ก้าวไปข้างหน้า #วิ่งเพื่อเสรีภาพ และก้าวต่อไปของ #นิรโทษกรรมประชาชน

ระยะทางกว่า 2 กิโลเมตร จากจุดเริ่มต้นที่ ลานคนเมือง ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร มุ่งหน้าสู่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ คือเส้นทางที่เหล่านักวิ่งเฉพาะกิจมารวมตัวกัน ในกิจกรรม “Run2Free | วิ่งเพื่อเสรีภาพ” ซึ่งเครือข่ายนิรโทษกรรมประชาชน อย่าง โครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน (iLaw), มูลนิธิอาสาสมัครเพื่อสังคม (มอส.) และเครือข่ายศิลปิน จัดขึ้นเมื่อวันหยุดสุดสัปดาห์ก่อน อีกรูปแบบกิจกรรมการแสดงออกเพื่อเรียกร้องสิทธิประกันตัวของผู้ต้องขังทางการเมือง

ทำไม ? ต้องใช้การวิ่ง…วิ่งแล้วจะช่วยเรียกร้องสิทธิให้กับผู้ต้องขังทางการเมือง หรือสร้างแรงกระเพื่อมไปถึงการผลักดันกฎหมายนิรโทษกรรมได้อย่างไร ? The Active ชวนหาคำตอบผ่านมุมมองของ สินา วิทยวิโรจน์ ในฐานะผู้จัดงาน และ ภัสราวลี ธนกิจวิบูลย์ผล ผู้เข้าร่วมงานนี้

จาก ‘นิ่ง’ สู่ ‘วิ่ง’
ต่อยอดยืนหยุดขัง สู่วิ่งเพื่อเสรีภาพ

นอกจากจะเป็นนักวาดภาพประกอบที่มีผลงานในเพจ Sina Wittayawiroj® แล้ว สินา วิทยวิโรจน์ ยังเป็นหนึ่งในทีมงาน TUNE&CO ซึ่งเป็นคณะผู้จัดงานนี้

สินา เริ่มบทสนทนาด้วยที่มาที่ไปของกิจกรรม โดยตั้งต้นจากการอยากพูดเรื่อง นักโทษทางการเมือง เนื่องจากในช่วงเวลาไม่กี่สัปดาห์ก่อนหน้า มีคดีทางการเมืองที่เพิ่มขึ้นจำนวนมาก (ณ วันที่สัมภาษณ์ มียอดผู้ต้องขังคดีการเมืองทั้งหมด 57 คน) ทาง iLaw, มอส., Thumb Rights จึงมาระดมความเห็นกันว่า จะทำอย่างไรเพื่อให้คนมาร่วมกิจกรรมและพูดเรื่องการเมือง และเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมนั้นได้ด้วย

สินา วิทยวิโรจน์

“อยากทำกิจกรรมแบบ ยืนหยุดขัง เหมือนที่เคยทำมา แต่ติดที่ว่ารูปแบบเหมือนเดิมเกินไป ซึ่งอาจทำให้ไม่มีผู้เข้าร่วม เลยออกแบบกิจกรรมให้มีการเคลื่อนตัวแต่ไม่ได้เป็นม็อบ อาจคล้ายกิจกรรมเคลื่อนไหวทางการเมืองในช่วงปี 2563 – 2564 ประกอบกับกระแส City Run ที่ทำให้คนออกมาวิ่งในเมือง เลยได้มาเป็นกิจกรรม วิ่งเพื่อเสรีภาพ มีการติดป้าย BIB ผู้ต้องขังทางการเมือง และสามารถทำกิจกรรมอื่น ๆ ระหว่างทางได้”

สินา วิทยวิโรจน์

แล้วทำไม ? ต้องวิ่ง สินา ให้เหตุผลว่า การขยับตัว การไม่อยู่นิ่ง การไม่อยู่เฉย ช่วยให้คนมา ปลดปล่อยพลังหรือความรู้สึกบางอย่างร่วมด้วย ขับของเสียในตัวเองออกไป เช่น ความโกรธ, ความเศร้า, ความเครียด เพื่อที่จะได้มารวมตัวกันทำกิจกรรมในเชิงบวกมากขึ้น

