ดูเหมือนท่าทีของรัฐบาล ยังคงเดินหน้าเต็มกำลังสำหรับการผลักดัน “ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมและกำกับดูแลการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ” หรือที่รู้จักในชื่อ “กฎหมาย SEC” ท่ามกลางเสียงคัดค้านจากประชาชนในภาคใต้ ที่กังวลผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม และวิถีชีวิตในพื้นที่
และสิ่งที่ภาคประชาชน รวมถึงนักวิชาการกังวลมากกว่านั้น คือ การมาของกฎหมาย SEC อาจมาพร้อมแนวคิดการอำนวยความสะดวกทลายหลาย ๆ ข้อจำกัดในเชิงพื้นที่ แล้วดึงดูดการลงทุนด้วยสิทธิประโยชน์พิเศษ ภายใต้การมีกลไกอำนาจบริหารจัดการพื้นที่แบบเบ็ดเสร็จ ซึ่งแน่นอนว่าสิ่งที่หลายฝ่ายกังวลนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะนี่เป็นกลไกต่อเนื่องจากแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และรูปธรรมที่เริ่มต้นขึ้นมาก่อนหน้านี้ เกิดขึ้นแล้วที่ เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC
วันนี้ ร่างกฎหมาย SEC มีเป้าหมายขยับขยายพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษลงสู่ภาคใต้ 4 จังหวัด โดยยังไม่มีคำตอบชัดเจนจากรัฐบาลว่า บทเรียนจาก EEC ได้รับการประเมินแล้วหรือยัง ? หรือประชาชนในพื้นที่ใหม่ มีส่วนร่วมแค่ไหนในการกำหนดทิศทางการพัฒนาภายใต้ต้นทุนทรัพยากรในแบบของตัวเอง
ทำไม ? ภาคใต้จึงไม่ควรเป็นเป้าหมายถัดไปของการขยายเขตเศรษฐกิจพิเศษ… The Active ชวนหาคำอธิบายผ่านมุมมองของ สุภาภรณ์ มาลัยลอย ผู้จัดการมูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม (EnLAW)
อะไร ? คือบทเรียน คือสิ่งที่รัฐต้องทบทวน แล้วทางออกควรเป็นแบบไหน ?

ร่าง พ.ร.บ. SEC ละทิ้งบริบทคนใต้
สำหรับภาคใต้ โดยเฉพาะพื้นที่ที่ถูกกำหนดให้เป็นพื้นที่นำร่อง SEC ได้แก่ ชุมพร, ระนอง, สุราษฎร์ธานี และนครศรีธรรมราช ล้วนเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพสูงในหลายมิติ ทั้ง
- ศักยภาพด้านการเกษตร
- ศักยภาพด้านประมง ที่ใช้พื้นที่ทางทะเลเป็นแหล่งอาหารที่สมบูรณ์
- ศักยภาพด้านการท่องเที่ยว ที่มีทรัพยากรธรรมชาติอุดมสมบูรณ์และมีความสวยงาม


ทั้ง 3 มิตินี้ ถือเป็นรายได้หลักของคนในพื้นที่ ซึ่งต่างก็ประกอบอาชีพที่สอดคล้องกับฐานทรัพยากรท้องถิ่น เช่น การเกษตรที่อาศัยที่ดิน อากาศ และแหล่งน้ำที่สมบูรณ์ ส่งผลให้ผลผลิตทางการเกษตรมีคุณภาพดี หรือประมงพื้นบ้านที่อาศัยท้องทะเลซึ่งยังคงความอุดมสมบูรณ์ รวมถึงการท่องเที่ยวเชิงนิเวศและเชิงสุขภาพ ที่นักท่องเที่ยวเดินทางมาเพื่อซึมซับบรรยากาศและธรรมชาติของพื้นที่
“เพราะฉะนั้น เมื่อร่าง พ.ร.บ. SEC มีเป้าหมายในการพัฒนาโครงการขนาดใหญ่ ก็จะเข้าไปเปลี่ยนโฉมการใช้พื้นที่ ส่งผลให้ฐานอาชีพและคุณภาพชีวิตของผู้คนที่พึ่งพาทรัพยากรในพื้นที่ต้องเปลี่ยนแปลงไป”
