“เมื่อข้ออ้าง เพื่อเดินหน้าแก้มาตรา 69 คือ นอก 12 ไมล์ทะเล ไม่มีสัตว์วัยอ่อน และการใช้ไฟล่อไม่ส่งผลกระทบ ซึ่งตรงข้ามกับสิ่งที่เคยดำน้ำกลางทะเล ดังนั้นต้องพิสูจน์และย้ำสิ่งที่เราเห็นมาตลอดต่อสังคม และฝ่ายต่าง ๆ ที่กำลังพิจารณากฎหมายนี้”
เป็นคำยืนยันของ นัท สุมนเตมีย์ ช่างภาพใต้น้ำ และหนึ่งในทีมสำรวจ 12 ไมล์ทะเลนอกชายฝั่ง ซึ่งเป็นการรวมตัวของกลุ่มช่างภาพใต้น้ำ นักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อม และผู้เชี่ยวชาญด้านสัตว์ทะเล ที่ย้ำเป้าหมายของการออกทะเลสำรวจความจริง หลังจากฝ่ายที่ต้องการผลักดัน มาตรา 69 อนุญาตให้ใช้อวนล้อมตาถี่จับปลากะตักในเวลากลางคืน อ้างว่านอกเขต 12 ไมล์ทะเล ไม่มีสัตว์วัยอ่อน แต่ดูเหมือนจะสวนทางกับความจริงที่เขา และทีมเคยเจอ
ดังนั้นเพื่อพิสูจน์ และยืนยันข้อมูลนี้ต่อสังคมสาธารณะ จึงต้องออกสำรวจเพื่อนำมาเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาปรับแก้กฎหมายการประมงของฝ่ายที่เกี่ยวข้อง

4 วัน 3 คืน กลางทะเล นอกเขต 12 ไมล์
ย้ำชัดไม่ได้มีแค่ปลากะตัก!
สำหรับพิกัดของเรือที่ทำการทดลอง อยู่บริเวณกลางทะเล อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ จ.พังงา ห่างจากชายฝั่ง 63.6 กิโลเมตร หรือ 34.37 ไมล์ทะเล โดยสำรวจและทดลอง 3 คืน
วัชระ กาญจนสุต หนึ่งในทีมสำรวจ 12 ไมล์ทะเลนอกชายฝั่ง ให้ข้อมูลว่า คืนแรก เรือปูใช้การห้อยไฟไว้ท้ายเรือ จอดเรือไว้บริเวณระดับความลึก 22 เมตร พบสิ่งมีชีวิตประเภทวัยอ่อนหลากหลายสายพันธุ์ โดยเฉพาะ กุ้ง ปู กั๊ง และปลาประปราย ซึ่งก็เป็นปกติจากที่พบเห็นหากดำน้ำในบริเวณใกล้แนวชายฝั่ง แต่มีความพิเศษตรงที่ได้เจอกับปลาไหลตัวใส สลับแถบเขียวเรืองแสงว่ายมาให้ชมด้วย
คืนที่ 2 บริเวณซั้งดักปลา ด้านตะวันตกเฉียงใต้ ของเกาะสุรินทร์ ซึ่งได้รับความอนุเคราะห์เรือปั่นไฟ เข้ามาเปิดไฟล่อปลาเข้าซั้ง ตรงระดับความลึกราว 50 เมตร ในระหว่างที่เปิดไฟล่อรอเวลา โลมาปากขวด ฝูงใหญ่ราว 10 สิบตัว เข้ามาว่ายเวียนไล่กินปลาที่มารวมกลุ่มกันในบริเวณซั้ง จากการสอบถามไต๋เรือ บอกเป็นเรื่องปกติ ที่จะพบโลมาเข้ามาหากิน จนกระทั่งเมื่อน้ำเริ่มไล่เบาลงในเวลาเที่ยงคืน จึงเริ่มลงทำการเก็บภาพสิ่งมีชีวิตที่อยู่ใต้เรือปั่นไฟ ซึ่งสิ่งมีชีวิตที่พบ คือ กลุ่มของปลาวัยอ่อนเป็นส่่วนมาก ส่วน กุ้ง กั๊ง ปู มีให้เห็นเพียงเล็กน้อย