‘วิ่ง’ บนเส้นทางประวัติศาสตร์
เรื่องราวการต่อสู้ของประชาชน

จากจุดเริ่มต้นที่ลานคนเมือง ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร วิ่งไปตามถนนดินสอ อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เลี้ยวซ้ายเข้าสู่ถนนราชดำเนินกลาง ข้ามถนนหน้าโรงแรมรัตนโกสินทร์ ลัดเลาะริมขอบรั้วสนามหลวง ก่อนจะเข้าสู่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ รวมระยะทางสั้น ๆ ประมาณ 2 กิโลเมตรกว่า แต่ผ่านสถานที่สำคัญหลายแห่ง

แม้ตอนแรกตั้งใจอยากใช้พื้นที่ถนนราชดำเนินกว้าง ๆ แต่ติดเรื่องการขออนุญาตพื้นที่ สุดท้ายเลยจบที่เส้นทางดังกล่าว ซึ่งผู้จัดงาน ก็ยังมองว่า เส้นทางปัจจุบันได้พูดถึงผู้ต้องขังคดีการเมืองด้วยตัวเองอยู่แล้ว

“เราประเมินแล้วว่าจากลานคนเมืองที่เป็นจุดรวมตัว มาถึงมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มันผ่านเส้นทางประวัติศาสตร์การเคลื่อนไหวทางการเมืองอยู่แล้ว เราแทบไม่ต้องพูดอะไรเลย เส้นทางการวิ่งมันก็พูดถึงไอเดียของการวิ่งเพื่อพูดถึงผู้ต้องขังอยู่แล้ว”

สินา วิทยวิโรจน์

ยิ่งชีพ อัชฌานนท์ ผู้จัดการ iLaw โพสต์ระบุถึงเบื้องหลังของการจัดงานนี้ว่า เผชิญปัญหาเรื่องการขออนุญาตใช้พื้นที่ ทั้งจากตำรวจและมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่ระบุว่ามีการจัดงานอื่นก่อนหน้าแล้ว ทำให้ไม่สามารถใช้พื้นที่บางจุดได้ เช่น ลานคนเมือง หรือลานประติมากรรมหน้าหอประชุมใหญ่ ม.ธรรมศาสตร์ แต่เมื่อไปถึงหน้างานจริงก็พบว่าไม่ได้มีงานอื่นจัดขึ้นแต่อย่างใด รวมถึงบางสถานที่ที่ไม่อนุญาตให้ใช้อย่างเด็ดขาด เช่น สนามหลวง ที่ยืนยันว่ายังไงก็ไม่ได้

“กิจกรรมทางการเมือง
จะเอาเท้าแตะสนามหลวงไม่ได้เลย ไม่ว่าตรงไหนก็ตาม”

ยิ่งชีพ อัชฌานนท์

อย่างไรก็ตาม ผู้จัดงานจะ “พยายามออกแบบเส้นทางที่เหมาะสมกับทุกคน ภายใต้ข้อจำกัดมากมายในโอกาสต่อไป”

กิจกรรม ‘วิ่ง’ รูปแบบใหม่
โอบรับ-เชื้อเชิญ-เปิดกว้าง

ในฐานะผู้จัดงาน สินา ยังยอมรับว่า กิจกรรมนี้มีผู้เข้าร่วมเยอะกว่าที่คาดไว้ รวมถึงเจอคนที่หลากหลายมารวมตัวกัน ทั้งคุณแม่เข็นรถเข็นลูก ครอบครัวที่พาลูกมาวิ่งด้วย หรือผู้สูงอายุที่พยายามเดินไปพร้อมกัน

การมีคนหลากหลายมาร่วมกิจกรรมไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เพราะส่วนหนึ่งมาจากการออกแบบกิจกรรมให้เอื้อกับผู้คนทุกกลุ่ม

“เราออกแบบให้รูปแบบมันสามารถเอื้อให้กับผู้สูงอายุ กับครอบครัวได้ มีทีมงานที่ดูตั้งแต่นักวิ่ง คนอยากร่วมปกติ คนที่อยากเดินตาม เรามีจุดที่มีผู้ดูแล มีน้ำ มีเครื่องดื่ม มีอาหาร แล้วก็มีเวทีกิจกรรมตอนท้าย… หรือถ้าไม่พร้อมจะวิ่ง ไม่พร้อมจะเดิน ก็มารอที่ปลายทางได้”

สินา วิทยวิโรจน์

แม้รูปแบบกิจกรรมจะแตกต่างจากการรวมตัวปกติอย่างที่ผ่าน ๆ มา แต่ผู้จัดงานคนนี้ ก็มองว่า งานแบบที่เคยทำมาก่อน ๆ ไม่ว่าจะเป็นงานเสวนาทางการเมือง งานรวมตัวเคลื่อนไหวทางการเมืองโดยตรง ก็ยังจำเป็นต้องมีอยู่

