เรารับมือกับวิกฤตเศรษฐกิจอย่างไรได้บ้าง ?
ขณะที่ความเคลื่อนไหวทางการเมืองกำลังเข้มข้น ทั้งแรงกดดันที่มีต่อรัฐบาล และกระแสเรียกร้องร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ อีกด้านหนึ่ง ยังมีเรื่อง ปัญหาปากท้องของประชาชน ที่กำลังจ่ออยู่หน้าประตูทำเนียบรัฐบาล ทั้งค่าครองชีพที่พุ่งสูง ค่าเดินทาง บิลค่าไฟ และใบแจ้งหนี้
แม้วันนี้ข้อมูลตัวเลขจากทางการจะยังไม่ชี้ชัดว่า เศรษฐกิจไทยเดินมาถึงจุดที่เรียกว่าวิกฤตแล้วหรือไม่ แต่หากสอบถามความรู้สึกของคนที่อยู่รายรอบตัวเรา ต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันถึงความยากลำบากที่เพิ่มมากขึ้นในการประคองชีวิตให้อยู่รอดแต่ละวัน
นี่ไม่ใช่ปัญหาที่ประชาชนคิดไปเอง หรือรู้สึกไปเอง แต่เป็นภาวะบีบคั้นที่ทุกคนต่างก็สัมผัสได้ และไม่แน่ว่า วันหนึ่งปัญหาที่ถูกซุกไว้อาจปะทุขึ้นมาเหมือน “ระเบิดเวลา” ไม่ช้าก็เร็ว
เมื่อมาดูตัวเลขทางเศรษฐกิจที่แต่ละหน่วยงานเปิดเผยออกมาแต่ละครั้ง ทั้งผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP), การส่งออก-นำเข้า, อัตราเงินเฟ้อ, ภาวะการว่างงาน และสถานการณ์หนี้ครัวเรือน ดูเหมือนจะแยกกันออกเป็นส่วน ๆ จนบางครั้งอาจทำให้เรามองไม่เห็นช้างทั้งตัวที่อยู่ในห้อง
แต่หากลองต่อจิ๊กซอว์เหล่านี้เข้าด้วยกันแล้ว อาจช่วยให้เรามองเห็นภาพใหญ่ของปัญหาทั้งหมด เพื่อจะได้ยอมรับความจริง และพร้อมเผชิญกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในวันข้างหน้า
“วันนี้ถึงจุดวิกฤตพอสมควรแล้วที่เราจะต้องมาทบทวนการพัฒนาประเทศ”
รศ.สมประวิณ มันประเสริฐ นักเศรษฐศาสตร์มหภาค

รศ.สมประวิณ มันประเสริฐ นักเศรษฐศาสตร์มหภาค ชี้ให้เห็นถึงสถานการณ์ปัจจุบันของประเทศไทยที่กำลังเผชิญกับภาวะ “เศรษฐกิจติดหล่ม” หรือติดอยู่ในกับดักประเทศรายได้ปานกลาง คือ ไม่สามารถยกระดับไปสู่การเป็นประเทศที่มีรายได้สูง เห็นได้จากอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่อยู่ในระดับต่ำ การลงทุนชะลอตัว ภาคการผลิตขาดแรงขับเคลื่อน และกำลังซื้อภายในประเทศอ่อนแรงลงอย่างเห็นได้ชัด
ภาวะเช่นนี้สะท้อนถึงความสามารถในการแข่งขันของประเทศที่ลดลง ซึ่งหมายความว่า โอกาสในการสร้างรายได้ก็ลดลงตามมา ทั้งรายได้ของประเทศ รายได้ของผู้ประกอบการ ไปจนถึงตัวแรงงานเอง
ภาพรวมเศรษฐกิจไทยกระทบต่อปากท้องของประชาชนถึงขั้นไหนแล้ว ?
