ถึงเธอ…จากฉัน : จดหมาย ความหวัง และผู้ต้องขังคดีการเมือง ในนิทรรศการ Freedom Beyond Wall

ถึง คุณผู้อ่าน

กว่าคุณจะได้อ่านจดหมาย (บทความ) นี้ สภาผู้แทนราษฏร ก็ลงมติร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม เมื่อวันที่ 16 ก.ค. 2568 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และคุณคงทราบว่าผลการโหวตในวันนั้น สภาฯ ไม่รับร่างฉบับประชาชน และฉบับพรรคก้าวไกล (เดิม) แต่เลือกรับร่างของฉบับพรรครวมไทยสร้างชาติ, ฉบับพรรคครูไทยเพื่อประชาชน (เดิม) และฉบับภูมิใจไทย เท่านั้น ส่งผลให้ความหวังของการนิรโทษกรรมผู้ต้องขังในคดีอาญา มาตรา 112 อาจถูกยุติลงชั่วคราวในตอนนี้ 

ใช่ว่าเราจะไร้ความหวังไปเสียทีเดียว ในวันเดียวกันไม่กี่ชั่วโมงหลัง สภาฯ ปิดประตูร่างนิรโทษกรรมประชาชน เราพาตัวเองมาอยู่ที่งานนิทรรศการ Freedom Beyond Walls : นิทรรศการโปสการ์ดและจดหมายเพื่อส่งกำลังใจถึงเพื่อนผู้ต้องขังทางการเมืองในเรือนจำ แม้เราอาจจะไม่ได้เขียนจดหมายถึงใครบ่อยนักในชีวิตประจำวัน แต่นิทรรศการนี้กำลังบอกเราว่า คงไม่สายเกินไป ที่จะลองเขียนจดหมายหาเพื่อนในเรือนจำดู

เราได้พูดคุยกับ แสงเทียน เผ่าเผือก เจ้าหน้าที่ฝ่ายรณรงค์เชิงสาธารณะ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย หนึ่งในทีมงานจัดนิทรรศการ ที่บอกว่า การสร้างการรับรู้ การใช้สิทธิ และการมีความหวัง เป็นสิ่งที่เราควรมีพร้อม ๆ กัน

แสงเทียน เผ่าเผือก เจ้าหน้าที่ฝ่ายรณรงค์เชิงสาธารณะ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย

เรายินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะพาคุณผู้อ่านไปเยี่ยมชมนิทรรศการผ่านจดหมายฉบับนี้…

ส่งต่อความหวัง ผ่านจดหมาย 

แสงเทียน เริ่มต้นเล่าให้ฟังถึงการทำงานของแอมเนสตี้ฯ กับการติดต่อคนในเรือนจำ ที่หากสามารถคุยกับใครได้ ก็อยากคุยให้ได้มากที่สุด ด้วยเงื่อนไขต่าง ๆ เช่น ความยินยอมของเพื่อนในเรือนจำ ความพร้อมของแอมเนสตี้ฯ และข้อจำกัดของเรือนจำ 

เช่นเดียวกันกับจดหมาย หากเป็นไปได้ ก็อยากส่งเข้าไปให้ได้มากที่สุด เพราะจดหมายถือเป็นหนึ่งกำลังใจของผู้ต้องหา ซึ่งจากสถานการณ์ตอนนี้ กำลังใจสำหรับคนข้างในสำคัญมาก ๆ 

ธี ถิรนัย อดีตผู้ต้องขังคดีการเมือง ซึ่งปัจจุบันได้รับการปล่อยตัวแล้ว เคยบอกว่า ทุกครั้งที่มีการประกาศให้ไปรับจดหมาย ทั้งจากแอมเนสตี้ฯ หรือจากคนอื่น ๆ เอง เป็นไฮไลท์ประจำวันของเขาเลย

นอกจากการให้กำลังใจแล้ว จดหมายยังเป็นตัวแทนที่บอกว่า คนข้างนอกไม่ลืมเขา และสะท้อนให้เห็นว่า ยังมีคนที่มองว่า เขาควรจะได้ออกมาโลดแล่น ได้ทำตามความฝัน ได้อยู่กับครอบครัวและคนที่รัก ได้มีชีวิตภายนอกกรงขัง