ขณะเดียวกันงานรูปแบบใหม่ ๆ ที่ปรากฏขึ้น ก็มาจากทีมจัดงานคนรุ่นใหม่ที่อาจไม่ได้ผ่านเหตุการณ์การเคลื่อนไหวช่วงปี 2563 – 2564 โดยตรง แต่ก็มีไอเดียในการขยับขยายวิธีการต่าง ๆ ออกไป ให้รู้สึกว่า “การเมืองไม่ไม่ใช่เรื่องเฉพาะของคนการเมือง แต่มันเกี่ยวกับคนทั่วไปที่สามารถเอากิจกรรมปกติ มารวมกับการเคลื่อนไหวทางการเมืองได้”

“ผู้เข้าร่วมงานในครั้งนี้มันเกินกว่าที่คิดไว้เยอะมาก และ รูปแบบของมันควรจะรักษาไว้ ไม่ว่าจะเป็นการวิ่ง วิธีการออกแบบอื่น ๆ ที่เอื้อให้คนอื่นเข้ามาร่วมได้”

สินา วิทยวิโรจน์

มายด์ – ภัสราวลี ธนกิจวิบูลย์ผล

“เหมือนวันรวมญาติ” เป็นสิ่งแรกที่ มายด์ – ภัสราวลี ธนกิจวิบูลย์ผล บอกกับเรา เมื่อถามว่างานนี้เป็นอย่างไรบ้าง ?

“ได้เจอหลาย ๆ คนที่เราคุ้นเคยกันดีตั้งแต่ช่วง (การชุมนุม) ปี 2563 บางคนไม่ได้เจอนาน แล้วเราก็ได้มาเจอกันในงานนี้”

ภัสราวลี ธนกิจวิบูลย์ผล

มายด์ เห็นเหมือนกับผู้จัดงาน ว่า “บรรยากาศเปิดขึ้นเยอะมาก” และ “ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า งานแบบนี้ดีมากเลย” โดยงานลักษณะนี้มีอะไรให้ได้ทำ และเปิดกว้างให้คนที่อาจจะไม่ได้สะดวกใจมายืนหยุดขังเป็นระยะเวลานาน ๆ รวมถึงคนทั่วไปที่เห็นด้วยก็สามารถเข้าร่วมและแสดงออกได้ งานยังสะท้อนให้เห็นว่าคนในสังคมยังสนใจประเด็นสิทธิประกันตัวผู้ต้องขังอยู่หรือไม่

“คนเยอะมาก มันทำให้เห็นว่า หลายคนก็ยังให้ความสำคัญเรื่องสิทธิในการประกันตัวอยู่ หลายคนยังคิดถึงเพื่อนในเรือนจำอยู่ ถึงแม้ว่าสถานการณ์มันอาจจะไม่ได้มีจังหวะให้เรามารวมตัวกันได้ เหมือนตอน (การชุมนุม) ปี 2563 ก็ตาม แต่เมื่อมีกิจกรรมแบบนี้ที่ทุกคนสามารถปลีกเวลาส่วนตัวของตัวเองมาได้ ก็มารวมตัวกัน เป็นภาพที่น่าประทับใจมาก”

ภัสราวลี ธนกิจวิบูลย์ผล

‘วิ่ง’ เพื่อเรียกร้องสิทธิขั้นต่ำสุด
อย่าง…’สิทธิประกันตัว’

นอกเหนือจากผู้เข้าร่วมแล้ว มายด์ ยังเป็นหนึ่งในทีมงาน CALL (เครือข่ายรณรงค์แก้รัฐธรรมนูญ) และนักเคลื่อนไหวทางการเมืองที่โดนคดี มาตรา 112 ทั้งหมด 3 คดี

เธอมองว่า สิทธิขั้นต่ำสุดที่ผู้ต้องขังควรจะได้คือ สิทธิการประกันตัว เพื่อออกมาสู้คดีได้อย่างเต็มที่ หลาย ๆ กรณีของผู้ต้องขังคดีการเมืองยังไม่ได้ตัดสินฎีกา และคดียังไม่ถึงที่สุด จึงควรได้รับสิทธิประกันตัวและต่อสู้คดีเหมือนคดีอื่น ๆ แต่พอเป็นคดีการเมือง กลับกลายเป็นข้อยกเว้น และยิ่งยากขึ้นเมื่อเป็นคดี ม.112