รศ.สมประวิณ อธิบายว่า ถ้าวิเคราะห์จากปัจจัยที่มีอยู่ จะเห็นถึงข้อมูลที่สวนทางกัน ระหว่างตัวเลขสถิติกับความรู้สึกของประชาชน เพราะในขณะที่รัฐบาลระบุถึงอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยังโตได้ 2–3% ต่อปี แต่ประชาชนจำนวนมากกลับรู้สึกว่าชีวิตแย่ลง
เหตุที่เป็นเช่นนี้ เพราะการคำนวณตัวเลข GDP นั้น เป็นการคิดจากค่าเฉลี่ยรายได้ของคนทั้งประเทศ ตั้งแต่คนที่รวยที่สุด ไปจนถึงคนที่จนที่สุด แต่เมื่อดูในรายละเอียดก็จะพบว่า ธุรกิจ SME ซึ่งมีมากกว่า 90% ของธุรกิจไทย มีรายได้เพียง 1 ใน 3 ของ GDP ขณะที่บริษัทขนาดใหญ่ที่มีอยู่ไม่เกิน 10% กลับสร้างรายได้กว่า 2 ใน 3 ของ GDP
ในแง่การกระจายรายได้ พบว่า กลุ่มครัวเรือนที่มีรายได้ต่ำ 10% ล่างสุด มีสัดส่วนรายได้เพียง 5.7% ของทั้งประเทศ ขณะที่กลุ่มที่มีฐานะดี 10% บนสุด ถือครองรายได้มากกว่า 52% ของทั้งประเทศ ซึ่งห่างกันมากกว่า 9 เท่า
เมื่อจำแนกข้อมูลออกมาเช่นนี้แล้ว จึงทำให้เห็นความจริงที่ซ่อนอยู่อีกชั้นหนึ่ง นั่นก็คือ ช่องว่างของรายได้ที่แตกต่างกันอย่างมหาศาล และถ่างกว้างออกจากกันมากขึ้นเรื่อย ๆ
จึงไม่แปลกที่แม้ตัวเลขค่าเฉลี่ยจะดูดีแค่ไหน แต่ก็ไม่สะท้อนความจริงที่คนส่วนใหญ่ต้องเผชิญ โดย รศ.สมประวิณ เรียกสิ่งนี้ว่า “โลกสองใบของเศรษฐกิจไทย”
“การที่มีปัญหาเชิงโครงสร้างแบบนี้ อาจจะทําให้ประเทศไทยติดกับดักที่เราเรียกว่า ศตวรรษที่สูญหาย (Lost Decades) ซึ่งท้ายที่สุดแล้วถ้าประเทศมีปัญหาแบบนี้ยาวไปมาก ๆ 10 ปี 20 ปี 30 ปี สุดท้ายมันไม่ใช่ปัญหาทางเศรษฐกิจ มันจะกลายเป็นปัญหาสังคม”
รศ.สมประวิณ มันประเสริฐ นักเศรษฐศาสตร์มหภาค



จับสัญญาณชีพ เศรษฐกิจไทยอ่อนแรง
รศ.สมประวิณ วิเคราะห์ต่อไปว่า ขณะนี้มีสัญญาณทางเศรษฐกิจ 3 ประการ ที่บ่งชี้ว่าประเทศไทยอาจไปไม่รอด หากไม่รีบปรับทิศทางเศรษฐกิจ ดังนี้
- ศักยภาพการเติบโตที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง หากเทียบกับในอดีต ประเทศไทยเคยมีอัตราเติบโตสูงถึง 9% ต่อปี แต่วันนี้ศักยภาพของเราเติบโตได้เพียง 2–3% ต่อปีเท่านั้น หรืออยู่ในภาวะที่เรียกว่า เศรษฐกิจตกต่ำ “ขั้นใกล้วิกฤต”
- สถานการณ์หนี้ครัวเรือนของไทย ตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา ไต่อยู่ที่ระดับ 80-90% ของ GDP หรือคิดเป็นมูลค่าประมาณ 16 ล้านล้านบาท ซึ่งสูงสุดในบรรดาประเทศอาเซียน สถานการณ์นี้สะท้อนให้เห็นว่าเศรษฐกิจไทยเปราะบางมากขึ้น เปรียบเหมือนคนที่ร่างกายอ่อนแอ มีโอกาสเสี่ยงติดโรคได้ง่าย และคนที่เป็นหนี้ส่วนใหญ่ ก็คือแรงงานฐานรากของประเทศ