สุภาภรณ์ มาลัยลอย
ประเด็นต่อมา คือ คนในพื้นที่ประกอบอาชีพสอดคล้องกับวิถีวัฒนธรรม หรืออาศัยอยู่บนฐานศักยภาพของพื้นที่ อาจต้องถูกโยกย้ายออกจากถิ่นที่อยู่อาศัย ซึ่งไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่ 4 จังหวัดนำร่องเท่านั้น เพราะในร่าง พ.ร.บ. SEC ยังเปิดทางให้สามารถ ขยายพื้นที่ เพิ่มเติมได้อีกในอนาคต
ฐานทรัพยากร ‘สมบัติล้ำค่า’ ของคนใต้
ผู้จัดการ EnLAW อธิบายถึงมูลค่าของฐานทรัพยากรในพื้นที่ เป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นใหม่ไม่ได้ แต่สามารถถูกทำลายได้จากการใช้กฎหมาย หรือนโยบายที่ขาดการประเมินผลกระทบอย่างรอบด้าน ดังนั้น EnLAW จึงทำงานร่วมกับชุมชนเพื่อสะท้อนข้อมูลศักยภาพของพื้นที่ ควบคู่กับวิถีวัฒนธรรมของชุมชน โดยมีหลักคิดว่า “ความมั่นคงของประเทศ คือ ความมั่นคงของคนในพื้นที่ทุกคน ที่สามารถมีที่อยู่อาศัย มีที่ทำกิน และใช้วิถีของตัวเองในการประกอบอาชีพ ดูแลตนเองได้ ไม่ใช่ต้องพึ่งพารัฐอยู่ตลอดเวลา”

จากการพูดคุยกับชาวบ้าน พบว่า ฐานชีวิตของพวกเขาไม่ได้ซับซ้อน สิ่งที่ต้องการคือการรักษาพื้นที่เดิมไว้ ไม่ให้ถูกเปลี่ยนแปลงไปเป็นสิ่งอื่นที่เสี่ยงต่อคุณภาพชีวิต ถึงแม้ชาวบ้านจะไม่ปฏิเสธการพัฒนา แต่สิ่งที่เรียกร้องคือการพัฒนาที่ ‘ต่อยอด’ ฐานอาชีพเดิม เพิ่มรายได้และคุณภาพชีวิต โดยไม่ทำลายฐานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งจำเป็นต้องมีการดูแลร่วมกันระหว่างรัฐกับคนในพื้นที่
เธอยังตั้งข้อสังเกตว่า กลุ่มคนบางกลุ่มในพื้นที่ อย่างเช่น ชาวมอแกน ซึ่งยังไม่ได้รับสิทธิพื้นฐาน เช่น บัตรประชาชน การเข้าถึงระบบสาธารณสุข หรือการศึกษาของเด็ก ๆ ในพื้นที่ กลับไม่ใช่ประเด็นที่รัฐให้ความสำคัญ ทั้งที่คนกลุ่มนี้คือพลเมืองที่ยังไม่ได้รับการยืนยันสิทธิอย่างชัดเจน เช่นเดียวกับ กลุ่มชาติพันธุ์ไทดำ หรือ สหพันธ์เกษตรกรภาคใต้ (สกต.) ที่ต่อสู้เรื่องสิทธิในที่อยู่อาศัยและที่ทำกินมายาวนาน แต่กลับถูกมองว่าเป็นผู้กระทำผิดเพียงเพราะไม่มีเอกสารสิทธิ ทั้งที่พวกเขาอาศัยอยู่และพึ่งพาทรัพยากรในพื้นที่มาหลายชั่วอายุคน ในขณะที่ร่างกฎหมาย SEC เปิดช่องให้คณะกรรมการสามารถจัดสรรที่ดินของรัฐ ไม่ว่าจะเป็นที่ดิน ส.ป.ก. ที่ราชพัสดุ หรือที่ดินสาธารณะ ให้นายทุนเข้ามาใช้ประโยชน์ได้ ทั้งในรูปแบบ ‘เช่า’ หรือ ‘ถือกรรมสิทธิ์’ สูงสุดถึง 99 ปี
“รัฐมีมุมมองอย่างไร ในเมื่อ ฐานชีวิต ของคนในพื้นที่ คือ การมีที่ดิน การเข้าถึงทรัพยากร และการดูแลตัวเองได้ ขณะที่รัฐกลับเปิดพื้นที่และยกทรัพยากรให้กลุ่มทุน ที่มีโอกาสในการเข้าถึงมากอยู่แล้ว และยังประกอบกิจกรรมที่มีความเสี่ยงต่อการใช้ทรัพยากรอย่างไม่ยั่งยืนอีกด้วย”
