เมื่อความเหลื่อมล้ำทำให้เป็นหนี้ เก็บออมอีกกี่ปีจึงจะมีเงินเกษียณ ?

เราได้เห็นเทรนด์ของหนุ่มสาวจำนวนมาก เร่งทำงานหนักเก็บเงิน เพื่อที่จะได้เกษียณให้เร็วที่สุดและได้ออกมาใช้ชีวิตตามฝัน แต่หลายครั้งไม่เป็นดังใจ เมื่อรายได้สวนทางค่าครองชีพ เงินเก็บแทบไม่มี แถมมาพร้อมหนี้สินรุงรัง แค่คิดถึงวันนี้ยังปวดใจ จะทำยังไงกับเงินเตรียมเกษียณ

พอคิดถึงการวางแผนทางการเงินก็ไม่รู้ต้องทำยังไง ศึกษาการลงทุนก็เป็นเรื่องใหม่ที่ไม่คุ้นเคย

The Active ชวนเริ่มต้นวางแผนการเงินกันใหม่ ไปกับ ดิว – ธิษณา ธิติศักดิ์สกุล แห่ง โนบูโร แพลตฟอร์ม จำกัด แพลตฟอร์มที่ให้ความรู้เรื่องการเงินแก่คนไทย ตั้งแต่วัยเด็กยันเกษียณ ด้วยความเชื่อที่ว่า หากชีวิตของเรามีการวางแผนทางการเงินที่ดี ใคร ๆ ก็สามารถไร้หนี้สิน มีเงินออม และเดินตามความฝันได้เสมอ

ทำไมคนเป็นหนี้ ? จุดเปราะบางบนสมการแห่งความเหลื่อมล้ำ

ก่อนคุยเรื่องเงินออมเตรียมเกษียณ เราขอพามาดูเรื่อง “หนี้สิน” กันก่อน 

เพราะปัญหาของมนุษย์เงินเดือนส่วนนหนึ่ง คือ การใช้จ่ายเงินที่ไม่สมดุลกับรายได้ “โดยไม่รู้ตัว” ท้ายที่สุด เจ้าของเงินกลับตกอยู่ในวงจรแห่งหนี้ และก้าวไปไม่ถึงการมีเงินออมเสียที

ดิว – ธิษณา ธิติศักดิ์สกุล แห่ง โนบูโร แพลตฟอร์ม จำกัด เล่าให้เราฟังว่า จุดเริ่มต้นในความสนใจเรื่องการแก้ปัญหาทางการเงินของเธอไม่ใช่ความพยายามในการหาเงินให้ได้มาก แต่คือการพยายามแก้ปัญหา “ความเหลื่อมล้ำ” ต่างหาก แต่หากถอดสมการออกมาแล้ว “หนี้สิน” ก็เป็นตัวแปรหนึ่งในนั้น

“ตอนนั้นเราเริ่มกลับมาทำธุรกิจที่บ้านใหม่ ๆ  เราเห็นพนักงงานมีบัตรเครดิตกันเป็นสิบใบ แต่กลับไม่มีใครมีเงินเก็บเลยด้วยซ้ำ ที่น่าจะไม่ต่างจากคนไทยส่วนใหญ่ที่อยู่ในวงจรหนี้ไม่รู้จบ ซึ่งทั้งหมดมาจากความเหลื่อมล้ำ

ดิว – ธิษณา ธิติศักดิ์สกุล
โนบูโร แพลตฟอร์ม จำกัด

“ในบ้านเรา คนรวยก็รวยพันล้าน แต่คนจนก็แทบไม่มีเงิน แถมยังอยู่ในระดับติดลบ และเต็มไปด้วยหนี้ โดยเฉพาะหนุ่มสาวโรงงาน”

เธอบอกกับเราว่า หากนึกไม่ออกว่าตอนนี้ในบ้านเรามีหนุ่มสาวที่กำลังเป็นหนี้เยอะขนาดไหน ให้ลองเดินเข้าไปในโรงงานสักแห่ง ไม่ต้องกลัวเลยว่าจะเดินไม่ชนคนเป็นหนี้ ต่างกันแค่ระดับความเป็นหนี้เท่านั้น แถมตามตัวเลขสถิติของเครดิตบูโรยังยืนยันว่า คนรุ่นใหม่เป็นหนี้เร็วขึ้นมาก และยังกลายเป็นหนี้เสียมากขึ้นด้วย

แต่ทำไมคนถึงเป็นหนี้ ?