- ความเหลื่อมล้ำ หากพิจารณาจากดัชนี Gini ซึ่งเป็นเครื่องมือวัดความไม่เท่าเทียมทางเศรษฐกิจระดับสากล จะพบว่าความเหลื่อมล้ำของไทยสูงที่สุดในภูมิภาค คนรวย 10% บนสุด ถือครองรายได้เกินครึ่งหนึ่งของประเทศ ขณะที่กลุ่มล่างสุดแทบไม่มีโอกาสเลื่อนชั้นทางเศรษฐกิจ หรือติดอยู่อยู่ใน “วงจรความจนข้ามรุ่น” ยิ่งกว่านั้น ยังส่งต่อความจนไปถึงทายาทรุ่นถัดไป ตราบใดที่ไม่ได้รับโอกาสที่เท่าเทียม
“เราสนใจว่า ประชาชนสามารถเลื่อนชนชั้นทางสังคมได้ไหม หรือ Social Mobility ถ้าประเทศดี หรือโครงสร้างเศรษฐกิจดี ต้องให้โอกาสในการที่เขาสามารถเลื่อนชั้นได้ เกิดมามีปัญหา เกิดมายากลําบาก ไม่เป็นไร แต่สุดท้ายแล้วเราต้องให้โอกาสเขาในการเลื่อนชั้น”
“งานศึกษาบอกว่าคนไทยถ้าเกิดมาอยู่ชั้นล่าง มีโอกาสติดอยู่ในชั้นเดิม 65% แปลว่าถ้าท่านเกิดมาจน ท่านเกิดมาลําบาก ท่านต้องไปหวังเอาชาติหน้า”
รศ.สมประวิณ มันประเสริฐ นักเศรษฐศาสตร์มหภาค
ถึงจุดไหนที่จะเรียกว่าวิกฤต ?
คำตอบของ รศ.สมประวิณ ระบุว่า เมื่อระบบเศรษฐกิจไม่สามารถฟื้นตัวเองได้อีกต่อไป เช่น ครัวเรือนจำนวนมากผิดนัดชำระหนี้พร้อม ๆ กัน ธุรกิจ SME ปิดกิจการเป็นวงกว้าง หรือนักลงทุนต่างชาติเทขายสินทรัพย์เพราะไม่มั่นใจ ซึ่งทั้งหมดนี้ไม่ใช่เรื่องไกลตัว หากเรายังปล่อยให้เศรษฐกิจโตแบบรวยกระจุกและเปราะบาง
“คําว่าวิกฤตคืออะไร นักเศรษฐศาสตร์ก็บอกว่ามันเกิดขึ้นเมื่อระบบเศรษฐกิจไม่สามารถฟื้นตัวได้เอง ต้องมีกลไกมาช่วย Harry S. Truman ประธานาธิบดีเก่าของอเมริกา เคยพูดขํา ๆ เอาไว้ว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่เศรษฐกิจถดถอย เมื่อนั้นคุณจะเห็นเพื่อนคุณตกงาน แต่ถ้าเกิดเศรษฐกิจตกต่ำขั้นวิกฤต วันนั้นคือคุณตกงานเอง”
รศ.สมประวิณ มันประเสริฐ นักเศรษฐศาสตร์มหภาค

หากลองไล่เลียงรายละเอียดในแต่ละประเด็นที่เกี่ยวข้อง เพื่อจะขยายภาพให้เห็นชัดเจนขึ้นว่า ชีพจรเศรษฐกิจไทย ณ ขณะนี้น่าเป็นห่วงแค่ไหน
เริ่มจากสถานการณ์การเงิน เมื่อวันที่ 19 ส.ค. 2568 ธนาคารแห่งประเทศไทย (แบงก์ชาติ) แถลงภาพรวมธนาคารพาณิชย์ ไตรมาส 2 ระบุว่า “หนี้เสีย (NPL)” อยู่ที่ 2.91% เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน และอาจมีแนวโน้มเพิ่มจากผลกระทบมาตรการกำแพงภาษีของสหรัฐขณะที่สินเชื่อธุรกิจ SME หดตัวต่อเนื่อง และหดตัวในทุกเซ็กเตอร์ เนื่องจากธุรกิจไม่ฟื้นตัว ไม่ต่างจากสินเชื่อเพื่อการอุปโภคบริโภค ทั้งการเช่าซื้อรถยนต์ สินเชื่อบัตรเครดิต และสินเชื่อส่วนบุคคล ที่หดตัวต่อเนื่องเช่นกัน