สุภาภรณ์ มาลัยลอย
ย้ำบทเรียน EEC ความบอบช้ำคนภาคตะวันออก
ตัวอย่างเชิงประจักษ์ที่ สุภาภรณ์ ยกให้เห็น คือ การพัฒนาในพื้นที่ EEC หรือ เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก โดยการเข้ามาของกลุ่มทุนโดยเฉพาะในกิจการที่มีความเสี่ยง ทำให้เกิดการปนเปื้อนของดิน น้ำ และอากาศอย่างเป็นรูปธรรม และที่สำคัญ ร่างกฎหมาย SEC ก็มีโครงสร้าง กลไก และการใช้ประโยชน์พื้นที่ในลักษณะที่แทบจะ คัดลอก มาจาก EEC
“ที่ต้องเปรียบเทียบกับ EEC เพราะกฎหมาย SEC แทบจะถอดแบบมาโดยตรง ทั้งกลไกอำนาจและแนวทางการใช้พื้นที่ เมื่อเป็นเช่นนี้ ชาวบ้านก็มีสิทธิที่จะตั้งคำถามว่า ถ้าเราเคยเห็นปัญหาเกิดขึ้นมาแล้ว ทำไมต้องปล่อยให้เกิดซ้ำในภาคใต้ ฐานทรัพยากรไม่เหมือนกัน พื้นที่ภาคใต้มีทรัพยากรธรรมชาติที่ยังสมบูรณ์ การเปลี่ยนโฉมภาคใต้ตามแนวทางเดียวกับ EEC อาจสร้างความสูญเสียที่ไม่อาจย้อนคืนได้”
สุภาภรณ์ มาลัยลอย
ข้อค้นพบสำคัญ ที่ภาคประชาสังคมด้านสิ่งแวดล้อมร่วมกับชุมชนในพื้นที่ จ.ระนอง ทำคู่ขนานกับการศึกษาผลกระทบของรัฐ เพื่อสะท้อนการใช้พื้นที่ตรงจุดเดียวกัน ตั้งคำถามว่า เราจะสูญเสียอะไร ? เรามีความเสี่ยงอะไร ? เช่น จ.ระนอง จะต้องถมทะเลมากกว่า 7,000 ไร่ บริเวณอ่าวอ่าง ใกล้เกาะพยาม จะส่งผลกระทบต่อพี่น้องที่ใช้ประโยชน์จากพื้นที่ตรงนั้น
“จากการลงพื้นที่ไปพูดคุย เห็นภาพชัดมากว่าพื้นที่จะที่จะถมทะเล เป็นพื้นที่ที่มีความสมบูรณ์ของสัตว์ทางทะเลจำนวนมาก แล้วก็มีกลุ่มประมงพื้นบ้านมาจับสัตว์น้ำ ตรงบริเวณนี้จำนวนมาก เราจะสูญเสียแหล่งอาหารที่สมบูรณ์ทางทะเล รวมทั้งยังพูดคุยถึงมูลค่าที่คนพื้นที่เคยได้รับ”
สุภาภรณ์ มาลัยลอย


ต้องถมทะเล คำถามคือ เอาอะไรมาถม ?
ผู้จัดการ EnLAW ยังชวนตั้งคำถามสำคัญว่า เมื่อมีโครงการถมทะเลเพื่อรองรับโครงการขนาดใหญ่ เช่น แลนด์บริดจ์ คำถามพื้นฐานคือ… เราจะเอาอะไรมาถม ? เพราะจากภาพรวมก่อนที่โครงการแลนด์บริดจ์จะเริ่มต้น มีการวางแผนระเบิดภูเขา ขนหิน ขนดินมาถมทะเล รวมถึงใช้เรือขนาดใหญ่ในการขนวัสดุมาถมทะเล ซึ่งตลอดกระบวนการก่อสร้างที่อาจใช้เวลากว่า 13 ปี ย่อมส่งผลกระทบต่อการสัญจรทางน้ำ การประมง การท่องเที่ยว และระบบนิเวศทางทะเลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“เราจะไม่เพียงแค่สูญเสียทะเล แต่เราจะสูญเสียภูเขา สูญเสียแหล่งทราย และระบบนิเวศตั้งแต่ต้นน้ำของกระบวนการถมทะเล”
สุภาภรณ์ มาลัยลอย
ขณะเดียวกันการดูดทรายในเส้นทางเดินเรือซึ่งมีระดับความลึกสูงมาก อาจส่งผลกระทบรุนแรงต่อระบบนิเวศใต้ทะเล ทั้งแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์น้ำ ปะการัง และหญ้าทะเล