การที่มีคนบอกว่า ยังนึกถึงเขาอยู่ โคตรสำคัญ เพราะว่าชีวิตในเรือนจำมันจะเหมือนเดิมในทุก ๆ วัน บางทีก็จะลืมว่า เขาเองก็มีตัวตนอยู่ข้างนอก การที่มีคนมายืนยันว่าเขามีตัวตนอยู่ข้างนอกนะ มีคนพูดถึงนึกถึงเขา มันสำคัญมาก ๆ”

แสงเทียน เผ่าเผือก

ไม่ใช่แค่เขียนจดหมายเข้าไปข้างในเรือนจำเพียงอย่างเดียว แต่คนข้างในก็เขียนจดหมายออกมาถึงคนข้างนอกด้วยเช่น ในนิทรรศการมีโซน Letter of Silenced บอกเล่า เรื่องราวของผู้ต้องขังคดีการเมืองทั้ง 51 คน และข้อความจากจดหมายจากผู้ต้องขังในเรือนจำจริง ๆ จดหมายบางฉบับ ยืนยันหลักการว่า ตัวเขาไม่ควรถูกคุมขัง บางฉบับแสดงความกังวล หรือบางฉบับ ขอบคุณคนที่อยู่ข้างนอกที่ไม่ทอดทิ้งพวกเขา 

เจ้าหน้าที่แอมเนสตี้ฯ เน้นย้ำว่า ไม่ใช่แค่คนข้างนอกที่ให้กำลังใจคนข้างในฝ่ายเดียวเท่านั้น แต่คนข้างในก็ได้ให้กำลังใจคนข้างนอกเช่นกัน เช่น ป้าอัญชัน ปรีเลิศ ข้าราชการเกษียณ หนึ่งในผู้ต้องขัง ก็รับรู้ว่าแอมเนสตี้ฯ ทำงานด้านนี้ และคอยเป็นกำลังใจให้อยู่เสมอ

สิ่งที่เธอจำได้ขึ้นใจ คือ ประโยคที่ ทนายอานนท์ นำภา หนึ่งในผู้ต้องขัง บอกว่า “การต่อสู้มันเหมือนการย่ำดิน” ซึ่งวันที่ได้เห็นข้อความนี้ เธอน้ำตาคลอ และได้กำลังใจกลับมาเช่นกัน

“การต่อสู้มันเหมือนการย่ำดิน สิ่งที่แอมเนสตี้ฯ และเครือข่ายนิรโทษกรรมประชาชน ภาคประชาสังคม ประชาชนทั่วไปกำลังทำกันอยู่ มันต้องย่ำไปเรื่อย ๆ มันอาจจะย่ำครั้งเดียวแล้วยังไม่แน่น แต่มันเป็นการย่ำไปเรื่อย ๆ”

ข้อความจากทนายอานนท์ นำภา

การเขียน และส่งจดหมาย จึงเป็นการส่งกำลังใจและแบ่งปันความหวัง ทั้งจากภายนอกเข้าในเรือนจำ และจากภายในสู่โลกภายนอก 

ไม่ใช่แค่ให้กำลังใจ แต่จดหมายยังเป็นแรงกดดันถึงรัฐ

แสงเทียน สะท้อนเพิ่มเติมว่า นอกจากจะเป็นการให้กำลังใจแล้ว จดหมายยังมีบทบาทในการยืนยันกับทางรัฐและผู้มีอำนาจว่า มีคนข้างนอกที่ไม่ได้เห็นด้วยกับการคุมขัง และไม่ได้ลืมผู้ต้องขังเหล่านี้ 

“มันไม่ใช่แค่ยืนยันให้กับคนที่ได้รับจดหมาย คือ ผู้ต้องขัง อย่างเดียว แต่มันเป็นการยืนยันกับทางรัฐด้วย กับผู้มีอำนาจด้วย ว่า คุณต้องเห็นนะว่าคนข้างนอก เขาไม่ได้ลืมว่ามันมีผู้ต้องขังจากการใช้สิทธิเสรีภาพ และการแสดงออกอยู่”

แสงเทียน เผ่าเผือก

และหากในอนาคตมีการจับกุม คุมขังจากการใช้สิทธิและเสรีภาพการแสดงออกอีก ก็จะเห็นว่ายังมีคนไม่เห็นด้วยกับการใช้อำนาจเหล่านั้น และใครก็ตามจะใช้อำนาจตามใจไม่ได้

ข้อจำกัดของเรือนจำ สิทธิที่จะสื่อสารกับโลกภายนอก

กฎแมนเดลา (Mandela Rule) เป็นข้อกำหนดมาตรฐานขั้นต่ำในการปฏิบัติต่อผู้ต้องขัง ในข้อที่ 58 ระบุว่า “ผู้ต้องขังมีสิทธิในการติดต่อสื่อสารกับโลกภายนอก”