สุวรรณี เจษฎาศักดิ์ ผู้ช่วยผู้ว่าการสายกำกับสถาบันการเงิน แบงก์ชาติ แถลงว่า กลุ่มลูกหนี้ที่น่ากังวล คือกลุ่ม SME ที่เป็นห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) หรือเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากสินค้าราคาถูกจากประเทศจีนที่ทะลักเข้าไทย ซึ่งทางแบงก์ชาติกำลังติดตามว่า ธุรกิจเหล่านี้จะมีความสามารถในการปรับตัวอย่างไรบ้าง ส่วน NPL คาดว่าจะทยอยปรับเพิ่มขึ้น แต่อยู่ในระดับที่ยังบริหารจัดการได้

ขณะที่ อรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เผยข้อมูลการจดทะเบียนตั้งธุรกิจใหม่ ในไตรมาสแรกของปี 2568 ลดลง 4.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า และมีการจดทะเบียนเลิกกิจการเพิ่มขึ้นถึง 10.6%
หากนับตั้งแต่ปี 2566 จนถึงปัจจุบัน ภาคอุตสาหกรรมที่แจ้งยกเลิกกิจการสูงสุด เช่น ผลิตภัณฑ์อาหาร เคมีภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากโลหะ เครื่องจักร และเสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย
ส่วนธุรกิจสาขาบริการที่ยกเลิกกิจการสูงสุด เช่น ธุรกิจขายส่ง ขายปลีก การก่อสร้างอาคาร อสังหาริมทรัพย์ และบริการด้านอาหารและเครื่องดื่ม
อีกด้านหนึ่ง แม้สถานการณ์การจดทะเบียนตั้งธุรกิจใหม่ในสาขาสำคัญจะยังขยายตัวได้ดี แต่ส่วนใหญ่จะเป็นผู้ประกอบการรายใหญ่ที่ถือหุ้นโดยนักลงทุนต่างชาติ โดยเฉพาะชาวจีน ซึ่งเข้ามาตั้งฐานการผลิตสินค้าในไทย เพื่อหลีกเลี่ยงมาตรการกีดกันทางภาษีของสหรัฐฯ
ผลกระทบจากการลงทุนของชาวต่างชาติ ทำให้ผู้ประกอบการขนาดย่อมของไทยต้องดิ้นรนแข่งขันด้านต้นทุนกับผู้ประกอบการจากต่างชาติ ซึ่งเสี่ยงที่จะพ่ายแพ้ให้กับทุนใหญ่ และอาจต้องปิดกิจการไปในที่สุด

คนตกงานเพียบ คนจนพุ่ง : ผลพวงจากวิกฤตเศรษฐกิจ
ผลจากสภาวะเศรษฐกิจทั้งภายในและภายนอกประเทศ รวมถึงความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ตลอดจนนโยบายแข่งขันทางการค้า เหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยรุมเร้าเศรษฐกิจไทยให้จมดิ่งลงไปเรื่อย ๆ
เมื่อภาคธุรกิจอุตสาหกรรม ภาคบริการ รวมถึงภาคการผลิตทั้งหลาย เริ่มออกอาการว่าไปต่อไม่ไหว คนที่จะได้รับความเสี่ยงในลำดับถัดมา จึงหนีไม่พ้นบรรดาแรงงานและลูกจ้างที่ต้องได้รับผลกระทบตามมาเป็นลูกโซ่