สำหรับคืนที่ 3 สำรวจบริเวณด้านใต้ของเกาะสุรินทร์ ระดับความลึกประมาณ 60 เมตร จุดนี้ได้ทำ Black water กันแบบจริงจัง โดยหย่อนไฟไปพร้อมกับกระแสน้ำ ซึ่งพบว่า มีปลาฝูง ประมาณ 2 – 3 สายพันธุ์ เข้ามาอยู่ในบริเวณทุ่นไฟเป็นจำนวนมาก รวมถึงฝูงหมึก ที่ออกล่าปลาเล็กปลาน้อยด้วย









สำหรับ นัท แล้วยอมรับว่า ภารกิจครั้งนี้รู้สึกเซอร์ไพร์สมาก เพราะได้เจอฝูงโลมาปากขวด มาไล่กินลูกปลารอบ ๆ วงไฟของเรือ คือจริง ๆ ในหลาย ๆ ที่เคยไปดำน้ำ จะมีโลมามาบ้าง แต่ไม่ได้บ่อยมาก ตรงนี้ไต๋เรือ บอกว่า เจอค่อนข้างบ่อย และก็บางครั้งก็จะเจอฉลามวาฬด้วย
“เราก็เลยมานึกว่าบางทีเขาอาจจะเรียนรู้นะ พอมีไฟปุ๊บ มันคืออาหาร เขาก็เข้ามาไล่ล่าเหยื่อบริเวณรอบ ๆ วงไฟ จริง ๆ ไม่ใช่แค่โลมา แต่ปลาทุกชนิดเขาจะเรียนรู้ และมารอจับเหยื่อบริเวณรอบวงไฟที่เราเรียกว่า วงจรห่วงโซ่ในทะเลมันมารวมกัน มันดึงดูดแพลงตอนเข้ามาใช่ไหมครับ ปลาที่มีขนาดเล็กกว่า ที่เป็นฐานของพีระมิด อย่างพวกปลากะตัก ปลาขนาดเล็กก็จะมารวมกัน และปลาที่มีขนาดใหญ่กว่า อย่างพวกปลาทู หรือว่าปลาลังอะไรพวกนี้ มาไล่กินปลากะตัก ตัวเล็ก ๆ อีกทีนึง อาจจะมีปลาอินทรีที่ใหญ่กว่ามากินปลาทูอีกทอดหนึ่ง หรือโลมาจะมาไล่กินปลาบิน ปลาอะไรที่อยู่รอบ ๆ นั้น นี่จึงเป็นบทพิสูจน์ ว่านอก 12 ไมล์ทะเล ยังมีสัตว์น้ำวัยอ่อน และปลาหลากหลายชนิดที่เข้ามาเมื่อมีไฟล่อ”
นัท สุมนเตมีย์
จะแก้กฎหมาย ต้องประเมินผลกระทบให้รอบด้าน และป้องกันไว้ก่อน
นัท ย้ำว่า ไม่ได้กีดกันการทำประมง และจริง ๆ แล้วกฎหมายการประมงก็เปิดให้จับปลากะตักในเวลากลางวันอยู่แล้ว เหตุผลและปัญหาตอนนี้ คือ เรือใหญ่ไม่กี่ลำอ้างว่าจับได้น้อยลง ไม่เพียงพอ ไม่คุ้มทุน แต่ในความเป็นจริงแล้ว ทำไมไม่ลองหาทางออกอื่น เช่น เพิ่มจำนวนเรือเข้าไปเพื่อให้คุ้มทุน โดยที่ไม่ต้องเปลี่ยนวิธีการ มันก็มีความเป็นไปได้ ก็ลองหาวิธีอื่นดู