แม้จะมีการส่งจดหมายถึงผู้ต้องขังในเรือนจำ แต่หลาย ๆ ครั้ง การจะส่งจดหมายสักฉบับ (หรือหลายฉบับ) เข้าเรือนจำ อาจจะไม่ง่ายนัก ด้วยข้อจำกัดของเรือนจำ 3 ประการด้วยกัน

  • ไม่มีระบบติดตาม (Tracking) การจะส่งจดหมายหรือพัสดุอะไรก็ตามเข้าไปในเรือนจำ ไม่มีทางรู้ได้เลยว่าจะถึงมือเขาเหล่านั้นหรือไม่ จนกว่าเขาจะสะท้อนออกมา ส่วนหนึ่งมาจากการช่วยเหลือของเครือข่าย เช่น จาก Freedom Bridge ที่คอยมาอัปเดตเวลาส่งจดหมายเข้าไปแล้ว ผู้ต้องขังสะท้อนกลับมาแบบนี้

  • การปิดแอปพลิเคชัน Domimail จดหมายหลังกำแพง ที่ใช้พูดคุยกับคนข้างในเรือนจำ หนึ่งในวิธีการติดต่อกับคนในเรือนจำที่อาจมองได้ว่าเป็นวิธีที่ “ง่ายที่สุด” โดยเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ปิดการให้บริการแอปฯ ตั้งแต่วันที่ 16 มิ.ย. 2568 ที่ผ่านมา แสงเทียน ระบุว่า ทางแอมเนสตี้ฯ ยังไม่ได้รับคำตอบอย่างชัดเจนว่า ปิดแอปฯ เฉพาะเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครหรือไม่ หรือปิดระบบทั้งหมด

  • มาตรฐานของเรือนจำที่แตกต่างกัน ทั้งการตรวจจดหมายและการตีกลับ ก่อนหน้านี้เคยมีจดหมายที่ถูกตีกลับมา ด้วยเหตุผลที่ว่า โปสการ์ดมีข้อความ “ปล่อยเพื่อนเรา” และทางเรือนจำตีความว่า ข้อความนี้ไม่เคารพคำตัดสินของศาล สะท้อนให้เห็นมาตรฐานที่ไม่ชัดเจนของแต่ละเรือนจำ เนื่องจากบางเรือนจำเข้าได้ บางเรือนจำเข้าไม่ได้ ซึ่งเป็นหนึ่งในเรื่องที่เครือข่ายพยายามผลักดัน ทั้งผ่านการพูดคุยกับกระทรวงยุติธรรมและเรือนจำว่า ต้องมีมาตรฐาน และเป็นสิทธิของผู้ต้องหาในการสื่อสารกับโลกภายนอก

“(การเขียนจดหมาย) อยู่บนพื้นฐานสิทธิในการสื่อสารของคนข้างในสู่โลกภายนอก เป็นสากลตามกฎแมนเดลา เพราะฉะนั้นจริง ๆ เรือนจำก็มีหน้าที่ต้องทำให้สิ่งนี้มันเกิดขึ้นให้ได้”

แสงเทียน เผ่าเผือก

แคมเปญฟรีราษฎร เมื่อสิทธิเสรีภาพอยู่ในชีวิตประจำวันของเรา

กิจกรรมเขียนจดหมายถึงเพื่อนในเรือนจำ ทั้งทางออนไลน์และออฟไลน์ เป็นหนึ่งในแคมเปญ ฟรีราษฎร (FreeRatsadon) ของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย ซึ่งยังมีอีกหลายกิจกรรมที่ชวนประชาชนมาร่วมกันภายในแคมเปญนี้

เช่น การปฏิบัติการร่วม (Urgent Action) หรือการล่ารายชื่อยื่นเพื่อให้รัฐและกระทรวงยุติธรรม ปล่อยตัวผู้ต้องขังทางการเมืองจากการใช้สิทธิเสรีภาพการแสดงออกในการชุมนุม ซึ่งทำบ่อยในช่วงที่มีการจับกุมเยอะ ๆ  หรืออย่างการประท้วง การแสดงพลังเชิงสัญลักษณ์ในวันสำคัญ เช่น จัดปาร์ตี้เล็ก ๆ เป่าเค้กหน้าเรือนจำในวันเกิดป้าอัญชัน