ธิษณา เล่าว่า จากประสบการณ์การทำงานของโนบูโรแล้ว พบว่า รูปแบบของการเป็นหนี้มี 3 แบบ ได้แก่ ในระบบนอกระบบ และค้างชำระ

หากมองถึงสาเหตุในเชิงตัวเลข แรงงานส่วนใหญ่จะสามารถเข้าถึงการกู้เงินได้ง่าย แต่กลับขาดวางแผนการจ่ายชำระ

หรือกู้โดยไม่รู้ว่าตัวเองจ่ายคืนได้ไหวจริงไหม จากนั้นจะเลือกที่จะแก้ปัญหาโดยการจ่ายขั้นต่ำไปเรื่อย ๆ  เพราะการจ่ายเต็มจำนวนเกินความสามารถตัวเอง

“บางคนบ้านอยู่ต่างจังหวัด กลับบ้านครั้งหนึ่งก็อยากดูมีหน้ามีตาเลยยอมซื้อรถ ทั้งที่ใช้เฉพาะขับกลับบ้านปีละ 2-3 ครั้งเท่านั้น พอซื้อรถมาก็เริ่มจ่ายในระบบไม่ไหว ทางเลือกต่อไปคือ การค้างชำระ หรือการกู้เงินนอกระบบ”

สาเหตุที่หลายคนยอมที่จะไปกู้เงินนอกระบบแทนการค้างชำระ เพราะหากปล่อยให้ตัวเองค้างชำระไปเรื่อย ๆ ท้ายที่สุดจะเสียเครดิตในระบบสถาบันทางการเงิน โดนทวงถามหนี้ อาจโดนจดหมายฟ้องร้องขึ้นศาล หรืออาจโดนศาลสั่งอายัติยึดทรัพย์ได้

หลายครั้งมักเริ่มจากการกู้ยืมเพื่อนหรือคนรอบตัวก่อน พอหายืมหมดจนไม่เหลือแล้ว ก็กลายเป็นวิ่งหาเจ้าหนี้นอกระบบที่คิดดอกเบี้ยมหาโหด

เมื่อไทยเคยมี “นโยบายกระตุ้นหนี้สิน”

ธิษณา อธิบายว่า สาเหตุหนึ่งที่คนไทยเป็นหนี้เพราะเศรษฐกิจไทยตอนนี้ ค่าครองชีพสูงขึ้นเรื่อย ๆ แต่รายได้ไม่โตตาม และเกิดค่าเงินเฟ้อ

แต่อีกสาเหตุหนึ่ง อาจต้องย้อนกลับไปมองนโยบายของรัฐเมื่อราว 10 ปีก่อน ที่หลายนโยบาย กลับกระตุ้นให้คนเป็นหนี้ ไม่ว่าจะเป็นการขาดมาตรการควบคุมการใช้บัตรเครดิต หรือแม้กระทั่งนโยบายรถคันแรก

“ย้อนไปเกือบสิบปีก่อน เราจะเห็นเซลล์บัตรเครดิตมาเดินตามออฟฟิศ เชิญชวนให้ทำบัตรเคดิตใช่ไหม เซลล์คนหนึ่งเป็นตัวแทนให้แทบทุกธนาคารเลย เชิญชวนด้วยกระเป๋าบ้าง ตุ๊กตาบ้าง ตอนนั้นพนักงานคนนึงทำบัตรเครดิตพร้อมกันเป็นสิบใบ พอมีบัตรกดเงินสดอยู่กับตัว คนก็เผลอใช้มัน สุดท้ายก็เป็นหนี้โดยไม่รู้ตัว

“อีกนโยบายหนึ่ง คือ นโยบายรถคันแรก หลายคนอยากใช้สิทธิเพราะรู้สึกว่าคุ้มค่า แต่สุดท้ายก็ผ่อนไม่ไหว กลายเป็นกระตุ้นการก่อหนี้แทน” ธิษณาอธิบาย