ภุชพงค์ โนดไธสง ผู้อำนวยการสำนักงานสถิติแห่งชาติ เผยผลสำรวจภาวะการทำงานของประชากร ไตรมาส 2 ปี 2568 พบว่า จำนวนผู้ว่างงานเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา ทั้งสิ้นเกือบ 370,000 คน
ทั้งนี้ จำนวนผู้ว่างงานสูงสุด คือ คนที่เรียนจบระดับอุดมศึกษา และคนที่ไม่เคยมีประสบการณ์การทำงานมาก่อน ส่วนแรงงานที่มีความเสี่ยงต่อการถูกเลิกจ้าง คือ กลุ่มงานก่อสร้าง ขายส่ง ขายปลีก การซ่อมยานยนต์ รวมถึงกลุ่มวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคนิค
ไม่เว้นแม้แต่ธุรกิจธนาคาร อย่างธนาคารกสิกรไทยที่ออกประกาศโครงการเกษียณอายุก่อนกำหนด โดยเปิดให้พนักงานตั้งแต่อายุ 45–60 ปี เข้าร่วมโครงการ เพื่อเป็นการลาออกตามความสมัครใจ พร้อมเสนอสิทธิประโยชน์มากมาย ทั้งค่าชดเชยและเงินช่วยเหลือพิเศษ ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งสัญญาณของการปรับโครงสร้างองค์กรด้วยการลดพนักงาน ท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรงในตลาด

ขณะเดียวกัน สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ได้เปิดเผยข้อมูลที่น่าเป็นห่วง จากรายงานสถานการณ์ความยากจนและความเหลื่อมล้ำปี 2567 พบว่า จำนวนคนจนเพิ่มขึ้นเป็น 3.4 ล้านคน หรือคิดเป็น 4.89% ของประชากรทั้งประเทศ
นอกจากนี้ ยังพบด้วยว่า คนไทยจำนวน 880,000 คน จัดอยู่ในกลุ่ม “จนมาก” โดยมีรายได้ต่ำกว่าเส้นความยากจน หรือมีรายได้เฉลี่ยเพียง 615 บาทต่อคนต่อเดือน
ข้อเสนอของสภาพัฒน์ฯ เน้นย้ำว่า รัฐบาลควรติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ลดการใช้จ่ายงบประมาณในโครงการขนาดใหญ่ที่ไม่คุ้มค่า แล้วหันมาออกแบบนโยบายแก้ไขความยากจนให้ตรงจุดมากขึ้น
ค่าไฟ ค่าเดินทาง ค่าอาหาร ค่าเน็ต สะท้อนเสียงของผู้บริโภคที่รัฐไม่ได้ยิน
สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสภาองค์กรของผู้บริโภค สะท้อนมุมมองประชาชน เพื่อขยายให้เห็นสภาวะค่าครองชีพสูงที่เกิดขึ้นในชีวิตจริง พบว่า แม้อัตราเงินเฟ้อจะดูเหมือนไม่สูงจนน่ากังวล แต่ข้อเท็จจริง คือ เงินในกระเป๋าของประชาชนลดน้อยลง ทำให้การจับจ่ายใช้สอยฝืดเคือง หรือเรียกได้ว่ารายจ่ายแซงรายได้
“สิ่งหนึ่งที่สภาองค์กรของบริโภคเรารู้สึกมาก คือ เวลาเรามองเรื่องเศรษฐกิจ เราไม่ค่อยนึกถึงผู้บริโภค เพราะเราคิดว่าผู้บริโภคเป็นคนรับภาระ ทําอะไรก็ได้ เดี๋ยวผู้บริโภคก็ต้องเป็นคนจ่ายเอง”
