Rain Bomb
น้ำท่วมใหญ่
โคลนถล่ม
ดินสไลด์
แผ่นดินไหว
ภัยแล้ง
ฝุ่นพิษ
..
ฯลฯ
ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เกิดจากความเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ที่เกิดถี่ขึ้นและรุนแรงขึ้นทุกปี ได้ขยายตัวจากภัยธรรมชาติกลายมาเป็นเหตุการณ์ฉุกเฉินหรือสถานการณ์วิกฤตที่กำลังบอกเราอย่างตรงไปตรงมาว่า ‘ภัยพิบัติ’ ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป
ท่ามกลางความเสี่ยงจากภัยพิบัติที่นับวันมีแต่จะถี่ขึ้น เร็วขึ้น และรุนแรงขึ้น แนวโน้มการ ย้ายเมืองหลวง ยังคงเป็นข้อถกเถียงสำคัญ และหากวันนั้นมาถึง เราได้เตรียมความพร้อมในเรื่องนี้ไว้แค่ไหน
อยู่หรือย้าย ‘ภัยพิบัติ’ ต้องรอด
ย้อนกลับไปในค่ำคืนของ วันที่ 9 ก.ย. 2567 มวลน้ำและโคลนเลนจากแม่น้ำแม่สายทะลักและท่วมบ้านเรือนโดยไม่มีสัญญาณแจ้งเตือน บ้านเรือนนับพันหลังคาเรือน และผืนดินค่อย ๆ เลือนหายกลายเป็นผืนเดียวกับผืนน้ำ สร้างความเสียหายในระดับรุนแรงทั่วทั้งเมืองในอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย
แม้ต่อมาระดับน้ำจะลดลง แต่สภาพบ้านเรือนส่วนใหญ่ที่จมอยู่ในโคลนแบบมิดหลังคา เรียกได้ว่าเสียหาย 100% และเหลือไว้เพียงร่องรอยพร้อมคราบน้ำตาของชาวบ้านที่แทบสิ้นเนื้อประดาตัวในคืนเดียว
เหตุการณ์นี้คือหนึ่งใน ‘ภัยพิบัติ’ ที่ย้ำเตือนให้เห็นถึงความรวดเร็วและรุนแรงของสถานการณ์จากวิกฤตโลกรวน ซึ่งมีสาเหตุหลักมาจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศและกิจกรรมของมนุษย์ที่เข้าไปกระตุ้นให้น้ำท่วม-น้ำหลากตามฤดูกาลกลายเป็นหายนะครั้งใหญ่
ผลที่ตามมาของหายนะครั้งนี้ กำลังทำให้ชาวแม่สายกว่า 1,500 หลังคาเรือน อาจต้องอพยพย้ายถิ่นฐานไปสู่พื้นที่ที่ปลอดภัยกว่าเดิม
“เหตุการณ์มวลน้ำและโคลนมหาศาลที่ถาโถมเข้ามาแบบฉับพลันเช่นปีที่ผ่านมา เป็นความไม่ปกติที่ไม่เคยพบเจอมาก่อน อีกทั้งยังเป็นภัยพิบัติที่มีรุนแรงและมีแนวโน้มเกิดขึ้นซ้ำ” ผศ.ธิดา ไชยปะ ผู้ช่วย ผอ.สถาบันนโยบายสาธารณะ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ผศ.ธิดา มีข้อสังเกตต่อปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ครั้งนี้ ว่าการเจอน้ำท่วมทุกปีของชุมชนแห่งนี้เป็นเรื่องปกติที่ชาวบ้านสามารถปรับตัวและรับมือได้ เพราะมีที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำสาย แต่เหตุการณ์ปีที่ผ่านมาไม่ใช่เรื่องปกติ ซึ่ง ผศ.ธิดา และทีมงานกำลังดำเนินโครงการวิจัยเพื่อระบุบริเวณ “พื้นที่เสี่ยง” ที่อาจต้องย้ายถิ่นฐานเนื่องจากผลกระทบจากภาวะโลกร้อน