จริง ๆ เรื่องนี้ มีการศึกษา ทำงานวิจัย และก็ชัดเจนว่า ห้ามทำอวนตาถี่จับปลากะตักในเวลากลางคืนกันมา 30 – 40 ปีแล้ว เพราจะส่งผลกระทบ แต่ตอนนี้จะอนุญาตอีก ก็ไม่อยากใช้คำว่า ถอยหลังลงคลอง คือจะเริ่มต้นใหม่แบบนั้นอีกหรอ จริง ๆ นักวิชาการในรุ่นก่อน อย่าง อ.สุรพล สุดารา นักสิ่งแวดล้อม นักวิทยาศาสตร์ทางทะเลคนสำคัญ ก็เคยพิสูจน์เรื่องนี้มาก่อน เมื่อ 30 กว่าปีก่อน จึงคิดว่า ควรจะกลับมาทบทวนให้ชัด หากจะทำอะไรที่มันมีผลกระทบในระยะยาว

นัท ยังระบุด้วยว่า สังคมพยายามอนุรักษ์ปะการัง อนุรักษ์หญ้าทะเล อนุรักษ์พะยูน โดยทุ่มเทงบประมาณ สรรพกำลัง ทุกอย่างที่พยายามฟื้นฟูธรรมชาติ ใช้เงินมากมาย จากการเปลี่ยนแปลงสภาวะอากาศ ซึ่งไม่รู้ว่าเงินที่ทุ่มเทลงไป ส่งผลแค่ไหนที่จะช่วยธรรมชาติ แต่สิ่งนี้ ทำได้โดยไม่ต้องใช้เงินสักบาท โดยใช้สิ่งที่เรียกว่ากฎหมายที่เป็นบทบัญญัติ แค่ประโยคเขียนบนกระดาษไม่กี่หน้า ไม่กี่บรรทัดแค่นี้เอง สามารถเปลี่ยนเพื่อช่วยปกป้อง อนุรักษ์ธรรมชาติ ไว้ได้อย่างยั่งยืนตลอดไป
“ถ้ามันเกิดความเสียหายขึ้น พูดตรง ๆ ว่า ใครจะเป็นคนรับผิดชอบกับความเสียหายในระยะยาว ถ้าประกาศใช้ไปสักปี เกิดพบว่า มันมีความเสียหายเกิดขึ้นจริง แล้วเราจะมาเริ่มต้นใหม่ อาจต้องใช้เวลาในการฟื้นฟู หรือรอเวลาให้เธรรมชาติมาฟื้นฟู ซึ่งมันใช้เวลาหลายปีแน่ ๆ แล้วมันจะคุ้มค่าไหม อันนี้คือสิ่งที่ผมเป็นห่วง”
นัท สุมนเตมีย์
แค่ตัวเลขการจับสูงสุดไม่พอ
ต้องคำนึงถึงประโยชน์ระบบนิเวศภาพรวม
สำหรับข้อมูลประกอบการพิจารณาของฝ่ายที่เสนอให้มีการปรับแก้กฎหมายการประมง มาตรา 69 ที่กำลังถกเถียงในเวลานี้ คือ การยกค่า MSY (Maximum Sustainable Yield) หรือ ปริมาณสัตว์น้ำสูงสุดที่ยั่งยืน มากล่าวอ้าง โดยคำนึงถึงแต่ตัวเลขการจับของชาวประมง แต่กลับไม่ได้คำนึงถึงการใช้ปลากะตักในรูปแบบอื่นของการใช้ประโยชน์เลย ซึ่งจริง ๆ ปลากะตักเป็นฐานพีระมิดของอาหารในทะเล น่าจะเป็นอันดับ 3 ซึ่งในลำดับห่วงโซ่อาหารที่เหนือขึ้นไปก็จะมี กลุ่มปลาทู หรือปลาชนิดอื่นที่กินปลากะตัก พวกนี้ก็ใช้ปลากะตักเป็นอาหาร หรือแม้กระทั่งวาฬ อย่างวาฬบรูดาเอง ที่บอกว่าต้องอนุรักษ์วาฬบรูด้า มีธุรกิจนำเที่ยวไปดูวาฬบรูดา ซึ่งปลากะตักเป็นอาหารอย่างหนึ่งของวาฬบรูดาในอ่าวไทย ทีนี้ถ้าจะคำนวณค่าการใช้ให้ถูกต้อง และยั่งยืน จึงควรจะคำนึงถึงการใช้ของสัตว์เหล่านี้ด้วย ไม่ใช่จะเอาไปชนเพดาน และไม่เหลือเผื่อสัตว์อื่น ไม่เหลือเผื่อพื้นที่ของความผิดพลาดและความเสียหายเลย