“ทะเลตรงนั้นไม่ใช่แค่พื้นที่โล่งเปล่า ๆ แต่มันเป็นบ้านของสัตว์น้ำ เป็นแหล่งปะการังที่สวยงาม มีแหล่งท่องเที่ยว เช่น ใกล้เกาะพยาม ซึ่งนักท่องเที่ยวไม่ได้เดินทางไปเพื่อดูเรือบรรทุกหรือพื้นที่ก่อสร้าง พวกเขาไปเพราะต้องการเห็นทะเลที่สมบูรณ์และสวยงาม”
สุภาภรณ์ มาลัยลอย
ดังนั้น ผู้ได้รับผลกระทบจากโครงการ ไม่ได้มีแค่กลุ่มประมงพื้นบ้าน แต่รวมถึงกลุ่มนักท่องเที่ยว ผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยว และชุมชนชายฝั่งที่ใช้ประโยชน์จากทรัพยากรในพื้นที่ร่วมกันมายาวนาน และในบางพื้นที่ เช่น จ.ชุมพร ก็มีการยื่นขออนุญาตระเบิดภูเขาเพื่อนำหินมาถมทะเล แต่ไม่มีข้อมูลเปิดเผยชัดเจนว่า ต้องระเบิดกี่ลูก ต้องใช้หินจำนวนเท่าไหร่ สิ่งเหล่านี้ควรมีการประเมินและเปิดเผยต่อสาธารณะ เพราะทะเลที่ถูกถมไม่ใช่เพียงแค่แผ่นดินใหม่ แต่คือการสูญเสียอย่างมหาศาล ทั้งในมุมทรัพยากรอาหาร ภูเขา และระบบนิเวศ
“ไม่เพียงแต่ทะเลหรือภูเขา วิถีชีวิตของชุมชนก็อาจต้องสูญเสียตามไปด้วย เพราะพื้นที่เหล่านั้นเป็นแหล่งยังชีพของคนในชุมชน ไม่ใช่แค่คนในจังหวัดระนองเท่านั้นที่จะได้รับผลกระทบ แต่การก่อสร้าง การขนส่ง และการระเบิดภูเขา อาจส่งผลกระทบข้ามพื้นที่”
สุภาภรณ์ มาลัยลอย
คำถามสำคัญที่ยังรอคำตอบจากรัฐ คือ
บุคคลที่ได้รับผลกระทบเหล่านี้ ถูกนำเข้ามาอยู่ในกระบวนการมีส่วนร่วมแล้วหรือยัง ?
ระบบนิเวศที่กำลังจะสูญเสียไป ได้ถูกประเมินอย่างแท้จริงหรือไม่ ?
และมูลค่าของทรัพยากรที่เรากำลังจะเสี่ยงทิ้งไป คุ้มค่ากับรูปแบบการพัฒนาเช่นนี้จริงหรือ ?

เปลี่ยนภูมิศาสตร์ภาคใต้ หวั่นผลกระทบภัยพิบัติรุนแรง
การเปลี่ยนแปลงภูมิศาสตร์ภาคใต้ จนอาจนำไปสู่การเกิดภัยพิบัติหนัก ซึ่งภาคใต้ถือว่าเผชิญเหตุที่หนักหนาอยู่แล้ว เป็นอีกปัจจัยที่ สุภาภรณ์ เชื่อว่าต้องให้ความสำคัญหากจะมีโครงการพัฒนาขนาดใหญ่ แม้ในตอนนี้ยังไม่ได้ทำลายอะไร ระบบนิเวศก็เริ่มรวนอยู่แล้ว จากผลของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พร้อมยกตัวอย่างว่า เวลาที่เกิดวิกฤตฝุ่น PM2.5 หนาแน่นในพื้นที่อื่น เช่น ภาคเหนือ หลายคนเลือกเดินทางมา พักใจ ที่จังหวัดชุมพร เพราะอากาศยังดีอยู่
“คำถามคือ ในเมื่อเรามีพื้นที่ที่ดีขนาดนี้ ทำไมเรายังจะไปเปลี่ยนมัน เพื่อเสี่ยงกับสิ่งที่อาจทำให้เรารับผลกระทบมากกว่าที่เป็นอยู่”
สุภาภรณ์ มาลัยลอย
ถึงยังไงระบบนิเวศก็เป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่ง และหากรัฐพูดคุยกับชุมชน วางแผนร่วมกับคนในพื้นที่ ย่อมสามารถจัดการ ป้องกัน และฟื้นฟูผลกระทบจากภัยพิบัติได้ดีกว่า แต่เมื่อใดที่ระบบนิเวศถูกทำลาย หรือเปลี่ยนโฉม พื้นที่นั้นอาจกลายเป็น จุดเสี่ยง ที่ไม่มีทางจัดการได้ง่าย ๆ อีกต่อไป
