The Active ชวนคุยสาวน้อยนักทวงถามหนี้ ที่วันหนึ่งเธอเคยกลายเป็นหนี้บัตรเครดิตเสียเอง ประสบการณ์หนี้ครั้งนั้นทำให้เธอเลือกที่จะหันกับมาวางแผนทางการเงินเสียใหม่ ค่อย ๆ ปลดหนี้ทีละใบจนสำเร็จภายในระยะเวลาเพียงไม่กี่ปี และยังมีเงินออมเหลือวางแผนไว้ใช้ในวัยเกษียณด้วย
นี่คือเรื่องราวของ ปุ๋ย – กนกพร สิงห์งาม หญิงสาววัย 35 ปี อาชีพพนักงานติดตามหนี้สิน (collector) ที่เธอเล่าว่าตัวเองเคยติดหนี้บัตรเครดิตกว่า 2 แสนบาท
“เราเป็นคนอยุธยา หลังเรียนจบก็เข้ามาทำงานกรุงเทพฯ ด้วยแสงสีของกทม. เราก็เริ่มหลงใหล ติดเที่ยว ติดเพื่อน ออกเที่ยวกลางคืนแทบทุกอาทิตย์ เงินเดือนที่ได้มาก็ละลายไปกับร้านเหล้าหมด พอเงินเริ่มใช้ไม่พอ ก็เข้าสู่วงจรการเปิดบัตรเครดิต”
ปุ๋ย เล่าให้ฟังถึงจุดเริ่มต้นของการมีหนี้บัตรเครดิตครั้งแรกในวัยเพียง 20 ปี

“ตอนนั้นเราเห็นเพื่อนมีบัตรเครดิต เราเลยลองไปสมัครบ้าง พอมีใบแรก ก็อยากมีอีก จากนั้นบัตรเครดิตใบที่สอง ใบที่สาม เลยตามมาแบบไม่รู้ตัว”
แต่เนื่องจากเริ่มชักหน้าไม่ถึงหลัง การจ่ายหนี้บัตรเครดิต จึงเป็นการชำระแบบขั้นต่ำทั้งหมด เวลาผ่านไปเพียงแค่ 2-3 ปี เธอมีหนี้บัตรเครดิตสะสมถึง 2 แสนบาท
ปุ๋ยเล่าว่า ช่วงเวลานั้นเอง ความเครียดก็เริ่มสะสม ทำงานหาเงินมาเท่าไหร่ แต่อยากได้อะไรก็ซื้อไม่ได้ เพราะเงินที่หามาได้ก็ต้องเอามาจ่ายหนี้บัตรเครดิตหมด จนวันหนึ่งเรารู้สึกไม่ไหวแล้ว แต่ก็ไม่อยากให้เป็นหนี้เสีย จึงเลือกที่จะวางแผนทางการเงินใหม่ เลยเริ่มจากการปลดหนี้บัตรเครดิตให้หมดให้ได้
วางแผนสะสางหนี้อย่างมีวินัย
ตอนนั้น ปุ๋ยมีหนี้จากบัตรเครดิตถึง 3 ใบ ที่นอกจากจะสร้างความกดดันในตัวเองแล้ว ยังเกิดแรงกดดันจากครอบครัวด้วย
“วันหนึ่ง มีเอกสารทวงถามหนี้ส่งไปที่บ้าน ครอบครัวเราไม่สบายใจนัก สิ่งนี้มันกดดันเราขึ้นไปอีก ว่ายังไงก็ต้องจัดการเรื่องนี้เองให้ได้ ไม่เช่นนั้น ปัญหาครอบครัวอาจตามมาอีกทาง”
เธอคิดถึงวิธีการในการจัดการหนี้บัตรเครดิต และเชื่อว่าการปล่อยให้เป็นหนี้เสีย ไม่น่าจะเป็นผลดี
“เราจ่ายไม่ไหวอีกแล้ว ใจหนึ่งก็อยากปล่อยไปเลย แต่ก็กลัวว่าจะกลายเป็นหนี้เสีย กลัวโดนฟ้อง กลัวเสียประวัติ เราเริ่มหาข้อมูลจากกลุ่มโซเชียลมีเดีย และเพื่อน ๆ เรื่องเงื่อนไขของบัตรเครดิตแต่ละตัว”
ปุ๋ยเล่าว่า บัตรเครดิตแต่ละตัวจะมีรายละเอียดและเงื่อนไขหลายอย่าง ที่ก่อนหน้านั้นเธออาจไม่ได้ให้ความสำคัญนัก แต่เมื่อตั้งใจจะปลดหนี้ให้ได้ จึงเริ่มศึกษาละเอียดขึ้น โดยเฉพาะระยะเวลาการค้างชำระก่อนที่ธนาคารจะฟ้อง
