจจืดจางลงได้หากเราไม่ได้ดูแลมันอย่างดี หรือ Intimacy ที่เคยมี ก็อาจน้อยลงเพราะความห่างเหินเพราะเผลอคิดว่าเรารู้จักอีกฝ่ายดีแล้ว ไม่จำเป็นต้องสร้างความใกล้ชิดอีก”
“เมื่อหลาย ๆ ส่วนลดลงแล้ว ตัวตนของเราจะไม่เกิดการเรียนรู้ หรือเติมเต็มสิ่งใหม่ อาจจะนำมาซึ่งการอยากแสวงหาสิ่งใหม่ ๆ ตามธรรมชาติของมนุษย์ หรือไปหาสิ่งที่ที่คนเดิมให้ไม่ได้ และอาจนำไปสู่การนอกใจก็เป็นได้”
ผศ.ฉัตรวิบูลย์ อธิบาย
‘นอกใจ’ เพราะอยากผจญภัยในตัวตน ?
เมื่อ การนอกใจ เป็นปัญหาคลาสสิกของมนุษย์ทุกยุคสมัย ใครจะไม่รู้ว่านอกใจเป็นสิ่งไม่ดี แต่เห็นทีไรมันอดใจไม่ไหวทุกที ผศ.ฉัตรวิบูลย์ ชี้ว่า ด้านจิตวิทยาความรัก การนอกใจ เกิดได้จากทั้งปัจจัยส่วนบุคคลและปัจจัยทางสิ่งแวดล้อม
หากกล่าวถึงปัจจัยส่วนบุคคลแล้ว มนุษย์จะมีธรรมชาติหนึ่งในการพยายามขยายขอบเขตตัวตนออกไปผ่านหลาย ๆ พฤติกรรมในชีวิต ซึ่งรวมทั้งเรื่องความรักด้วย
“โดยธรรมชาติ คนเรามีแนวโน้มที่จะอยากขยายตัวตนออกไปเรื่อย ๆ ไม่สิ้นสุด ตามทฤษฎีที่เรียกว่า ‘Self-expansion theory’ คือ มนุษย์ต้องการขยายขอบเขตตัวเองออกไป ผ่านการทดลอง ค้นหาประสบการใหม่ ๆ ในชีวิต เพื่อเสริมสร้าง (enrich) หรือทำให้ชีวิตมีอะไรมากขึ้น”
ผศ.ฉัตรวิบูลย์ ขยายความ
อย่างไรก็ดี ทฤษฎีนี้สามารถอธิบายได้หลายมิติ หากเป็นในเชิงบวก คือ หากคนเรากำลังถูกรักหรืออยู่ในความสัมพันธ์ที่อบอวนไปด้วยความรัก (Being in a loving relationship) คนผู้นั้นจะมีความรู้สึกดี (Feeling good) และใช้ความรู้สึกดีนี้เข้าสานสัมพันธ์กับสิ่งที่เรียกว่าสัมพันธภาพและนำไปสู่การให้คำมั่นสัญญา (Commitment to the relationship)
พูดให้ง่ายคือ นี่เป็นการที่ความรักขยายตัวออกสู่สัมพันธภาพ และถูกพัฒนาเป็นพันธะสัญญา หรือการที่แต่ละฝ่ายมีใจผู้พันใกล้ชิดสนิทสนมกันอย่างลึกซึ้ง (Intimacy) ที่อาจอยู่เหนือสิ่งที่มองเห็นได้ด้วยตา (Materialism) เช่น รูปร่าง หน้าตา และร่างกาย
“แต่ในอีกมิติหนึ่ง Self-expansion ก็คือการขยายตัวตนเพื่อออกไปตามหาสิ่งใหม่ ทั้งผู้คนและประสบการณ์ใหม่ ๆ และในแง่ของความรัก เราอาจอยากเริ่มออกค้นหาคนใหม่ ๆ มากกว่าที่จะอยู่กับคนเดิมนาน ๆ ดังคำเปรียบว่า ‘น้ำพริกถ้วยเก่า’ ที่แม้ว่าแต่ก่อนเราจะเคยชอบมากเพียงใด แต่สุดท้ายธรรมชาติก็บีบบังคับให้เราทนอยู่ต่อไปไม่ได้นอกจากเสียว่าจะเกิดการแปรเปลี่ยนบางอย่างขึ้น”
ผศ.ฉัตรวิบูลย์ ขยายความเพิ่ม

รองหัวหน้าภาควิชาจิตวิทยา คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
รู้หมด แต่อดไม่ได้ – เมื่อ ‘รักซ้อน’ และ ‘ชู้’ คือ ตราบาป
เมื่อมีกรณีแบบนี้ทีไร สิ่งหนึ่งที่สังคมตั้งคำถามต่อคนกลางและมือที่ 3 เสมอมาว่า ทำไม ? จึงยุ่งเกี่ยวกับคนมีเจ้าของ พร้อมคำตีตราตัดสินให้เป็น คนบาป แต่ใจเย็น ๆ ก่อน หากมองในมุมจิตวิทยาความรัก เรื่องนี้ไม่มีใครผิด ใครถูก