และนี้เองที่ทำให้ไม่เกิดเงินเก็บ เพราะพอมีรายได้เข้ามา ก็ต้องเอาไปจ่ายหนี้ก่อน รวมถึงธรรมเนียมคนไทยที่มีความกตัญญู ต้องส่งเงินกลับบ้านต่างจังหวัด พอฉุกเฉินก็กู้อีก สุดท้ายกลายเป็นกับดักหนี้ไม่รู้จบ โดยเฉพาะในกลุ่มเกษตรกร ที่เคยชินกับการกู้ธกส. หรือนโยบายกองทุนหมู่บ้าน เหล่านี้ล้วนเป็นนโยบายทางการเงินของรัฐที่ผลักดันให้คนเป็นหนี้ โดยที่ไม่หาความรู้ก่อน

แม้กระทั่งนโยบายการพักชำระหนี้โดยไม่ต้องจ่ายดอก ที่ทำให้คนที่จ่ายหนี้ดีมาตลอดต้ังคำถามว่าจะทำตัวเป็นลูกหนี้ที่วินัยดีไปทำไม ในเมื่อให้สิทธิพิเศษสำหรับคนหนี้เสีย

“นโยบายเหล่านี้ ไม่ใช่ว่าไม่ดี แต่มันเป็นเหมือนดาบสองคม ทำให้คนมองสั้น ไม่คิดวางแผนการเงินระยะยาว และเคยชินกับการรอคอยความช่วยเหลือ 

จากจุดเริ่มต้นนี้เองที่ ธิษณา เชื่อว่า ไม่จำเป็นต้องให้ทุกคนร่ำรวยมีเงินหลายล้านก็ได้ แต่ขอให้หลุดพ้นจากหนี้สิน และมีเงินเก็บมากพอที่จะทำตามความฝันด้วย ซึ่งแก้ไขได้ด้วยการบริหารจัดการทางการเงิน เมื่อค่อย ๆ แก้หนี้ได้ก็สามารถทะยอยเก็บออมเงินไปได้เรื่อย ๆ ด้วย

วงจรแห่งหนี้ – ชวนค้นหาสิ่งที่อยู่ใต้ภูเขาน้ำแข็ง

หากถามว่าจะแก้หนี้ได้อย่างไร คำตอบง่าย ๆ คงเป็นการให้ความรู้และปรับเปลี่ยนพฤติกรรม แต่ธิษณา บอกเราว่า มันอาจไม่ได้ง่ายเพียงนั้น เพราะพฤติกรรมการใช้เงินและปัญหาที่เราเห็น เป็นเพียงสิ่งที่อยู่บนยอดภูเขาน้ำแข็งเท่านั้น ยังมีสิ่งสำคัญอีกหลายอย่างที่ซ่อนอยู่ใต้นั้น

“สิ่งที่ซ่อนอยู่ภายใต้พฤติกรรมมีอีกหลายอย่าง ทั้งความคิด ความรู้สึก ความต้องการ ความเชื่อ และความกลัว ที่หล่อหลอมเราไว้ และส่งผลให้เราแสดงออกถึงพฤติกรรมเหล่านั้น”

ฉะนั้นแล้ว การจะแก้ปัญหาหนี้ได้ ต้องฟังและเข้าใจเพื่อหาสาเหตุที่แท้จริง นอกจากนี้ หากวิเคราะห์ถึงปัญหาเชิงพฤติกรรมแล้ว ต้นเหตุแห่งปัญหาหนี้สิน หนีไม่พ้น 3 เรื่อง คือ ความรัก ความโลภ และความไม่รู้

“ทั้งหมดนี้ คือ ความหวาดกลัวในใจมนุษย์ บางคนเป็นหนี้เพราะความกตัญญู อยากให้พ่อแม่สบาย บางคนเป็นหนี้เพราะอยากให้ลูกมีอนาคตที่ดี หรือบางคนรักเพื่อน จึงยอมค้ำประกันด้วยความไม่รู้ ยังไม่นับรวมถึงการเล่นพนันออนไลน์ที่ทำให้ได้เงินง่ายเหลือเชื่อ” ธิษณา อธิบาย