แสงเทียน ยังเห็นว่า กิจกรรมแนวประท้วง ไปหน้าเรือนจำ ก็จะได้เจอแนวร่วมที่อยู่ในขบวนการเคลื่อนไหวอยู่แล้ว ในขณะที่หากเป็นกิจกรรมที่มีความเป็นไลฟ์สไตล์มากขึ้น ก็จะได้เจอคนใหม่ ๆ ที่อาจไม่เคยเข้าร่วมกิจกรรมแบบนี้มาก่อน เช่น การจัดเวิร์กชอปศิลปะ กิจกรรมทำกำไลเชือกเทียน ที่ให้คนเข้าร่วมได้เลือกว่าอยากให้กำไลที่ทำสะท้อนคุณค่าแบบไหน ถือเป็นหนึ่งในการสร้างพื้นที่ปลอดภัยในการใช้สิทธิเสรีภาพในการแสดงออกของแต่ละคน

กิจกรรมไลฟ์สไตล์เหล่านี้คือการย้ำว่า สิทธิเสรีภาพไม่ใช่เรื่องไกลตัว แต่เป็นเรื่องที่อยู่ในชีวิตประจำวัน 

“บางทีคนอาจจะอยากส่งเสียงของตัวเอง อยากใช้สิทธิของตัวเอง แต่เขาอาจจะยังไม่รู้ว่าเขาสามารถทำอะไรได้บ้าง เราพยายามสร้างพื้นที่ที่ปลอดภัยให้กับเขาในการใช้สิทธิเสรีภาพการแสดงออกของเขา”

แสงเทียน เผ่าเผือก

อีกหนึ่งโซนที่เราอยากเชิญชวนให้ลองมาเดินดู คือ “โซนกำแพงแห่งความหวัง” ที่จัดแสดงผลงานการออกแบบโปสการ์ดกว่า 75 แผ่น ผ่านการตีความคำว่า “สิทธิ เสรีภาพ การแสดงออก” ในรูปแบบศิลปะ แต่ละคนก็ตีความวลีนี้แตกต่างกัน บางคนก็อาจตีความตรง ๆ อย่าง “ปล่อยเพื่อนเรา” บางคนตีความเป็น ผู้ต้องขังทางการเมืองเป็นยักษ์ในตะเกียงวิเศษ จากเรื่องอะลาดิน ที่รอคนมาปลดปล่อย ซึ่งก็น่าสนใจแตกต่างกันไปตามการตีความของแต่ละคน

ผู้จัดกิจกรรมคนนี้ มองว่า กิจกรรมนี้เปิดพื้นที่ให้นักวาดแต่ละคนได้ใช้สิทธิของตัวเอง ได้ตีความตามแบบของตัวเอง และหวังว่าสิ่งนี้จะยังประทับอยู่ในตัวเขาต่อไป อาจกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการต่อยอดในการพูด สื่อสาร รวมถึงออกไปใช้สิทธิ เสรีภาพ และการแสดงออกตามมา 

“เพราะเราเชื่อว่า คนพยายามและอยากจะใช้สิทธิของตัวเองอยู่แล้ว แต่ว่าเขาอาจจะยังไม่มีพื้นที่ในการรวมมันเข้าด้วยกัน ระหว่างตัวตนของเขากับการพยายามใช้สิทธิของเขา”

แสงเทียน เผ่าเผือก

ทำความเข้าใจ – มีความหวัง

หากคุณผู้อ่านมีโอกาสได้มาชมนิทรรศการ เรายังขอแนะนำอีกจุดที่ชื่นชอบคือ กระดานกราฟ โดยแกนนอนเป็น ความหวัง (สิ้นหวัง-มีหวัง) และแกนตั้งเป็น การรับรู้ (ยังไม่เข้าใจ-รับรู้และเข้าใจ) เชื้อเชิญให้ผู้เข้าร่วมนิทรรศการแปะสติ๊กเกอร์ที่สะท้อนความเป็นตัวเอง ในวันที่เราไปส่วนใหญ่จะอยู่ในฝั่งมีหวัง และรับรู้และเข้าใจ แต่ก็มีบางส่วนที่รับรู้และเข้าใจ แต่ก็สิ้นหวังเช่นกัน

เรายืนลังเลอยู่หน้ากระดานสักพัก สุดท้ายก็ไม่ได้แปะสติ๊กเกอร์ลงไป เพราะไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ตรงไหน ไม่ใช่ในมิติของการรับรู้ แต่เป็นมิติของความหวัง