“ความรักเป็นอารมณ์และความรู้สึกที่ลึกซึ้งและเข้มข้นมาก ๆ มันจะมีพลังที่ทำให้เราอยากครอบครอง บางคนตกหลุมรักคนมีเจ้าของ รู้ทั้งรู้ว่าไม่ควร สมองจะบอกว่าสิ่งนี้ผิดศีลธรรมและบรรทัดฐานของสังคม แต่คนบางส่วนห้ามใจไม่ได้เพราะสมองกับหัวใจเป็นคนละส่วน”
“ในมุมจิตวิทยา ความรักจะเกิดก็เกิดได้เลย ไม่กำหนดว่ากับใครหรือเมื่อไหร่ จึงไม่มีอะไรบอกว่าถูกหรือผิดเพราะเป็นเรื่องของใจตามธรรมชาติของมัน แต่การกระทำหรือพฤติกรรมที่ทำเพื่อความรักต่างหากที่อาจถูกหรือผิดตามการตัดสินบนบรรทัดฐานของสังคม คนบางคนรักมากอยากครอบครองมากก็จะพยายามทำทุกทางให้ได้คนที่หมายปองมาเป็นของตัวเองโดยไม่สนสิ่งใด แต่หากว่า เขาพยายามแค่ไหนก็ไม่สำเร็จ จะเกิดพฤติกรรมการเรียนรู้หนึ่งที่เรียกว่า extinction คือการยุติการกระทำนั้นโดยเด็ดขาด นั่นคือการหยุดพยายามหรือยอมแพ้
“แต่บ่อยครั้ง ที่เราหยุดความรักที่เป็น ‘ความลับ’ ไม่ได้ เพราะมันเป็นความท้าทาย ความเร้าใจ เพราะมนุษย์จะรู้สึกว่า หากฉันทำได้ แปลว่าฉันคือผู้ชนะ จะยิ่งเติม self ในตัวคนนั้นด้วย”
ผศ.ฉัตรวิบูลย์ เปิดประเด็น พร้อมอธิบายเพิ่มถึงแนวคิดว่า ในคู่รักหลายราย ต่อให้อยู่ด้วยกันแล้วเกิดความทุกข์เพียงใดก็ยังไม่เปลี่ยนใจไปหาคนอื่น แต่หากเมื่อไรที่มีการเข้ามาของ คนใหม่ เข้ามา อาจทำให้เกิดการเปรียบเทียบในความสัมพันธ์ระหว่างคนเก่าและคนใหม่ และหากคนใหม่ ให้ได้มากกว่า สุดท้ายจึงอาจนำมาสู่การนอกใจได้
หากเกิดกรณี รักซ้อน หรือ มือที่สาม ท่าทีของ คนกลาง สำคัญที่สุด หากคนกลางหวั่นไหว ใจอ่อน เช่น ยอมไปกินข้าวด้วย แม้จะเพียงมื้อเดียว สิ่งนั้นก็เปรียบเสมือน รางวัลที่หล่อเลี้ยงความหวังของมือที่สามในการสานสัมพันธ์ ทำให้วงจรหมุนวนไปไม่จบไม่สิ้น ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในขณะที่ฝั่ง คนมาใหม่เอง ถึงจะรู้อยู่เต็มอกว่า ขัดศีลธรรมอันดีแต่ก็ไม่สามารถหักห้ามใจได้ ก็จำเป็นต้องดีลกับสำนึกและความรู้สึกผิดของตัวเองด้วย
จิตใจของคนกลางจึงสำคัญอย่างยิ่ง หากเขามั่นคง ไม่หวั่นไหวต่อให้มีคนอื่นที่น่าสนใจผ่านเข้ามา เพราะเขารู้เสมอว่า เขาได้เลือกคน ๆ หนึ่งไปแล้ว ต่อให้รักมันจืดจาง เขาก็ยังคงยินดีที่จะรับผิดชอบต่อการเลือกของเขาอยู่ดี สิ่งนี้เรียกว่า เขามี ความซื่อสัตย์ ต่อคู่ของเขานั่นเอง
รักตัวเอง ไม่เจ็บสักวัน
คนจำนวนไม่น้อย ตกอยู่ในวงจรอุบาทว์แห่งความสัมพันธ์ บ่อยครั้งที่มีผู้เล่นเข้ามาเกี่ยวข้องมากมาย (มากกว่า 2 คน) สร้างความโศกเศร้า เจ็บปวด จากการไม่สมหวังและความสูญเสียยาวนาน แต่โดยธรรมชาติของมนุษย์ คนเราย่อมสามารถผ่านความเจ็บปวดจากการสูญเสียไปได้เพียงแต่ให้เวลากับตัวเองในการรักษาใจ
ดร.อลิสเบท คับเบลอร์-รอส (Dr. Elizabeth Kubler-Ross) จิตแพทย์ ชาวสวิส-อเมริกัน ได้เสนอวงจรที่อธิบายสภาวะการสูญเสียโศกเศร้าไว้ในปี ค.ศ. 1969 แบ่งออกเป็น 5 ระยะ ดังนี้