ชวนให้ลองนึกถึงภาพในพื้นที่ EEC การที่มีโครงการขนาดใหญ่ ถมทะเล สร้างถนน เขื่อน โรงงาน หรือก่อสร้างขนาดใหญ่เต็มพื้นที่ เมื่อเกิดน้ำท่วม ระบบก็จัดการลำบาก การจราจรก็ติดขัด เพราะไม่มีการวางผังเมืองที่คำนึงถึงความปลอดภัย หรือการเดินทางของประชาชนเป็นหลัก
สิ่งเหล่านี้คือผลกระทบแค่บางส่วน เมื่อการพัฒนาล่วงหน้าโดยขาดการวางแผนรอบด้าน และเมื่อเกิดภัยพิบัติขึ้นภายหลัง ก็มักจะแก้ไขไม่ทัน หรือมีต้นทุนสูงมาก นี่ยังไม่นับรวมความเสี่ยงใหม่ ๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้อีก หากมีโครงการที่เกี่ยวข้องกับกิจการเสี่ยง เช่น อุตสาหกรรมปิโตรเคมี หรือเคมีภัณฑ์
“ภัยพิบัติธรรมชาติในตอนนี้ อาจจะยังไม่มีสารปนเปื้อน เรายังจัดการ ฟื้นฟูได้รวดเร็ว แต่ถ้าในอนาคตเกิดน้ำมันรั่วลงทะเล มันไม่ใช่แค่น้ำท่วม แต่คือน้ำปนเปื้อนน้ำมัน หรือถ้าเกิดอุบัติเหตุระเบิดในโรงงานเคมี มันก็ไม่ใช่แค่ไฟไหม้ธรรมดา แต่คือไฟที่มีสารเคมีอยู่ด้วย นั่นคือความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น จากเดิมที่เราเคยเจอแค่ภัยธรรมชาติ กลายเป็นภัยจากน้ำมือมนุษย์หรือกิจการที่มีความเสี่ยงสูงเข้ามาแทน”
สุภาภรณ์ มาลัยลอย
ขยาย EEC สู่จังหวัดที่ 4 ปราจีนบุรี ?
สุภาภรณ์ ยังชี้ให้เห็นความไม่ชอบมาพากลของกระบวนการขยายพื้นที่ EEC โดยมองว่า ตามหลักที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ เมื่อกฎหมายบังคับใช้ครบ 5 ปี จะต้องมีการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย ซึ่งประชาชนกำลังรอการประเมินผลสัมฤทธิ์จากสำนักงานคณะกรรมการ EEC อยู่ ทราบว่ามีการจ้างมหาวิทยาลัยดำเนินการศึกษา แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่มีรายงานผล หรือความคืบหน้าเปิดเผยต่อสาธารณะ ทั้งที่การจะขยาย หรือแก้ไข พ.ร.บ. EEC ควรต้องยึดโยงกับผลการประเมินก่อน
“ผ่านมา 5 ปี คำถามคือ กฎหมายฉบับนี้สร้างประโยชน์อะไรบ้าง ? เราได้อะไรจากการมี พ.ร.บ. ในพื้นที่ภาคตะวันออก และเราสูญเสียอะไรไป ทำไมรัฐบาลจึงยังไม่เร่งจัดทำรายงานผลสัมฤทธิ์ แต่กลับตั้งหน้าตั้งตาโฆษณาว่ากฎหมายนี้มีข้อดีอย่างไร”
สุภาภรณ์ มาลัยลอย
สุภาพร ชี้ว่า ตัวชี้วัดของภาครัฐคือ ตัวเลข GDP ซึ่งไม่ได้สะท้อนคุณภาพชีวิตของประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มอาชีพ อย่าง ประมง แม่ค้า เกษตรกร ที่ต้องโยกย้ายจากพื้นที่เดิม และสูญเสียสิทธิในการเข้าถึงทรัพยากรขั้นพื้นฐาน เช่น น้ำสะอาด
“เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่า GDP ที่เพิ่มขึ้นนั้น ไปอยู่ในกระเป๋าใคร เพราะคนในพื้นที่ไม่ได้รู้สึกว่าคุณภาพชีวิตของเขาดีขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น ผลกระทบจากกิจการในพื้นที่ EEC ไม่ใช่เรื่องใหม่ ตั้งแต่ยุคอีสเทิร์นซีบอร์ด เขตควบคุมมลพิษมาบตาพุด จนถึงปัจจุบัน ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม และสารก่อมะเร็งยังไม่เคยได้รับการจัดการอย่างเป็นระบบ คนในพื้นที่พูดกันจนเป็นคำติดปากว่า ถ้าไม่ตายจากอุบัติเหตุ ก็ มะเร็ง นี่คือสิ่งที่รัฐคิดว่าเป็นเรื่องปกติหรือ”