มากไปกว่านั้น สำหรับที่มาที่ไปของโคลน มีข้อสันนิษฐานว่าเกิดจากการขุดเหมืองในฝั่งเมียนมาร์ เมื่อมีการเปิดหน้าดินกินพื้นที่ขนาดใหญ่และฝนตกหนัก น้ำจึงชะเอาโคลนมาด้วย พื้นที่นี้จึงไม่ปลอดภัยสำหรับการอยู่อาศัยอีกต่อไป ทำให้มีการวางแผนที่จะย้ายคนออกไป
อย่างไรก็ตาม การอพยพโยกย้ายผู้คนในเมืองแม่สายก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ผศ.ธิดา บอกว่า ด้วยความเป็นเมืองชายแดนที่มีประชากรกว่า 1,500 หลังคาเรือนใกล้แม่น้ำสาย ประชากรในแถบนั้นจึงไม่ใช่ประชากรสัญชาติไทยทั้งหมด ซึ่งมีบางส่วนมาจากฝั่งเพื่อนบ้านที่มาค้าขายและตั้งถิ่นฐาน คำถามก็คือการช่วยเหลือที่เกิดขึ้นจะรวมถึงพวกเขาด้วยหรือไม่
“ล่าสุด ทางผู้ว่าราชการจังวัดเชียงรายมีแผนแล้วว่าจะย้ายคนกลุ่มนี้ออก แต่ที่เป็นคำถามสำคัญแล้วยังตอบไม่ได้คือ ย้ายไปไหน เพราะคนเยอะมาก”
“หลักสิทธิมนุษยชนบอกว่าการให้ที่ดินทำกินใหม่กับประชากรที่ไม่ใช่คนไทยนั้นทำได้และควรทำ แล้วหลักความเป็นภาครัฐไทยที่มีความรับผิดชอบต่อพลเมืองไทย ที่ต้องใช้ภาษีไทยในการดูเหล่านี้จะโอเคไหม ความยากมันอยู่ตรงนี้ด้วย”
ผศ.ธิดา ไชยปะ
ไม่ใช่แค่แม่สายเพียงเมืองเดียวที่เผชิญภัยพิบัติทางธรรมชาติและต้องอพยพพลัดถิ่นประเทศไทย ยังมีเหตุการณ์มหาอุทกภัยในปี 2554 ซึ่งเป็นการพลัดถิ่นครั้งใหญ่ ที่พุ่งไปมากกว่า 1,600,000 ครั้ง เพราะไม่ว่าบางคนจะย้ายไปไหน น้ำก็ตามไปท่วมจนต้องย้ายหนีครั้งแล้วครั้งเล่า แสดงให้เห็นถึงความเปราะบางของสังคมและความท้าทายในการจัดการภัยพิบัติเชิงนโยบาย

อย่างไรก็ตาม ผศ.ธิดา บอกว่า เฉพาะการเจอภัยพิบัติอย่างน้ำท่วมหรือภัยแล้ง ไม่ได้ทำให้คนถูกบังคับพลัดถิ่นจากพื้นที่โดยตัวมันเอง เพราะการที่ผู้คนจะถูกบังคับพลัดถิ่นได้ต้องมีองค์ประกอบ 3 อย่างซ้อนทับกัน
- การเป็นพื้นที่เกิดภัยพิบัติ
- ผู้คนหรือชุมชนเป็นกลุ่มเปราะบาง มีศักยภาพในการปรับตัวน้อย
- อยู่ใกล้ความเสี่ยงมาก
เมื่อครบทั้ง 3 องค์ประกอบ จะนำไปสู่การบังคับพลัดถิ่น ซึ่งเป็นความท้าทายของภาครัฐว่าจะสามารถออกนโยบายแก้ไขปัญหาการถูกบังคับพลัดถิ่นของผู้คนได้อย่างไร เพราะก่อนหน้านี้เราแทบไม่รู้เลยว่าตรงไหนในประเทศไทยเป็นพื้นที่เสี่ยงหรือพื้นที่ปลอดภัย ซึ่งความไม่รู้และคาดการณ์ไม่ได้นี้ หมายถึงความสูญเสียซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ดังเช่นเหตุการณ์ในพื้นที่บ้านน้ำก้อ อำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ ในวันที่ 11 ส.ค. 2544 ขณะที่ชาวบ้านกำลังนอนหลับใหลท่ามกลางสายฝนที่ตกหนักราวกับฟ้ารั่ว จนดินอุ้มน้ำไม่ไหว เกิดกระแสน้ำป่าไหลหลากที่พัดมาทั้งดินโคลนและซากต้นไม้ถาโถมเข้าใส่หมู่บ้านซึ่งตั้งอยู่เชิงเขา จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตมากถึง 136 ราย ซึ่งถือเป็นเหตุการณ์แรก ๆ ที่ทำให้สังคมไทยตระหนักถึงพื้นที่เสี่ยงในการตั้งถิ่นฐาน