เพราะบางคนถูกพึ่งพาโดยครอบครัวมาก แต่ก็ต้องยอมเพราะถือคุณค่าเรื่องความกตัญญู บางคนชอบซื้อของตอนเครียด ทั้งหมดนี้ ขอให้ลองย้อนกลับมาดูว่า มันเกิดอะไรขึ้นภายในชุดคุณค่าและความเชื่อของเรา หากแก้ชุดความเชื่อนี้ได้ จะแก้ไขปัญหาได้ถาวร

และสิ่งแรกที่จะหลุดจากวังวนหนี้ได้นั้น คือการหลุดจากชุดความเชื่อเดิม และมองเห็นความเป็นไปได้

ธิษณา อธิบายว่า บางคนที่เป็นหนี้หนัก เหมือนเขาตกอยู่ในหลุมดำของทัศนคติทางการเงิน คิดว่าไม่มีทางหลุดจากหนี้ได้จนเกษียณ แต่การพยายามช่วยแก้หนี้นั้น เราจะทำให้เขาหันกลับมามองว่า ความฝันตัวเองคืออะไร และทำไมเขาไปถึงความฝันไม่ได้เสียที 

และการสร้างพื้นที่ปลอดภัย ได้คุยเรื่องหนี้อย่างตรงไปตรงมา จะทำให้รู้ว่าจะแก้หนี้ไปเพื่ออะไร และแผนการแบบไหนจะพาเขาไปถึงฝันแบบนั้น

“เมื่อเขารู้แล้วว่าที่นี่ปลอดภัย การพูดเรื่องหนี้ไม่ใช่เรื่องน่าอาย มันจะทำให้เขาเห็นวิธีที่เหมือนแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์  ขึ้นตอนนี้เราเรียกว่า ‘ฝึกฝัน’ หรือให้มีภาพในระยะยาว เมื่อคนเห็นภาพนี้แล้ว จะไม่มีใครอยากกลับมาอยู่ในลูปเดิมอีกต่อไป”

เป็นหนี้ก็มีเงินออมได้

ในยุคเศรษฐกิจแบบนี้ หนุ่มสาวหลายคนคงโอดครวญ แค่ลำพังใช้จ่ายประจำวันยังไม่พอ จะมาขอให้ออมเตรียมเกษียณได้อย่างไร แต่ ธิษณา ยืนยันว่า ทุกอย่างเป็นไปได้ หากมีการวางแผนทางการเงินที่ดี

“บริบทของแต่ละคนต่างกัน บางคนเป็นเฟิร์สจ็อบเบอร์ บางคนเป็นเดอะแบก เราอาจพูดได้ไม่เต็มปากหรอกว่าจะอยู่ได้โดยไม่มีหนี้ แต่เราเชื่อว่ามันออกแบบไลฟ์สไตล์ให้เหมาะสมกับตัวเองได้”

หากไม่รู้จะวางแผนอย่างไร จุดเริ่มต้นง่ายที่สุด คือ “จดรายรับ-รายจ่าย” 

“พอเราจดรายรับรายจ่าย จะทำให้เริ่มกลับมาถามตัวเองแล้ว ว่าบางอย่าง จำเป็นต้องมีตอนนี้จริง ๆ ไหม หรือแท้จริงแล้ว ปัญหาเราเกิดจากอะไร และยังเป็นแรงจูงใจให้ฮึดสู้ในการจัดการหนี้ได้ด้วย”

หลายรายคิดว่าต้องจ่ายหนี้ด้วย แล้วยังต้องออมเงินไปด้วย มันจะได้สักเท่าไหร่กันเชียว แต่ธิษณา เล่าว่า จุดเริ่มต้นเล็ก ๆ จากการสะสมเงินที่เหลือกจากการแก้หนี้เพียงเล็กน้อยเท่านี้ นานวันไปจะเริ่มพอกพูน และกลายเป็นความภาคภูมิใจในที่สุด

“พอเขาเริ่มเก็บเงินได้เป็นกอบเป็นกำ แม้จะเล็กน้อย แต่มันจะกลายความภาคภูมิใจ ว่าฉันเองก็ทำได้เหมือนกัน และพอเริ่มมีเงินเก็บ เขาจะไม่อยากเสียเงินให้เจ้าหนี้อีกแล้ว มันคือการปรับเปลี่ยนระดับมายเซตที่นำไปสู่การเปลี่ยนพฤติกรรม”

วางแผนการเงินอย่างไรดี ?