“มันเป็นความผิดปกติที่ไม่ควรต้องมาเรียกร้องกันแล้วด้วยซ้ำ แต่ว่าตอนนี้เราก็ต้องมาเรียกร้องกันในสิทธิ์ขั้นพื้นฐานที่สุด ว่าคนที่ถูกดำเนินคดี เขามีสิทธิ์ที่จะออกมาต่อสู้คดีอย่างเต็มที่ มีสิทธิ์ประกันตัว”

ภัสราวลี ธนกิจวิบูลย์ผล

หากถามต่อว่าแล้วกิจกรรมนี้ จะพาเราไปถึงข้อเรียกร้องนั้นได้อย่างไร มายด์ ระบุว่า กิจกรรมนี้เป็นการเปิดพื้นที่ให้คนมารวมพลัง และแสดงออกว่า พวกเราเห็นด้วยที่ “นักโทษทางการเมืองต้องได้รับสิทธิประกันตัว” ซึ่งเสียงนี้มาจากภาคส่วนอื่น ๆ ไม่ใช่แค่แวดวง NGOs หรือนักกิจกรรม แต่มีเสียงของประชาชนคนทั่วไปร่วมด้วย

ยืนยันหลักการนิรโทษกรรม
“ต้องไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง”

สำหรับ ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ปัจจุบันชื่อ ร่าง พ.ร.บ. เสริมสร้างสังคมสันติสุข เกิดหลอมรวมจากร่างกฎหมาย 3 ฉบับ ได้แก่ ฉบับพรรครวมไทยสร้างชาติ พรรคครูไทยสร้างชาติ และพรรคภูมิใจไทย ซึ่งไม่รวมฉบับภาคประชาชน และพรรคก้าวไกล (เดิม)

เมื่อวันที่ 25 ก.ย. ที่ผ่านมา กมธ.นิรโทษกรรม พิจารณาร่างกฎหมายดังกล่าวในวาระ 2 ชั้นกรรมาธิการ เสร็จสิ้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยมีเนื้อหาสำคัญ เช่น กรอบระยะเวลานิรโทษกรรมตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2548 ถึง 16 ก.ค. 2568 (หรือวันที่สภาฯ โหวตรับร่าง 3 ฉบับ) โดย ไม่นิรโทษกรรมคดี ม.110 (ประทุษร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินีหรือรัชทายาท) และ ม.112 แต่นิรโทษกรรมคดี ม.112 ของเยาวชน และนิรโทษกรรมทางแพ่ง

นอกจากนี้ยังมีการเพิ่มฐานความผิดใหม่เข้ามา เช่น ความผิดตามในประมวลกฎหมายอาญาเกี่ยวกับศาสนาใน ม.206 และ ม.208 เกี่ยวกับหมื่นประมาท ม.326, ม.328 และ ม.329 และความผิดตาม พ.ร.บ. อาวุธปืนฯ พ.ศ. 2490 และที่แก้ไขเพิ่มเติม นอกจากนี้ ยังมีข้อกังวลเรื่องการนิรโทษกรรมคดีฮั้ว สว.

หลังจากนี้คาดว่าจะยื่นสภาฯ เพื่อให้ทันการพิจารณาในวาระ 3 ในสมัยประชุมนี้ ทั้งผู้จัดงานและผู้เข้าร่วมต่างมองว่า ยังมีโอกาสในโค้งสุดท้าย ผ่านการกดดันสภาฯ เพื่อให้ลงมติไม่เห็นชอบกับร่างปัจจุบันในวาระ 3

“เพราะฉะนั้น มันยังมีก๊อกสุดท้าย ที่เราจะได้ส่งเสียง ที่เราจะได้ยืนยัน ว่ายังไงก็แล้วแต่ต้องรวม (คดี ม.110 และ ม.112) อย่าทิ้งใครไว้ข้างหลังเลย เราต้องไปกดดันสภาฯ ซึ่งหากว่าวาระ 3 ในสภาฯ เลือกที่จะลงมติไม่เห็นชอบกับข้อเสนอที่ กมธ. ในวาระ 2 ยกมา ก็อาจจะให้ข้อถกเถียงนี้กลับไปคุยเรื่องที่ว่า ม.110 และ ม.112 เข้าไปรวมยังไงได้บ้าง อันนี้เป็นก็อกสุดท้ายที่เราต้องสู้อีกรอบหนึ่ง”