สาเหตุที่ผมชอบกระดานนี้คือ มันเปิดโอกาสให้เราสิ้นหวังและยังไม่เข้าใจได้ แม้อาจเป็นด้านลบ หากคุณสิ้นหวัง กระดานจะบอกคุณว่า “เราอยู่ข้าง ๆ นะ” และหากคุณยังไม่เข้าใจ กระดานก็จะบอกคุณว่า “ไม่เป็นไร เริ่มนับ 1 ด้วยกันนะ”

แสงเทียน ยังอธิบายถึงกลไกของกระดานนี้ว่า หากเรารู้สึกสิ้นหวัง การมองสติ๊กเกอร์อื่น ๆ ไม่ใช่การเปรียบเทียบว่า “ทำไมเราเป็นคนสิ้นหวัง” แต่ทำให้เห็นว่า เราไม่ใช่แค่สติ๊กเกอร์เดียว และเราไม่ได้อยู่คนเดียว อาจมองว่าเราสู้ไปด้วยกันได้ ยืนยันหลักการสิทธิมนุษยชนของทุกคนได้ และวันหนึ่งเราจะได้ใช้ความหวังนั้นไปพร้อม ๆ กับคนอื่นด้วยเช่นกัน

และหากวันนี้ยังไม่เข้าใจ แสงเทียน ก็ย้ำว่า ไม่เป็นไรเลย ลองศึกษาทำความเข้าใจ ตั้งคำถามกับมันก็ได้ ยิ่งตั้งคำถามเท่าไรก็ยิ่งดี เพราะคำถามที่เกิดขึ้นในวันนี้อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการทำความเข้าใจในอนาคต

อีกสิ่งหนึ่งที่เธอพบจากการสังเกต คือ กระดานนี้ทำงานกับคนที่มาร่วมงานเช่นกัน บางคนอาจเดินเข้ามาที่กระดานนี้แล้วแปะเลย เพราะรู้ว่าตัวเองอยู่ตรงไหนในกราฟนี้ บางคนมาคนเดียวก็อาจใช้เวลาเยอะหน่อย ในการอยู่และคิดกับตัวเอง บางคนอาจมาเป็นกลุ่ม ได้คุยกัน ตอนแรกอาจแปะที่หนึ่ง แต่พอได้พูดคุยกับเพื่อนที่มาด้วย ก็อาจจะพบมิติใหม่ ๆ ของตัวเอง เช่น “เราก็มีหวังเหมือนกันนี่” หรือ “เราก็เข้าใจเรื่องราวประมาณหนึ่งเหมือนกันเนอะ” แล้วเขาก็เลือกแปะใหม่ เพราะเข้าใจตัวเองมากขึ้น

ไม่ไช่แค่เปิดโอกาสให้ผู้เข้าชมได้สะท้อนตัวเอง แต่กระดานกราฟนี้ยังสะท้อนการทำงานของแอมเนสตี้ด้วยเช่นกัน

“ในฐานะแอมเนสตี้ฯ เราทำงานอยู่ 2 อย่างใหญ่ ๆ (การสร้างการรับรู้และการมีความหวัง) ในการทำแคมเปญ มันก็คือพื้นที่ที่คนทำงานต้องเรียนรู้ไปด้วยกันว่าตอนนี้คนส่วนใหญ่อยู่ตรงไหน แล้วเราต้องเพิ่มอะไรให้มันเยอะขึ้น”

แสงเทียน เผ่าเผือก

ร่างนิรโทษกรรมอาจตกไป แต่พลังประชาชนไม่ได้ตกตาม

ในบางครั้ง บางวัน บางสถานการณ์อาจทำให้รู้สึกโกรธ เสียใจ และหมดหวังไม่ใช่น้อย เช่น จากกรณีสภาฯ คว่ำร่างนิรโทษกรรมทั้ง 2 ฉบับ ผมเชื่อว่าอาจมีหลายคนรู้สึกหมดหวังอยู่

แสงเทียน เน้นย้ำว่า อย่าพึ่งหมดหวัง เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นคือ กฎหมายอาจตกไป แต่พลังของประชาชนไม่ได้ตกไปตาม และอย่างน้อยเราก็รู้ว่ามีคนอีกมากที่อยากให้เพื่อนในเรือนจำได้รับเสรีภาพ