เธอเลือกที่จะปล่อยบัตรไปก่อน 1 ใบ แล้วเก็บเงินที่ต้องชำระบัตรใบนั้นไว้ก่อน ให้อยู่ในระยะเวลาที่บัตรใบนั้นกำหนด จังหวะดีที่เธอได้รับข้อเสนอส่วนลด ซึ่งเป็นจำนวนเงินที่เธอพอจะจ่ายไหว จึงนำเงินที่เก็บไว้ ไปชำระหนี้ และปิดหนี้บัตรเครดิตนั้นได้ในที่สุด
“พอแก้หนี้บัตรเครดิตใบแรกไปได้ เราก็เริ่มใจสู้ เริ่มมั่นใจในตัวเองแล้วว่า จริง ๆ เราก็ทำได้นะ ใบต่อ ๆ ไปทำไมจะทำไม่ได้”
ปุ๋ย ใช้วิธีเดียวกันนี้ ในการปิดหนี้บัตรเครดิต ใบที่สอง และใบที่สาม เธอเล่าว่าชีวิตประจำวันของเธอเปลี่ยนไปทั้งหมด ทั้งลดการเที่ยว ลดการกิน อะไรที่เป็นค่าใช้จ่ายฟุ่มเฟือยก็ตัดหมด แต่เธอกลับไม่ได้รู้สึกว่าสิ่งนี้มันคือความทุกข์ เนื่องจากวันนี้ mindset เรื่องการเงินของเธอได้เปลี่ยนไปแล้ว
และในระยะเวลาเพียง 2 ปี เธอก็สามารถปิดหนี้บัตรเครดิตทั้งหมดได้
“ช่วง 2 ปีนี้ เรารู้สึกเหนื่อยมาก อยากได้อะไรก็ต้องตัดใจ แข็งใจไว้ แต่ก็ไม่เคยท้อ คิดแต่ว่าต้องทำให้สำเร็จให้ได้ พอปิดได้ทั้งหมดแล้ว ความรู้สึกภูมิใจมันตามมา ว่าจากคนที่เคยเป็นหนี้ขนาดนี้ จริง ๆ เราก็เก็บเงินได้เหมือนกันนี่นา”
ตอนนี้วิกฤตหนี้ของเธอได้่ผ่านพ้นไปแล้ว พร้อมกับวินัยทางการเงินที่เปลี่ยนไปเช่นเดียวกับทัศนคติในการใช้เงิน และกลายเป็นคนที่คิดเรื่องการออม
เมื่อปุ๋ยดี ต้นไม้ก็ผลิบาน
การวางแผนทางการเงินเป็นเหมือนการลงทุนระยะยาว ทั้งลงแรง ลงใจ และการแสวงหาความรู้ เมื่อทำอย่างสม่ำเสมอและมีวินัย เงินทองก็จะงอกเงยผลิดอกออกผลได้ในที่สุด
ปุ๋ยเล่าว่า วันนี้ mindset เรื่องการเงินของเธอได้เปลี่ยนไปแล้ว หลังจากปลดหนี้ตัวเธอก็รู้สึกเบาสบาย เงินแต่ละก้อนในกระเป๋าตอนนี้ ขอเลือกที่จะใช้ให้คุ้มค่าที่สุด และเริ่มคิดถึงเรื่องวางแผนการออมและการลงทุนด้วย
“เราแน่วแน่แล้วว่าต่อไปนี้จะไม่ใช้เงินเละเทะอย่างที่ผ่านมาอีกแล้ว เราเริ่มซื้อสลากออมสินควบคู่ไปด้วย เริ่มเปิดบัญชีธนาคารแบบไม่มีบัตร ATM เพื่อเป็นบัญชีเงินเก็บโดยเฉพาะ และตั้งเป้าหมายไว้วว่าจะต้องซื้อทองปีละครั้งตามแต่กำลังที่ทำไหว เพื่อเป็นการลงทุนระยะยาวด้วย”
หากถามถึงแผนเกษียณในอนาตต ปุ๋ยเองก็มีความฝันเล็ก ๆ ที่พอถึงวันนั้น เงินที่เก็บออมสะสมไว้คงจะเพียงพอให้เธอชีวิตตามแบบที่ปรารถนาได้อย่างไม่ยากเย็นนัก
“คนเราไม่ได้แข็งแรงตลอดไป งานที่ทำอยู่ก็ไม่ได้แปลว่าจะอยู่กับเราตลอดไปเหมือนกัน วันหนึ่งหากถึงเวลาที่ต้องออกจากงาน เราหวังว่าเงินสำรองที่เราเก็บไว้ จะนำมาทำธุรกิจเล็ก ๆ ที่บ้าน และไม่ต้องเป็นลูกจ้างอีกต่อไปแล้ว
“หากถามว่าบทเรียนหนี้ก้อนโตนี้สอนอะไรเราบ้าง คงบอกได้แต่ว่า ถ้าย้อนกลับไปได้ เราคงไม่สมัครบัตรเครดิตแบบนั้นอีกแล้ว คงไม่มีคำว่าใช้เงินเกินตัวอีกแล้ว แต่จะใช้ชีวิตด้วยความพอดี เหมาะสมกับบริบทชีวิตเราจะดีที่สุด” ปุ๋ยทิ้งท้ายด้วยรอยยิ้ม