“ยกตัวอย่าง เช่น ค่าไฟฟ้า เป็นรูปธรรมเลย ตอนนี้คนทั้งประเทศรู้ว่าเราจ่ายค่าไฟให้กับการสํารองไฟ แต่เราไม่ยอมแก้ปัญหาในเชิงโครงสร้างเลยว่า เราจะลดการสํารองไฟยังไง ลดการผลิตไฟลงยังไง เพราะยังไงก็มีผู้บริโภคคอยรับภาระอยู่”
สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสภาองค์กรของผู้บริโภค

เดิมที แหล่งผลิตกระแสไฟฟ้าของไทย ถือว่าผลิตได้เพียงพอต่อความต้องการ แต่ภายหลังเมื่อเอกชนมีการสร้างโรงไฟฟ้าเพิ่ม จึงเป็นเพียงพลังงานสำรองที่ล้นเกินความจำเป็น แต่คนไทยก็ยังต้องแบกรับต้นทุนการผลิตดังกล่าว ตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาว
ปัญหาเรื่องค่าไฟแพง ส่งผลกระทบโดยตรงต่อรายจ่ายของประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มนักศึกษาหรือคนทำงานจากต่างจังหวัดที่พักอาศัยตามหอพักหรืออะพาร์ตเมนต์ ต้องจ่ายค่าไฟแพงกว่าบ้านเรือนทั่วไปถึง 2 เท่า
เช่นเดียวกับค่าเดินทางในระบบขนส่งสาธารณะ ที่ถือเป็นภาระหนักหน่วงของคนทำงาน โดยเฉพาะอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้าที่คิดเป็นสัดส่วนที่สูงมากเมื่อเทียบกับค่าแรงรายวัน
เลขาธิการสภาองค์กรของผู้บริโภค ระบุว่า สัดส่วนค่าเดินทางต่อวันจะต้องไม่เกิน 10% ของค่าแรงขั้นต่ำ ซึ่งเป็นไปตามหลักการที่หลายประเทศทั่วโลกใช้ในการกำหนดราคาค่าโดยสารสาธารณะ เพื่อไม่ให้กระทบกับค่าครองชีพ
เมื่อรัฐบาลชุดใหม่เตรียมผลักดันนโยบายค่าโดยสารรถไฟฟ้าเหมาจ่าย หรือ ตั๋วบุฟเฟต์ สภาองค์กรของผู้บริโภคจึงย้ำจุดยืนเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งเดินหน้าระบบขนส่งสาธารณะที่เข้าถึงได้ ในราคาที่เป็นธรรม และต้องไม่เพียงแค่รองรับคนกรุงเทพฯ เท่านั้น แต่ต้องครอบคลุมถึงระบบขนส่งสาธารณะในต่างจังหวัดด้วย
“ต้องตั้งคําถามว่า เรามีเงินตั้ง 2.2 ล้านล้าน หรือตอนนี้เกือบ 3 ล้านล้านแล้ว งบประมาณแผ่นดินเราเอาไปทําอะไร หรืออย่างเช่นที่พวกเราทํางานมากขึ้นเรื่อย ๆ เรื่องขนส่ง ซึ่งเป็นภาระที่มาก นี่ยังไม่ต้องไปพูดเรื่องคนในต่างจังหวัดที่ไปไหนมาไหนไม่ได้เลย ถ้าคุณไม่มีมอเตอร์ไซค์ขั้นต่ำ ถูกไหม”
สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสภาองค์กรของผู้บริโภค