- ปฏิเสธ (Denial) คือ การป้องกันไม่ให้ใจเราเจอกับความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วโดยยังไม่ทันได้ทำใจ อาจรู้สึกว่าสิ่งนั้นไม่เป็นความจริง
- ความรู้สึกโกรธ (Anger) เกิดขึ้นเพื่อมีความจำเป็นต้องเยียวยาตนเอง เพื่อเเป็นเกราะกำบังความเจ็บปวด (pain) โดยความเจ็บปวดนี้อาจมีความรู้สึกที่ซ่อนลึกลงไปอีก เช่น รู้สึกถูกด้อยค่า ไม่ได้รับการยอมรับ รู้สึกผิด แตกต่างกันตามแต่ละประสบการณ์
- ต่อรอง (Bargain) หลังจากปล่อยให้ความโกรธทำงานจนสงบแล้ว จะเข้าสู่กระบวนการต่อรองที่อาจกระทำทั้งต่อคนเป็น ๆ หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพราะจะทำให้รู้สึกมีความหวัง
- หดหู่เศร้าหมอง (Depress) เมื่อต่อรองแล้วไม่สำเร็จ คนมักจะเข้าสู่โลกแห่งความจริงและสิ้นหวังหดหู่กับสิ่งที่เกิดขึ้นเพราะเริ่มเข้าใจแล้วว่าสิ่งนี้จะไม่กลับไปเป็นเหมือนเดิมอีกต่อไป หากผิดหวังในความรัก คนจำนวนมากจะจมอยู่ในขั้นตอนนี้หรืออาจย้อนกลับไปสู่วงจรก่อนหน้าอีกก็ได้ เช่น กลับไปต่อรองอีกครั้งและไม่สำเร็จ จึงกลับมาหดหู่เศร้าหมองต่อ
- ยอมรับ (Acceptance) หากผ่านขั้นตอนมาได้ทั้งหมดแล้ว จะนำไปสู่การยอมรับความจริงที่เกิดขึ้นที่นำไปสู่การมูฟออนอย่างแท้จริง

ระยะเวลาแต่ละขั้นตอนจะกินเวลาแค่ไหนนั้น อาจไม่สามารถบอกได้ เพราะขึ้นกับประสบการณ์และบุคลิกของแต่ละคน แต่อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะอยู่ในจุดไหนของความสัมพันธ์ หากต้องเผชิญกับความสูญเสีย การรู้เท่าทันตนเองว่าอยู่ในขั้นตอนไหนและดูแลมันอย่างดีจะช่วยรักษาสภาพจิตใจที่ดี และยังแสดงถึงความเข้าใจตนเองและรักตนเองด้วย
“ชีวิตคนเรามีแค่ 4,000 สัปดาห์ ขอให้หันกลับมาเห็นคุณค่าของตัวเอง เราอาจเลือกอดทนเพราะรักเขาและหวังจะได้รับรักคืน แบบนี้แปลว่า เรามีความรักที่พึ่งพาคนอื่น แต่ถ้าเราหันกลับมารู้จักการรักตัวเอง มันจะทำให้เรามองเห็นว่าอีกฝ่ายเขามองเห็นคุณค่าของเราหรือไม่”
“หากเราต้องอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ และพบว่าเขาไม่ได้เห็นคุณค่าของเรา ให้ถามตัวเองว่าจะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ต่อไปอย่างไร ความรักและการเลือกในความรักไม่มีเรื่องถูกผิด เพราะทุกข์-สุข ของแต่ละคนไม่เหมือนกัน แต่เมื่อเลือกแล้ว ขอให้ยอมรับผลที่ตามมาให้ได้ขอแค่บรรทัดสุดท้ายของความสัมพันธ์นั้น ความสุขของคุณไม่ติดลบก็พอ
“ท้ายที่สุดแล้ว แม้การสูญเสียคนรักสร้างความเจ็บปวดให้กับทุกฝ่ายในความสัมพันธ์ โดยเฉพาะฝ่ายที่เป็นผู้สูญเสีย แต่นับเป็นข่าวดีที่งานวิจัยพบว่า ในท้ายที่สุดแล้วเมื่อบาดแผลใจได้รับการเยียวยา คนผู้นั้นกลับมีแนวโน้มที่จะมีความรักครั้งใหม่ได้ดียิ่งขึ้นไปกว่าเดิม เพราะเขาได้เรียนรู้บทเรียนสำคัญจากความรักที่ผ่านมาแล้ว”
ผศ.ฉัตรวิบูลย์ ทิ้งท้าย