อีกหนึ่งเหตุการณ์ดินถล่มที่รุนแรงไม่แพ้กัน คือที่หมู่บ้านห้วยขาบ อำเภอบ่อเกลือ จังหวัดน่าน ในวันที่ 28 ก.ค. 2561 ทำให้มีผู้เสียชีวิต 8 ราย นำไปสู่การตัดสินใจย้ายหมู่บ้านกว่า 250 ชีวิต หรือ 60 ครัวเรือน ไปตั้งถิ่นฐานในสถานที่ใหม่
สิ่งที่น่าสนใจไปมากกว่านั้น คือ ปัจจุบันมีหมู่บ้านมากถึง 25,000 หมู่บ้านทั่วประเทศ ที่เสี่ยงต่อน้ำท่วม ดินถล่ม หรือภัยพิบัติซ้ำในรูปแบบต่างๆ จากภาวะโลกรวน
“คำถามก็คือเรามีแผนในเรื่องนี้อย่างไร”
ผศ.ธิดา ชี้ชัดว่าเมื่อเกิดภัยพิบัติครั้งใด รัฐบาลจะมุ่งเน้นสรรพกำลังและงบประมาณไปที่มาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยและมาตรการการฟื้นฟูเยียวยา ที่ใช้งบประมาณเยอะมาก
เฉพาะปี 2567 รัฐบาลทุ่มงบเยียวยาไปแล้ว 8,045 ล้านบาท และในปี 2568 ได้อนุมัติเพิ่มอีก 781 ล้านบาท สำหรับเยียวยาครัวเรือนอุทกภัยปี 2567 นี่คือตัวเลขที่สะท้อนภาระงบประมาณที่ประเทศไทยต้องแบกรับเพื่อไล่ตามเยียวยาและฟื้นฟูหลังเกิดภัยพิบัติที่รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ

“สูญเสีย”
แต่ความสูญเสียจากภัยพิบัติไม่ได้สูญเสียแค่ในทางงบประมาณ เพราะยังมีเรื่องที่เสียไปแล้วเอาคืนมาไม่ได้ เช่น ชีวิตคนหรือสภาวะจิตใจของผู้คนที่เจอผลกระทบ บางคนสูญเสียญาติ บางคนสูญเสียคนรัก และต้องอยู่กับความรู้สึกนี้ไปทั้งชีวิต นี่คือความเสียหายที่ไม่อาจประเมินค่าได้
ทั้งนี้ มิติที่ยังเกิดขึ้นน้อยเกินไปสำหรับการรับมือภัยพิบัติ คือมาตรการป้องกันก่อนเกิดภัยพิบัติ เพราะถือเป็นนโยบายเชิงรุกเพื่อให้เกิดการสูญเสียน้อยที่สุด แต่เราก็ยังไม่มีทั้งกฎหมายว่าด้วยการรองรับการย้ายถิ่น ไม่มีทั้งแผนการย้ายผู้คนกลุ่มเสี่ยงออกจากพื้นที่เสี่ยงก่อนที่จะเกิดภัยพิบัติ หรือที่เรียกว่า Plan Relocation
ในสถานการณ์ที่โลกต้องเผชิญกับภาวะโลกรวน หลายประเทศมีกลไกเหล่านี้เพื่อป้องกันและรับมือกับภัยพิบัติ อย่างในประเทศเพื่อนบ้าน เช่น เวียดนาม มีทั้ง Plan Relocation และกฎหมายรองรับการย้ายถิ่น เพื่อให้สามารถย้ายกลุ่มเสี่ยงออกจากพื้นที่เสี่ยงก่อนเกิดภัยพิบัติได้ทันที แต่สำหรับไทยไทยยังไม่มีสิ่งเหล่านี้
GIS Map เพื่อการป้องกันภัยพิบัติเชิงรุก