“เห็นชัดเจนว่ากลุ่มที่ได้รับประโยชน์ ก็มีแค่เรือประมงปลากะตัก 175 ลำ ที่ลงทะเบียนไว้แค่นั้นเอง ซึ่งมีเรือประมงพื้นบ้าน อีก 4 – 5 หมื่นลำ ที่หากินกับทะเล ที่เขาออกมาคัดค้าน อันนี้ก็เป็นเหตุที่ทำให้ผมรู้สึกว่า ตัวเลข 175 ลำ มันมากกว่า 4 – 5 หมื่นได้ยังไง มันฟังดูแล้วงง จริง ๆ สิ่งที่เขาห่วง ไม่ได้ห่วงแค่ปลากะตัก แต่เขาห่วงทั้งระบบห่วงโซ่ ที่มาจากการจับปลากะตัก โดยใช้วิธีในการล้อม ผมว่าอวนตาถี่ขนาดนั้น มันจับลูกปลาทู ปลาอินทรีย์ ตัวที่ยังไม่โตเต็มวัยขึ้นมา หรือแม้แต่ตัวเต็มวัยในแนวปะการัง ที่จะเติบโตขึ้นไป เป็นปลาที่อาจจะไม่ได้มีคุณค่าทางเศรษฐกิจ ไม่ใช่ปลาที่มาขายเป็นกิโล ๆ แต่มันเป็นปลาที่มีคุณค่าในระบบนิเวศ ในขณะที่เราพยายามจะบอกว่า จะอนุรักษ์แนวปะการัง ที่เสียหายไปกับบภาวะโลกรวน โลกร้อนนอะไรก็ตาม แต่ทำไมเราไม่ดูแลพลเมืองของปะการัง ที่ทำหน้าที่ในการดูแลปะการังเลย”
นัท สุมนเตมีย์

ทบทวนยกเลิกมาตรา 69 เพื่ออนาคตลูกหลาน – ทะเลไทย
นัท ทิ้งท้ายถึงความตั้งใจของทีมร่วมสำรวจครั้งนี้ว่า ไม่อยากให้หลาย ๆ ครั้งที่เราเห็นอะไรที่รู้สึกว่ามันไม่ถูกต้อง แล้วก็ปล่อยให้มันผ่านไป ถึงเวลาที่ต้องลุกขึ้นมายืนหยัด ทำในสิ่งที่เชื่อ ถึงแม้มันจะได้ผล หรือ ไม่ได้ผล อย่างน้อยที่สุด ก็ได้ทำอย่างดีที่สุดแล้ว
“เวลาเราหันไปมองลูก ไปสบตากับลูก และเราก็มองหน้าว่าเราไม่ได้ละทิ้งโอกาสที่ได้มายืนพูด เราได้ทำในสิ่งที่เราคิดว่ามันถูกต้อง คือผมคิดว่า ในฐานะพลเมืองของประเทศ ถ้าเรารู้สึกหวังดีต่อประเทศจริง ๆ เราควรลุกขึ้นมา ยืนหยัดพูดในสิ่งที่เราเชื่อ เพื่อเกิดการเปลี่ยนแปลง”
นัท สุมนเตมีย์
สิ่งที่พวกเขาคาดหวัง คือ ไม่อยากให้มาตรา 69 ประกาศใช้ เพราะอยากให้ทบทวนและยกเลิก แม้ยอมรับว่าเป็นสิ่งที่นอกเหนืออำนาจแต่สิ่งที่ทำได้ดีที่สุด คือ การนำเสนอในสิ่งที่เห็น ได้สื่อออกไปช่วยบอกเล่าเรื่องราวนี้ให้กับผู้คนในสังคมได้เข้าใจมากขึ้น รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ฝ่ายนิติบัญญัติ วุฒิสภา ที่กำลังพิจารณาแก้ไขกฎหมายการประมงในเวลานี้ ก็ถือว่า “ได้ทำหน้าที่ของเราอย่างดีที่สุดแล้ว”