สุภาภรณ์ มาลัยลอย
คำถามที่รัฐบาลต้องตอบ คือ คณะกรรมการ EEC เคยสำรวจไหมว่า ใน 3 จังหวัด EEC มีพื้นที่ไหนที่ยังสะอาด หรือ มีน้ำสะอาดให้เข้าถึงได้กี่แห่ง ? มีกี่พื้นที่ที่ปนเปื้อน อากาศที่ประชาชนสูดเข้าไปมีความเสี่ยงต่อโรคอะไรบ้าง เพราะสิ่งเหล่านี้คือ สิทธิพื้นฐาน ที่แม้แต่องค์การสหประชาชาติ ก็ระบุว่า ทุกคนควรมีสิทธิในการเข้าถึงน้ำสะอาด อากาศบริสุทธิ์ และสิ่งแวดล้อมที่ดีพอจะดำรงชีวิตได้
ที่สำคัญคือ การเตรียมขยาย EEC ไปยัง จ.ปราจีนบุรี ซึ่งอยู่ติดกับ 3 จังหวัด EEC มองว่า ปัจจุบัน คนปราจีนก็ได้รับผลกระทบอยู่แล้ว เพราะเป็นแหล่งรองรับขยะจากทั่วประเทศ รวมถึงขยะจากโครงการ EEC ซึ่งไม่สามารถจัดการได้อย่างปลอดภัย ยิ่งเข้าร่วม EEC ยิ่งเพิ่มความเสี่ยง ไม่ใช่เพิ่มคุณภาพชีวิต
“นอกจากตัวเลข GDP แล้ว รัฐควรกลับมาดูว่า ผลกระทบที่เกิดขึ้นมีมูลค่าแค่ไหน รายได้จากภาษีที่รัฐได้ กับต้นทุนในการฟื้นฟูที่ประชาชนต้องจ่าย มันเทียบกันได้หรือไม่ สิ่งแวดล้อมไม่สามารถสร้างกลับมาให้สะอาดได้ง่าย ๆ มันมีต้นทุน และมีชีวิตของคนอยู่ในนั้นด้วย”
สุภาภรณ์ มาลัยลอย
จะขายพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษ ช่วยควบคุมพิษภัยจากสารเคมีโรงงานดีกว่า
ผู้จัดการ EnLAW ย้ำว่า ก่อนหน้านี้หลายองค์กรภาคประชาชน เคยร่วมกันเสนอข้อเรียกร้องกรณีเกิดเหตุ น้ำมันรั่ว โดยยื่นเรื่องต่อกรรมาธิการเพื่อเรียกร้องให้รัฐดำเนินการไม่ใช่แค่แก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่ต้องผลักดัน ระบบป้องกันและจัดการมลพิษเชิงโครงสร้าง แต่ทำไมรัฐไม่คิดจะผลักดันกฎหมายหรือระเบียบที่เกี่ยวกับ มาตรการป้องกัน ควบคุม และตรวจสอบผลกระทบ ที่อาจเกิดจากการพัฒนา เช่น น้ำมันรั่ว ซึ่งประเทศไทยมีเหตุการณ์น้ำมันรั่วซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่มาตรการของรัฐยังคงเดิม สิ่งที่ภาคประชาชนเสนอซ้ำ ๆ ก็ไม่เคยได้รับคำตอบหรือความคืบหน้า กลไกฉุกเฉินในการดูแลสถานการณ์ รวมถึงการเปิดเผยข้อมูลความเสี่ยงต่อสาธารณะ ยังไม่มีประสิทธิภาพ
“การจัดการมลพิษ ไม่ใช่แค่เอาคราบน้ำมันออกไปจากสายตา แล้วปล่อยให้จมอยู่ใต้ทะเล เพราะท้ายที่สุด ท้องทะเลก็ต้องเป็นผู้รับมลพิษนั้นอยู่ดี”
สุภาภรณ์ มาลัยลอย
หากรัฐประกาศพื้นที่อย่าง อีสเทิร์นซีบอร์ด และ EEC ให้เป็น เขตพิเศษเพื่อการพัฒนา ก็ควรมี มาตรการพิเศษในการควบคุมและจัดการปัญหาสิ่งแวดล้อม รองรับเช่นกัน แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในความเป็นจริง คือ เมื่อเกิดปัญหา รัฐกลับใช้กลไกแบบปกติ เช่น ให้ชาวประมงดำเนินคดีฟ้องร้อง ซึ่งทั้งล่าช้าและไม่มีประสิทธิภาพ