แม้ในตอนนี้เรายังไม่มีมาตรการป้องกันก่อนเกิดภัยพิบัติ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าหลายฝ่ายจะนิ่งเฉย ยังมีความพยายามในขับเคลื่อนของสถาบันนโยบายสาธารณะ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และ ผศ.บัณฑูร พานแก้ว คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยร่วมมือกับศูนย์ดาวเทียมแห่งสหประชาชาติ หรือ UNOSAT ในการสร้าง “GIS Map” แผนที่ในการเช็กพื้นที่เสี่ยง เพื่อเปลี่ยนการตั้งรับ รับมือภัยพิบัติ เป็นการรุก พยากรณ์ เพื่อป้องกันภัยที่จะเกิดขึ้น
GIS Map เป็นการนำเอาปัจจัยความเสี่ยง 80 ตัวแปร และความเปราะบางทางเศรษฐกิจมาซ้อนทับกันผ่านแผนที่ดาวเทียมเพื่อเป็นฐานข้อมูลทางวิทยาศาสตร์โดยมีเป้าหมายในการคาดการณ์พื้นที่เสี่ยงล่วงหน้าไปจนถึงปี 2643 หรือ 75 ปีข้างหน้า เพื่อเป็นข้อมูลให้รัฐสามารถออกแบบแผนการป้องกันภัยพิบัติในระยะยาวได้
Khaled Mashfiq ผู้ประสานงานภาค จากศูนย์ดาวเทียมแห่งสหประชาชาติ UNOSAT กล่าวว่า ขณะนี้โครงการอยู่ในช่วงของการวิเคราะห์ซึ่ง UNOSAT คาดหวังว่าหากได้ข้อมูลที่สมบูรณ์แล้ว จะนำไปให้ผู้มีอำนาจในการตัดสินใจได้นำไปใช้ เพราะจะช่วยให้เห็นว่าพื้นที่ไหนเป็นอย่างไร ตรงไหนเสี่ยงสุด หรือตรงไหนที่อพยพไปแล้วจะสามารถยืนยันได้ว่ามีความปลอดภัย ตั้งถิ่นฐานได้ในระยะยาว

ขณะที่ ผศ.บัณฑูร มองว่า ข้อมูลชุดนี้จะมีส่วนช่วยอย่างมาก หากจำเป็นต้องมีการอพยพคนออกจากพื้นที่อาศัยเดิม เพราะเอาเข้าจริงแล้วทั้งภาครัฐและประชาชนยังมองการย้ายถิ่นในแง่ลบหรือมองว่าเป็นความล้มเหลว ไม่ได้มองว่าเป็นหนึ่งในตัวเลือกในการปรับตัวที่ถูกต้อง แต่หากประชาชนได้รู้ข้อมูลที่ชัดเจนว่าเขาจะไปอยู่ตรงไหน มีความมั่นใจ การโยกย้ายก็จะเกิดขึ้นได้ง่ายขึ้น
“ที่ผ่านมา ในเชิงประวัติศาสตร์ของการโยกย้ายของบ้านเราเป็นลักษณะเชิงลบ อย่างการอพยพย้ายคนออกจากพื้นที่ที่มีการทำเมกกะโปรเจ็ก โครงการขนาดใหญ่ ทำเขื่อน การประกาศเป็นเขตอนุรักษ์ แล้วย้ายคนออกมา จึงทำให้ประชาชนที่จะถูกย้ายจะมีความรู้สึ ไม่ดีต่อการถูกย้าย”
“เราต้องเปลี่ยนความคิดชุดนี้ใหม่ ให้มองการปรับตัว การถอย อพยพ เป็นส่วนหนึ่งของแผนในการปรับตัว ภาครัฐต้องเห็นตรงนี้ก่อน”
ผศ.บัณฑูร พานแก้ว
ผศ.บัณฑูร ได้ยกตัวอย่างกรณีจากอเมริกา ซึ่งใช้การอพยพโยกย้ายด้วยวิธีการแลกเปลี่ยนพื้นที่ เมื่อพื้นที่เดิมรัฐและชุมชนมองตรงกันว่าไม่เหมาะสมแก่การอยู่อาศัยอีกต่อไปแล้ว รัฐจึงหาพื้นที่ใหม่มาแลกเปลี่ยนกันให้คนย้ายไปอยู่ ส่วนพื้นที่เดิมถูกทำเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำเพื่อเป็นพื้นที่อนุรักษ์แทน โดยไม่มีการเอาไปให้นายทุนคนใหม่ ไม่มีการเอาไปพัฒนาเพื่อทำธุรกิจ แต่คือการสลับพื้นที่หนึ่งกับอีกพื้นที่หนึ่งเพื่อแลกเปลี่ยนวัตถุประสงค์การใช้งาน