ขอพามารู้จักกับวิธีการวางแผนทางการเงินด้วย ความสุขทางการเงิน 4 ด้าน (Financial Well-being) แผนการที่จะพาไปคนไปถึงการจัดการหนี้ มีเงินเหลือออม และทำตามความฝัน 

อย่างไรก็ตาม ธิษณา แนะนำว่า วิธีที่ดีที่สุดหนึ่ง คือ การออมก่อนจ่าย

  1. Plan คือ การวางแผนทางการเงิน เช่น ดูบัญชีรายรับ-จ่าย ว่ามีค่าใช้จ่ายไหนที่ทำให้เรากลายเป็นหนี้ จากนั้นอุดรูรั่ว หรือมีหนี้อยู่แล้วหรือไม่ ถ้ามีต้องปลดหนี้ก่อน
  1. Spend คือ การจัดการรายรับรายจ่าย ไม่ให้เกินตัว หากพบปัญหาในขั้นตอนนี้ ต้องกลับไปดูที่ชุดความเชื่อใต้ภูเขาน้ำแข็งของเราอีกครั้ง
  1. Borrow คือ การจัดการรายจ่าย หนี้สิน สามารถทำควบคู่ไปกับ spend ได้เลย
  1. Save คือ การออก ซึ่งอาจแบ่งเป็น 3 กระปุก (หรือจะกี่กระปุกก็ได้ตามแต่บริบทชีวิตของเรา)
  • กระปุกที่ 1 = กระปุกฉุกเฉิน อาจเก็บไว้ในบัญชีเงินฝากทั่วไปก็ได้ โดยขอให้ถอนออกมาใช้ได้ง่าย ในจำนวน 3-6 เท่าของรายจ่ายประจำเดือน
  • กระปุกที่ 2 = กระปุกป้องกันความเสี่ยง สำหรับเงินประกันและวางแผนความเสี่ยง
  • กระปุกที่ 3 = กระปุกเกษียณ กระปุกนี้อาจต้องใช้ระยะเวลายาวนาน หากวันนี้ยังออมได้ไม่เต็มกระปุกเสียทีก็ไม่ต้องตกใจ ขอให้รู้ว่าเรากำลังอยู่บนเส้นทางที่วางแผนไว้ก็เพียงพอ

“เหมือนเราวางแผนว่าจะเดินทางไปเชียงใหม่ มันไกลใช่ไหม เราไปถึงทันทีไม่ได้หรอก แค่ขอให้รู้ว่าเรากำลังขับรถไปถูกเส้นทาง ค่อย ๆ เดินทางไปทีละ 1 กม. แล้วเดินทางไปข้างหน้าอย่างสม่ำเสมอก็พอ” ธิษณา ยกตัวอย่าง

อย่างน้อยที่สุด ขอให้วางแผน 3 กระปุกนี้ให้นิ่งเสียก่อน จากนั้นจะเพิ่มกระปุกใด ๆ เพิ่มก็ตามแต่ความฝันของเราเลย เช่น ซื้อบ้าน เที่ยวรอบโลก ทำธุรกิจ ซึ่งแต่ละกระปุก ขอให้หาที่ลงทุนทีต่อให้ผลตอบแทนต่างกันตามการใช้เงิน และอย่าลืมตั้งเป้าว่า ความฝันนี้ควรใช้เวลากี่ปี

“สิ่งสำคัญที่สุดในการเริ่มวางแผนทางการเงิน คือ รู้ว่าปัจจุบันเราอยู่ตรงไหน และความฝันคืออะไร ทุกคนมีความฝันได้ แต่ต้องอยู่บนพื้นฐานแห่งความเป็นจริง ระหว่างทางนั้น ค้นหาให้ได้ ว่าอะไรที่ขวางกั้นเราไว้ ไม่ว่าจะคือชุดความคิด ความเชื่อ ความกลัว จากนั้นทลายมันลงไป เราเชื่อว่า ถ้าเขามีฝันแล้วเติมเต็มได้ เขาจะส่งต่อให้คนอื่นได้ด้วย” ธิษณา อธิบาย

ถ้าอยู่ในประเทศรัฐสวัสดิการที่ดี ขอไม่ต้องมีความรู้การเงินได้ไหม ?