ค่าอาหาร เป็นอีกหนึ่งในความเดือดร้อนอันดับต้น ๆ ที่ผู้บริโภคไม่อาจเลี่ยงได้ ราคาอาหารทุกวันนี้แพงขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุ แม้รัฐจะมีกลไกควบคุมราคาก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถทําให้ราคาสินค้าสอดคล้องไปกับรายได้ของประชาชน
เช่นเดียวกับค่าโทรคมนาคมหรือค่าอินเทอร์เน็ต หลังมีการควบรวมกิจการของผู้ให้บริการรายใหญ่ ส่งผลให้ผู้ประกอบการมีอำนาจเหนือตลาด ไม่จำเป็นต้องแข่งขันราคาเพื่อแย่งลูกค้าอีกต่อไป ทุกวันนี้จึงไม่มีแพ็คเกจขั้นต่ำที่เหมาะสมสำหรับผู้มีรายได้น้อย
สารี มองว่าปัญหาเรื่องการผูกขาดอาจบรรเทาลงได้ด้วยการให้อำนาจต่อรองกับผู้บริโภคมากขึ้น เพื่อเป็นกลไกในการกำกับควบคุมตลาดที่เป็นธรรมมากขึ้น ช่วยผลักดันธุรกิจเกิดการแข่งขัน และก้าวข้ามกับดักประเทศกําลังพัฒนาได้
“เรื่องการคุ้มครองผู้บริโภค คุณก็รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องเล็ก เป็นเรื่องรอง แต่ว่าจริง ๆ แล้ว เรื่องคุ้มครองผู้บริโภคมันสําคัญมากที่จะทําให้ตัวผู้บริโภคมีอํานาจต่อรองในทางเศรษฐกิจ เพราะว่าถ้าผู้บริโภคไม่มีอำนาจต่อรอง ธุรกิจมันก็ไม่ไปไหน คือธุรกิจก็ไม่จําเป็นต้องแข่งขัน ธุรกิจก็ผูกขาดได้ หรือธุรกิจก็ไม่ต้องทําอะไรดี คุณก็ทําธุรกิจแบบเดิม ๆ ไปเรื่อย ๆ”
สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสภาองค์กรของผู้บริโภค
อุ้มประชาชนตัวเล็ก ฟื้นเศรษฐกิจจากฐานราก
หากดูจากสภาพเศรษฐกิจที่เป็นอยู่ อาจถึงเวลาที่เราต้องยอมรับความจริงแล้วว่า ประเทศไทยไปต่อไม่ได้ หากไม่คิดใหม่ตั้งแต่วันนี้ ก็อาจต้องล้มลุกคลุกคลานกันต่อไปอีกหลายทศวรรษ
รศ.สมประวิณ มีข้อเสนอว่า แนวนโยบายการพัฒนาประเทศต้องเปลี่ยนวิธีคิดจากการรวมศูนย์ มาเป็นการพัฒนาจากฐานราก เปลี่ยนจากการอุ้มชูธุรกิจรายใหญ่ มาสู่การกระจายการมีส่วนร่วมมากขึ้น เปิดโอกาสให้คนเล็กคนน้อยเข้าถึงแหล่งทุน และสามารถแข่งขันได้มากขึ้น เพราะยิ่งผูกขาดทางการค้าและกีดกันคู่แข่งรายย่อย ก็ยิ่งเป็นอุปสรรคขัดขวางการเติบโตทางเศรษฐกิจ
การปฏิรูปเศรษฐกิจที่สัมฤทธิ์ผลในหลายประเทศทั่วโลกนั้น ไม่ใช่เป็นการทําลายทุนใหญ่ แต่เป็นการโน้มน้าวให้ทุนใหญ่เกิดความมั่นใจที่จะเข้าร่วมกระบวนการปฏิรูปไปด้วยกัน เพราะท้ายที่สุดแล้ว หากปล่อยให้เศรษฐกิจล่มสลาย ทุนใหญ่ก็ย่อยยับเช่นกัน
“ทําให้เขาเข้าใจว่า เรากําลังจะทําให้ก้อนเค้กมันใหญ่ขึ้น เราไม่ได้ตัดเค้กเท่าเดิม แต่ตัดส่วนของท่านไปให้กับชาวบ้าน ท่านอาจจะโตช้ากว่าชาวบ้านนะ ชาวบ้านจะโตเร็วกว่า แต่ทั้งหมดทั้งมวลแล้วเนี่ย เค้กมันจะใหญ่ขึ้น”