โมเดลนี้อาจนำมาใช้ได้ในประเทศไทยได้ โดยเขตอนุรักษ์อาจสลับให้คนไปอาศัย ขณะที่บ้านคนอาจกลายเป็นเขตอนุรักษ์ แผนที่ในอนาคตอาจเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิงเพื่อความอยู่รอด ซึ่งนี่คือเป็นความท้าทายที่ทุกฝ่ายยังคงต้องหาคำตอบร่วมกัน

“เราอาจจะต้องไปสำรวจความคิดเห็นว่าสิ่งที่เขาอยากย้ายคืออะไร ซึ่งจะเป็นตัวแปรปลายทางของเราว่าการลงพื้นที่ ลงไปคุยกับชาวบ้าน จะถูกนำมาใช้ในการสร้างแผนที่ว่าพื้นที่ใดจะเป็นพื้นที่เหมาะสมที่ชาวบ้านควรจะย้ายไปอยู่ ซึ่งมีหลายตัวแปรมาก เช่น เหมาะกับวัฒนธรรมอาชีพของเขาไหม ต้องไม่ห่างไกลพื้นที่เดิมมากนัก เพื่อที่จะทำให้ไม่ต้องย้ายข้ามจังหวัด”
ผศ.บัณฑูร พานแก้ว
การจูงใจให้คนไทยเปลี่ยนความคิดเรื่องการย้ายถิ่นฐานเป็นส่วนหนึ่งของการปรับตัวยังคงเป็นโจทย์ที่ยาก แม้ในขณะนี้ เราอาจมีทฤษฎีในใจว่า คนเจอภัยพิบัติรุนแรงหรือมีการสูญเสียจะต้องคิดย้ายจากที่เดิมแน่นอนเพราะรู้สึกเสี่ยงไม่ปลอดภัย แต่ความจริงอาจไม่เป็นเช่นนั้น
อำเภอแม่สาย และอำเภอเวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงราย
อำเภอสารภี และคลองแม่ข่า จังหวัดเชียงใหม่
หมู่บ้านห้วยขาบ อำเภอบ่อเกลือ จังหวัดน่าน
อำเภอชะอวด จังหวัดนครศรีธรรมราช
เหล่านี้ คือ ข้อมูลงานศึกษาวิจัยพื้นที่ชุมชนที่เพิ่งประสบภัยพิบัติน้ำท่วมใหญ่ ซึ่งสะท้อนตรงกันว่าผู้คนที่ไม่ต้องการย้ายมีจำนวนมาจนน่าตกใจ
อย่างไรก็ตาม ในพื้นที่หมู่บ้านห้วยขาบ อำเภอบ่อเกลือ จังหวัดน่าน ผู้ใหญ่บ้านได้ให้เหตุผลกับชุมชนว่าการย้ายไปทั้งหมู่บ้านจะทำให้มีพลังในการต่อรองการรับความช่วยเหลือจากภาครัฐและภาคส่วนอื่นได้มากกว่าย้ายไปแค่บางหลัง และจะทำให้เกิดความต่อเนื่องของอัตลักษณ์ เพราะที่หมู่บ้านห้วยขาบเป็นชาติพันธุ์ลั๊วะ ทุกคนเป็นเครือญาติกัน หากย้ายไปพร้อมกัน ความเป็นชุมชนก็จะรักษาไว้ได้
“อะไรคือสาเหตุที่เขาไม่รู้สึกอยากย้าย ย้ายแล้วไปไหน นี่เป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง แล้วที่ดินทำกินเก่าจะเป็นยังไง ต่อมาคือคุณค่าการรับรู้ เพราะบางคนมองว่าน้ำท่วมเป็นภัยชั่วคราว ปีหน้าอาจจะดี ก็มีความหวังที่จะอยู่ต่อ สุดท้ายที่ยากมากคือความรู้สึกผูกพันกับถิ่นฐานบ้านเกิดหรือแม้กระทั่งเรื่องเล่าที่เกี่ยวกับความเชื่อดั้งเดิม เช่น การนับถือปู่ย่าสำหรับชาติพันธุ์ เขารู้สึกว่าที่นี่คือที่ดินของบรรพบุรุษถ้าเขาย้ายไปอาจไปละเมิดทำให้ผีปู่ย่าไม่พอใจ ความเชื่อเหล่านี้มันพันคนให้อยู่กับที่ทำให้ไม่สามารถย้ายได้ง่าย ๆ”
ผศ.ธิดา ไชยปะ
สู้หรือย้าย ในวันที่ ‘กรุงเทพฯ’ กลายเป็นเมืองจมน้ำ ?