“น้ำมันรั่วครั้งที่ 1 ก็ยังไม่ถึงคำพิพากษา รั่วครั้งที่ 2 ก็ตามไปฟ้อง รออยู่ในกระบวนการ รั่วครั้งที่ 3 ก็เกิดขึ้นอีก ยังไม่นับเหตุการณ์เล็ก ๆ ที่เกิดบ่อยมาก แต่กลไกเยียวยาก็ยังล่าช้าและเป็นระบบเดิม ๆ”
สุภาภรณ์ มาลัยลอย
สุภาภรณ์ ยังย้ำว่า แนวโน้มของรัฐในการเร่งประกาศพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ เพื่อเอื้อให้นักลงทุนเข้ามาได้รวดเร็ว อาจมองได้ว่าเป็น ความพิเศษ ที่มีให้เฉพาะกับกลุ่มทุน แต่สำหรับคนในพื้นที่ มันไม่เคยพิเศษ เพราะพอเกิดปัญหารัฐกลับจัดการด้วยมาตรการปกติ ไม่ได้ให้การปกป้องคุ้มครองเป็นพิเศษอย่างที่ควรจะเป็น
หยุด ‘กฎหมายพิเศษ’ ที่ไร้เสียงประชาชน
แนวคิดเรื่องเขตเศรษฐกิจพิเศษมีมาอย่างยาวนาน ก่อนที่ยุทธศาสตร์ชาติจะประกาศใช้ แต่ยุค คสช. เป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้แนวคิดนี้มีความชัดเจนขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการประกาศสิทธิ์พื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดน ที่แม้จะมีความล้มเหลวในการพัฒนาในบางพื้นที่ รัฐก็ยังเดินหน้าต่อยอดพัฒนาพื้นที่ภาคตะวันออก ผ่านคำสั่งหัวหน้า คสช. ฉบับที่ 2/2560 ให้พื้นที่ภาคตะวันออก 3 จังหวัด ได้แก่ ฉะเชิงเทรา ชลบุรี และระยอง เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ
“ยุค คสช. มีการผลักดันกฎหมายเยอะมาก และขณะนั้นพี่น้องภาคตะวันออกก็ไม่ได้อยู่นิ่ง ออกเรียกร้องเช่นกัน แต่เสียงของประชาชนกลับไม่ได้ถูกให้ความสำคัญ”
สุภาภรณ์ มาลัยลอย

ผู้จัดการ EnLAW อธิบายด้วยว่า ในรัฐธรรมนูญ 2560 ได้นำเรื่องยุทธศาสตร์ชาติ ระบุไว้อย่างชัดเจน จึงทำให้แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาตินี้ กลายเป็นกรอบบังคับรัฐบาลทุกชุดในการจัดทำงบประมาณและแผนพัฒนาที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ หากไม่สอดคล้องก็เสี่ยงจะไม่ได้รับงบประมาณ ซึ่ง “เป็นล็อกที่ใหญ่มาก ที่ทำให้แนวคิดการพัฒนาในรูปแบบเขตเศรษฐกิจพิเศษยังคงเดินหน้าต่อไปอย่างต่อเนื่อง”
โดยเฉพาะในแง่อำนาจการจัดการทรัพยากรและการพัฒนาที่อยู่ในมือส่วนกลาง เช่น กรณีคณะกรรมการเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ที่มีอำนาจบริหารจัดการรวมถึงการเปลี่ยนผังเมืองตามแผนพัฒนาของคณะกรรมการ EEC และที่กำลังเกิดขึ้นในภาคใต้กับคณะกรรมการ SEC ที่จะเข้าไปบริหารจัดการพื้นที่ 4 จังหวัดโดยแทบไม่มีส่วนร่วมจากประชาชนในพื้นที่
“เสมือนว่าในพื้นที่ไม่มีคนและไม่มีฐานทรัพยากร เราวาดภาพอะไรก็ได้ ซึ่งมันไม่ใช่กับการพัฒนาประเทศ”
สุภาภรณ์ มาลัยลอย