ภัสราวลี ธนกิจวิบูลย์ผล

ท้ายที่สุด ไม่ว่าผลการโหวตจะเป็นอย่างที่หวังหรือไม่ ? สุดท้ายการนิรโทษกรรมไม่รวมคดี ม.110 และ ม.112 ก็ใช่ว่าจะหมดหวัง ถ้า “สิ่งที่ควรจะเป็นธรรม ยังไม่เป็นธรรม เราก็จะพยายามไปเรื่อย ๆ”

“ถ้าร่างนี้ไม่ได้เป็นอย่างที่หวัง (การนิรโทษกรรมไม่รวมคดี ม.110 และ ม.112) คิดว่าเราก็ยื่นใหม่ ยื่นจนกว่ามันจะได้ มันไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่คนโดนคดี ม.110 และ ม.112 ถึงไม่รวมนิรโทษฯ มันเป็นคดีการเมืองชัดเจน มีเจตจำนงทางการเมือง และถูกใช้ปราบปรามทางการเมือง”

ภัสราวลี ธนกิจวิบูลย์ผล

บทส่งท้าย
เมื่อความหวัง ชีวิต และอิสรภาพ
ไม่ใช่ข้อต่อรองทางการเมืองของใคร

การนิรโทษกรรมไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เรายังคงต้องพูดถึงเรื่อย ๆ เพราะ สินา มองว่า ข้อเรียกร้องยังไม่ถูกตอบรับ และยังไม่เห็นแนวโน้มว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง แต่ไม่ได้แปลว่าเราจะหยุดสู้ ซึ่งในอนาคตจะมีกิจกรรมเช่นนี้อีกแน่นอน

“สิ่งที่เราต่อสู้ยังคงต้องต่อสู้ต่อไป เพียงแต่วิธีการอาจใช้วิธีการเดิม ๆ ไม่ได้ มันก็อาจจะต้องพลิกแพลง หาวิธีการสื่อสารใหม่ ๆ เพื่อไปต่อ”

สินา วิทยวิโรจน์

เช่นเดียวกัน มายด์ ก็เห็นด้วยว่า “พวกเราเองก็ยังไม่หยุดตั้งความหวัง ว่าเพื่อนของเราต้องได้รับการประกันตัวออกมาด้วย” และทิ้งท้ายบทสนทนาอย่างมีความหวัง พร้อมทั้งเชื่อว่า “พลังของการเห็นด้วยของคนในสังคมจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ” เพราะพวกเขาต่างเห็นแล้วว่า ความอยุติธรรมมันรุนแรงขนาดไหน และในวันหนึ่งมันอาจจะมาตกกับคนใกล้ตัวเขาก็ได้ ไม่ใช่แค่คนที่เขาออกมาพูดอย่างเดียว จึงฝากข้อความไปถึง สส. และ สว. ในรัฐสภา ว่า กฎหมายนิรโทษกรรมมีชีวิตของผู้คนอยู่นั้น ไม่ได้เป็นเพียงข้อต่อรองทางการเมือง

“อยากให้เขา (คนในสภาฯ) พึงระลึกไว้เสมอว่า เรื่องนี้มันเป็นเรื่องของชีวิตความเป็นอยู่ อิสรภาพ เสรีภาพของคนธรรมดาจริง ๆ ที่มีส่วนได้ส่วนเสียกับเรื่องนี้ เพราะฉะนั้น คนในสภาฯ ไม่ควรมองเรื่องนี้เป็นเพียงแค่ข้อต่อรองทางการเมือง ขอให้มองเรื่องนี้เป็นเรื่องของการช่วยชีวิตจิตใจของคน ให้เขาได้ออกมาใช้ชีวิตอย่างนั้นดีกว่า” 

ภัสราวลี ธนกิจวิบูลย์ผล ฝากทิ้งท้าย

อ้างอิง

Author

Alternative Text
AUTHOR

ธนธร จิรรุจิเรข

สงสัยว่าตัวเองอยากเป็นนักวิเคราะห์ data ที่เขียนได้นิดหน่อย หรือนักเขียนที่วิเคราะห์ data ได้นิดหน่อยกันแน่

Alternative Text
PHOTOGRAPHER

ชญาดา จิรกิตติถาวร

เปรี้ยว ซ่า น่ารัก ไม่กินผัก ไม่กินเผ็ด