กรุงเทพมหานคร เป็นอีกหนึ่งพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูง และทุกครั้งที่ภัยพิบัติขนาดใหญ่เกิดขึ้น หนึ่งคำถามที่มักตามมาเสมอก็คือ ถึงเวลาย้ายเมืองหลวงแล้วหรือยัง
ถึงเวลาย้ายเมืองหลวงแล้วหรือยัง
ปัจจุบันกรุงเทพมีประชากรมากว่า 5 ล้านคน แต่มีประชากรแฝงมากเกือบเท่าตัวหรืออาจสูงถึง 10 ล้านคน บนขนาดพื้นที่ประมาณ 1,500 ตารางกิโลเมตร ซึ่งถือว่าค่อนข้างเล็ก แต่ความหนาแน่นนี้ สะท้อนถึงความเป็นเมืองมหานคร ศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและโอกาสแทบในทุกด้าน
แต่หลายปีมานี้ กรุงเทพมหานครถูกท้าทายด้วยภัยพิบัติอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นมหาอุทุกภัยในปี 2554 โควิด 19 หรือแม้กระทั่งแผ่นดินไหวที่สร้างความโกลาหลไปทั้งกรุงเทพ
ผศ.กานต์รวี วิชัยปะ นักวิชาการคณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ บอกว่า กรุงเทพมหานครเป็นเมืองที่มีความเสี่ยงในหลายมิติ เช่น น้ำท่วม ที่เกิดถี่และรุนแรง มีภาวะฝนสุดขั้ว ถือเป็นเรื่องใหญ่ที่สุดของกรุงเทพ
ประการต่อมา คือ กรุงเทพมหานครเป็นเมืองที่มีเกาะความร้อนที่รุนแรงที่สุดในภูมิภาค โดยเฉพาะเขตปทุมวัน บางรัก และราชเทวี ร้อนมากกว่าพื้นที่รอบนอกถึง 2.8 องศา ยิ่งหน้าร้อนอุณหภูมิอาจเพิ่มสูงขึ้นได้อีกประมาณ 6-7 องศา
ส่วนภัยอื่น ๆ ก็ยังมีความเสี่ยงเกิดขึ้นได้ตลอด เช่น แผ่นดินไหว ฝุ่นพิษ รวมถึงโรคระบาดต่าง ๆ อย่างโควิดที่ทำให้เห็นว่าความหนาแน่นของเมืองก็กลายเป็นความเสี่ยงรูปแบบหนึ่ง ขณะที่ความเปราะบาง น่าจะเป็นเรื่องที่เจ็บปวดสำหรับคนเมืองโดยเฉพาะคนจนคือผู้โดนผลกระทบหนักที่สุด ในวันที่กรุงเทพกำลังกลายเกาะความร้อน
ช่วงร้อนที่สุด อุณหภูมิอาจพุ่งประมาณ 38-40 องศา เรามีเด็กมากถึง 880,000 คน และผู้สูงอายุประมาณ 1 ล้านคน อยู่ในพื้นที่บ้านแคบ ๆ ชั้นเดียว หลังคามุงสังกะสี ไม่มีแอร์ จนเหมือนพวกเขากำลังอยู่ในห้องอบตลอดเวลาและคลื่นความร้อนแบบนี้สามารถนำไปสู่การเสียชีวิตได้
นอกจากนั้น หากลองไปสำรวจดูพื้นที่สีเขียว จะพบว่า กรุงเทพมหานครมีพื้นที่สีเขียวเพียง 3 ตารางกิโลเมตรต่อคน ซึ่งถือว่าน้อยที่สุดในเอเชีย ในขณะที่ WHO บอกว่าพื้นที่ที่เหมาะสมควรจะมี 9 ตารางกิโลเมตรต่อคน เรียกได้ว่า ตกมาตรฐานไป 3 เท่าเลยทีเดียว