“ดีไม่ดี การปฏิรูปที่สัมฤทธิ์ผล ต้องคุยกับทุนใหญ่เยอะ ๆ อย่าไปคิดว่าเขาเป็นศัตรูกับการปฏิรูป แต่ผมคิดว่าเขาเป็นส่วนหนึ่งของ eco-system ที่ทําให้เกิดการปฏิรูปครับ”
รศ.สมประวิณ มันประเสริฐ นักเศรษฐศาสตร์มหภาค
ปัญหาอยู่ที่ว่า รัฐบาลไทยไม่ว่าชุดใดก็ตาม จะมีความกล้าหาญแค่ไหนที่จะเจรจาต่อรองกับนายทุนใหญ่ เพื่อสร้างความร่วมมือในการปฏิรูปเศรษฐกิจ สร้างความเป็นธรรมในการกระจายรายได้ไปสู่คนส่วนใหญ่มากขึ้น
ข้อเสนออีกประการของ รศ.สมประวิณ คือ รัฐต้องมีกลไกกลางในการวางกรอบกติกาการค้าที่เป็นธรรม ภายใต้การมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่าย ก่อนที่รัฐนาวาลำนี้จะจมลง แล้วทุกคนจะตายกันหมด
“ผมคิดว่าคนตัวเล็กรู้สึกถึงความยากลําบากในชีวิตค่อนข้างมาก วันนั้นคนที่อยู่ใน 10% ข้างบนยังไม่ค่อยรู้สึก แต่วันนี้ผมเชื่อว่าทุกคน ไม่ว่าจะเป็นคนรวยคนจน รู้สึกและเข้าใจได้ว่าเศรษฐกิจไม่ดีแล้ว เพราะฉะนั้นความรู้สึกของความต้องการการปฏิรูปมันค่อนข้างจะสุกงอมแล้ว”
รศ.สมประวิณ มันประเสริฐ นักเศรษฐศาสตร์มหภาค
ส่วนโจทย์ท้าทายทางเศรษฐกิจที่ต้องฝากไปถึงรัฐบาลชุดใหม่ รศ.สมประวิณ มองว่ามีอยู่ 3 ประเด็นหลัก ก็คือ
- ช่วยเหลือเยียวยา ซึ่งก็หวังว่าโครงการ “คนละครึ่ง” จะสามารถดูแลกลุ่มเปราะบางที่ประสบปัญหาค่าครองชีพสูง หนี้สินล้นพ้นตัว เพื่อไม่ให้ล้มลงกลางทาง
- รักษาความเชื่อมั่น อย่างน้อยที่สุดต้องทำให้คนไทยกลับมามีความหวังอีกครั้ง
- สร้างกลไกปฏิรูป เพื่อซ่อมแซมฐานรากและวางเค้าโครงเศรษฐกิจใหม่ ให้รัฐบาลชุดถัดไปสามารถสานต่อได้ โดยไม่ต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่ทุกครั้ง
อย่างไรก็ตามไม่ว่าวงจรนโยบายจะหมุนไปอย่างไร แต่ภาพที่เกิดขึ้นจริงคือความพยายามของคนฐานรากที่จะเอาชีวิตรอดไปได้แบบวันต่อวัน แม้จะมีมาตรการเยียวยาหรือการกระตุ้นทางเศรษฐกิจที่หวังผลระยะสั้นอยู่ แต่เราก็ยังไม่เห็นความพยายามในการสร้างโอกาสเพิ่มรายได้ ให้กับประชาชนในระยะยาว
เพราะการแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจของไทยไม่ได้อยู่ที่การทำให้ตัวเลขการเติบโตดูดีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่หมายถึงการต้องปฏิรูปกฎกติกาเพื่อส่งเสริมและสร้างความเป็นธรรมในการแข่งขันและลดความเหลื่อมล้ำของคนในสังคมอย่างจริงจัง ไปพร้อม ๆ กับการกระจายโอกาสให้คนส่วนใหญ่ให้มากที่สุด