ปัญหาหนึ่งของคนในสังคมไทย คือ ขาดความรู้เรื่องการจัดการเงินและการลงทุน กลายเป็นสิ่งที่ต้องศึกษากันเองนอกห้องเรียนตามความสนใจ หากถามว่าสิ่งนี้จำเป็นหรือไม่ แล้วในประเทศที่มีรัฐสวัสดิการดีพอ ประชาชนยังจำเป็นต้องมีความรู้เรื่องการเงินไหม ?

ธิษณา อธิบายว่า ในหลายประเทศทั่วโลกที่มีรัฐสวัสดิการที่ดี ก็มีการเรียนการสอนเรื่องการวางแผนทางการเงินให้กับทุกคนตั้งแต่วัยเรียนด้วย

“ไม่ได้แปลว่าถ้าเราอยู่ในประเทศที่รัฐสวัสดิการดี ๆ แล้วเราจะไม่จำเป็นต้องสนใจเรื่องพวกนี้นะ แต่ในทางกลับกันมมันต้องเกิดควบคู่กันไป แม้จะอยู่ในบ้านเมืองที่มี social safety net ก็จริง แต่หากไม่วางแผนการเงิน ก็จะลงทุนผิดที่ใช้เงินสุรุ่ยสุร่าย และเกิดหนี้ในที่สุด

“ในเยอรมัน มีการเรียนการสอนเรื่องนี้ตั้งแต่ในวัยเรียน มีหนังสือที่สอนเรื่องการออมเงิน และวางแผนการลงทุนให้ถูกที่สำหรับเด็กโดยเฉพาะ 

“หรือในญี่ปุ่น แต่ละบ้านจะมี ‘คะเคโบะ’ (kakeibo)  หรือ บัญชีครัวเรือน ที่ทุกบ้านต้องทำไว้และเอาไว้สอนลูกหลานตั้งแต่เด็ก จนกลายเป็นค่านิยมที่ปลูกฝังเรื่องการเป็นหนี้สินด้วย”

อย่างไรก็ตาม ธิษณา อธิบายว่า คนส่วนใหญ่ไม่มีเวลาในการหาความรู้ทางการเงิน ก็เลือกที่จะเก็บออมไว้เฉย ๆ ซึ่งทำให้ขาดโอกาสให้เงินทำงาน ทางที่ดีควรหาความรู้ไว้บ้าง หรือใช้บริการผู้เชี่ยวชาญช่วยวางแผนการเงินให้จะดีที่สุด

“ตอนนี้บ้านเรามีอาชีพนักวางแผนทางการเงินค่อนข้างเยอะ แต่คนไทยไม่คุ้นเคย และคิดว่าการต้องจ่ายเงินให้คนมาทำแผนทางการเงิน หรือดูแลการลงทุนให้เราเป็นเรื่องที่ทำใจลำบาก แต่แท้จริงแล้วเป็นเหมือนการจ้างงานให้ผู้เชี่ยวชาญมาช่วยดูแล จากนั้นเราเพียงแค่เดินตามแผน อัปเดทชีวิตทุกปีเท่านั้น” ธิษณา อธิบาย 

ท้ายที่สุดแล้ว

ปัญหาในบ้านเราคือ การที่คนไทยขาดความรู้เรื่องการเงินพื้นฐาน ซึ่งเป็นสิ่งที่ในหลายประเทศทั่วโลกพยายามปลูกฝังทั้งในหลักสูตรการศึกษาและค่านิยม ในขณะที่ประเทศไทยกลับกลายเป็นความสนใจส่วนบุคคล ที่เมื่อคิดจะวางแผนเตรียมเกษียณก็สายเสียแล้ว

ฉะนั้นแล้ว ไม่ว่าคุณจะอายุเท่าไหร่ ยิ่งเริ่มวางแผนได้เร็วเท่าไหร่ยิ่งดี เพราะมันจะช่วยให้คุณได้ใช้ชีวิตอย่างมั่นคง ปลอดภัย ความเสี่ยงต่ำ และยังเดินตามความฝันของตัวเองได้แม้ในวัยเกษียณอีกด้วย

Author

Alternative Text
AUTHOR

ปุณยอาภา ศรีคิรินทร์

บุญคุณต้องทดแทน มนต์แคนต้องแก่นคูน