สำหรับทางออกที่สำคัญ คือ การกระจายอำนาจให้ท้องถิ่นจัดการในพื้นที่ตัวเอง ทั้งเรื่องการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และการให้ประชาชนมีส่วนร่วมกับรัฐในการกำหนดทิศทางการพัฒนาของจังหวัดหรือภูมิภาคภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ โดยใช้การประเมินของคนในพื้นที่จริง ๆ
“เราคิดว่าคนในพื้นที่ควรจะมีสิทธิ์เลือกว่าเขาอยากประกอบอาชีพอะไร เขาอยากพัฒนาไปทิศทางไหน เหมือนหลาย ๆ จังหวัด เรียกร้องเรื่องผู้ว่าฯ เลือกตั้งผู้ว่าฯ หรือว่าจังหวัดจัดการตัวเองอะไรอย่างนี้”
สุภาภรณ์ มาลัยลอย
เมื่อมองไปที่ทางออกทั้งระยะสั้น และระยะยาว ผู้จัดการ EnLAW ยอมรับว่า จำเป็นต้อง เขียนรัฐธรรมนูญใหม่ในมิติกรอบการพัฒนาที่ต้องกระจายอำนาจ ไม่ใช่ให้ส่วนกลางเป็นคนเขียนแผนในการพัฒนา แต่ระยะสั้น ต้องมีการทบทวนแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ที่เน้นเขตเศรษฐกิจพิเศษเป็นจุดแข่งขันระหว่างประเทศเพียงอย่างเดียว เป็นสิ่งที่สามารถทำได้
“การแข่งขันในระหว่างประเทศ ไม่ใช่เขตเศรษฐกิจพิเศษที่จะเป็นจุดที่แข่งขันอย่างเดียว การพัฒนาภายใต้ฐานทรัพยากรที่มันมีคุณค่ามีความสำคัญ ก็สามารถแข่งขันในระหว่างประเทศได้ เช่น การเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สมบูรณ์ การมีระบบนิเวศที่สมบูรณ์ มีแหล่งอาหารที่ปลอดภัย ก็เป็นจุดแข็งในการแข่งขันระหว่างประเทศได้”
สุภาภรณ์ มาลัยลอย
หากการพัฒนาเป็นไปในรูปแบบดังกล่าว อาจจะไม่ใช่เม็ดเงิน GDP ที่รัฐมอง แต่คือเม็ดเงินที่กระจายสู่คนในพื้นที่ ซึ่งจุดนี้เป็นจุดหนึ่งที่รัฐต้องทบทวน
อย่างไรก็ตาม ผู้จัดการ EnLAW มองว่า ที่ผ่านมาไม่เห็นความจริงใจในการแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคการเมืองใด ๆ ที่ชัดเจน โดยเฉพาะพรรคการเมืองที่อยู่ฝ่ายรัฐบาล และปัญหาโครงสร้างอำนาจที่รวมศูนย์อยู่ส่วนกลาง เป็นส่วนสำคัญที่เห็นว่าการพัฒนาหรือว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญจำเป็นต้องมีเจตจำนงทางการเมืองที่จริงใจ
“เราเองก็ยังคาดหวัง คือยังเชื่อมั่นเรื่องระบอบประชาธิปไตย ประชาชนเองก็มีสิทธิในการที่จะเลือกผู้แทน แล้วก็เลือกนโยบายที่คิดว่ามันจะตอบโจทย์ในวันข้างหน้า เราก็คาดหวังได้น้อย กับรัฐบาลชุดนี้ เพราะเราก็ผลักดันมานาน ยังไม่เห็นการตอบรับใด ๆ”
สุภาภรณ์ มาลัยลอย
ถึงตรงนี้สำหรับคนที่เห็นด้วยกับการพัฒนาพื้นที่ในรูปแบบเขตเศรษฐกิจพิเศษ สุภาภรณ์ ฝากย้ำเตือนว่า “อยากให้คนที่เห็นด้วยลองไปดูพื้นที่ ไปดูศักยภาพพื้นที่ ไปกินทุเรียนที่อร่อยมาก ไปกินผลไม้ที่ยังไม่มีสารพิษ กินอาหารทะเลที่มันไม่มีสารปนเปื้อน นี่คือ ความสมบูรณ์ ความเรียบง่าย ความมีศักยภาพที่ดีของประเทศไทย ที่ทุกคนทั้งในไทยและต่างประเทศ ควรต้องดูแลรักษามันไว้”