“เราว่าสิ่งที่ตกไปมันคือตัวกฎหมาย แต่ไม่ใช่พลังของประชาชน 36,000 คน ที่เขียนลงชื่อรับรองในวันนั้น พลังของ 36,000 คน และอาจจะมากกว่านั้นด้วยที่สนับสนุนเรื่อง นิรโทษกรรมฯ การปล่อยเพื่อนในเรือนจำที่ถูกคดีทางการเมืองมันไม่ได้หายไปพร้อมกับกฎหมาย”

แสงเทียน เผ่าเผือก

เธอ เล่าถึงประกาศของเครือข่ายนิรโทษกรรมประชาชน ที่บอกว่าเรายังมีโอกาสอื่น ๆ อีก เช่น การเลือกตั้งครั้งถัดไป ผ่านการสนับสนุนคนที่พร้อมต่อสู้เพื่อประชาชน รวมถึงการแสดงพลังให้คนที่เป็นตัวแทนของประชาชนในสภาฯ ได้รับรู้ว่า เราต้องการ และไม่ควรมีใครในอนาคตต้องถูกดำเนินคดีแบบนี้อีก 

“การนิรโทษกรรมประชาชนมันไม่ใช่แค่การปล่อยให้คนที่ถูกคุมขังตอนนี้ออกมาอย่างเดียว แต่มันคือการยืนยันว่าในอนาคตไม่ควรมีใครถูกคดีทางการเมืองอีก”

แสงเทียน เผ่าเผือก

กระบวนการนิรโทษกรรมจึงต้องครอบคลุมทั้งเยียวยาอดีต สะสางความขัดแย้งปัจจุบัน รวมถึงการวางมาตรฐานอนาคต และแม้กฎหมายจะตกไปแล้ว เรายังคงสามารถยืนยันหลักการ “นิรโทษกรรมที่ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังได้” โดยในวาระ 2 และ 3 ก็จะมีการพิจารณาเรื่องหลักการและรายละเอียด เราก็ยังสามารถแสดงให้เขาเห็นว่านิรโทษกรรมที่กำลังพิจารณาอยู่ มันต้องรวมทุกคนได้ด้วย ไม่ว่าจะเป็นร่างของใครก็ตาม

บทส่งท้าย : ความหวังยังอยู่กับเราเสมอ

กระดาษจดหมายวางอยู่บนโต๊ะกลางงานนิทรรศการ ยังรอคนเข้ามาเขียนและส่งต่อความหวังถึงเพื่อนในเรือนจำ 

เรื่องราวและข้อความจดหมายจากผู้ต้องขังถูกแขวนไว้ ยังรอคนเข้ามารับรู้เรื่องราวและความรู้สึกนึกคิด

ภาพวาดบนโปสการ์ด 75 แผ่น ยังรอคนเข้ามาเยี่ยมชม อ่านเรื่องราวการตีความ

กระดานกราฟ ยังรอคนมาสำรวจและแบ่งปันที่ทางของตัวเอง รับรู้ว่ายังมีคนอื่น ๆ อยู่เช่นกัน

สิ่งเหล่านี้เน้นย้ำว่า ความหวังยังอยู่กับเราเสมอ เพราะเราไม่ได้อยู่ลำพัง เราไม่ลืมเขา และเสียงของเขาจะไม่ถูกลืม

จาก เราเอง


งาน Freedom Beyond Walls : นิทรรศการโปสการ์ดและจดหมายเพื่อส่งกำลังใจถึงเพื่อนผู้ต้องขังทางการเมืองในเรือนจำ จัดขึ้นในวันที่ 15-27 ก.ค. 2568 ณ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร ชั้น 1 มุมสามเหลี่ยม และสามารถเขียนจดหมายถึงเพื่อนในเรือนจำได้ทั้งทางออฟไลน์ในกิจกรรมดังกล่าวและในกิจกรรมอื่น ๆ ของแอมเนสตี้ฯ และทางออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ freeratsadon.amnesty.or.th

Author

Alternative Text
AUTHOR

ธนธร จิรรุจิเรข

สงสัยว่าตัวเองอยากเป็นนักวิเคราะห์ data ที่เขียนได้นิดหน่อย หรือนักเขียนที่วิเคราะห์ data ได้นิดหน่อยกันแน่

Alternative Text
PHOTOGRAPHER

ชญาดา จิรกิตติถาวร

เปรี้ยว ซ่า น่ารัก ไม่กินผัก ไม่กินเผ็ด