ไม่เพียงเท่านั้น กรุงเทพมหานครยังอยู่บนความล่อแหลม อย่างเรื่อง ภูมิศาสตร์ ในลักษณะเป็นที่ราบลุ่มรับน้ำ ดินเป็นดินเหนียวอ่อน และอยู่ใกล้ทะเล ขณะเดียวกัน เมื่อเราพยายามขยายเมืองให้มากขึ้น มีการก่อสร้างมากขึ้น กิจกรรมเหล่านี้ยิ่งทำให้เมืองมีความล่อแหลมมากขึ้น
“ตอนนี้กรุงเทพมหานครทรุดตัวปีละ 1-2 เซนติเมตร ในขณะที่น้ำทะเลสูงขึ้น 3-5 มิลลิเมตรทุกปี ถ้าเปรียบเทียบเหมือนเราอยู่ในเรือที่มันรั่วแล้วเรากำลังจะจมลง สองเราอยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลแค่ 1.5 เมตรเท่านั้น เราเหมือนยืนอยู่ริมทะเลแล้วน้ำมันอยู่ที่เข่าเราแล้ว”
ผศ.กานต์รวี วิชัยปะ

ท่ามกลางความเสี่ยง ความเปราะบาง และความล่อแหลม ผศ.กานต์รวี กล่าวว่า ความจริงแล้วกรุงเทพมหานครได้ดำเนินการเพื่อเตรียมรับมือไว้หลายอย่าง เช่น แผนพื้นที่ความเสี่ยงหรือ Risk Map ที่สามารถให้ข้อมูลได้ว่าเรากำลังอยู่ในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงแบบใด, มีระบบตรวจจับแผ่นดินไหวแบบเรียลไทม์ ติดตั้งที่ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร, การควบคุมระบบน้ำอัจฉริยะที่ใช้เอไอมาช่วยในการระบายน้ำ,ระบบเฝ้าระวัง PM.2.5 ติดตั้งใน 71 จุด, แผนการเพิ่มพื้นที่สีเขียว ลดฝุ่น และลดความร้อน จุดพักน้ำดื่มในพื้นที่สาธารณะ
แต่สิ่งเหล่านี้อาจยังไม่พอและไม่ทันต่อปัญหา โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่สร้างผลกระทบรวดเร็วและรุนแรง ซึ่งเป็นสิ่งที่เราต้องตั้งคำถามว่า กรุงเทพมหานครควรจะเลือกแนวทางใด
- สู้ต่อและลงทุนเพิ่มศักยภาพของเมือง ในการรับมือภัยพิบัติทุกรูปแบบให้มากขึ้น
- การเตรียมมองหาสถานที่ใหม่เพื่ออพยพย้ายเมือง
ตัวอย่างเมืองที่จัดการปัญหาในทั้งสองรูปแบบ ซึ่งมีทั้งจุดอ่อนและจุดแข็งแตกต่างกันไป ในกรณีปรับตัวให้ยืดหยุ่น แล้วอยู่ต่อ ผศ.กานต์รวี ยกตัวอย่างความสำเร็จของ อินเดีย ในการสู้กับคลื่นความร้อนรุนแรงที่สุดในโลก โดยมาตรการเหล่านี้ได้ถูกใช้ในเมืองใหญ่อย่าง อามาดาบัด และ พารานาสี และได้ผลเป็นอย่างดี
- เครื่องมือสำคัญที่นำมาใช้คือ Heat Action Plans เช่น การแจ้งเตือนภัยล่วงหน้า การจัดศูนย์พักร้อน หรือ cooling centers การจัดน้ำดื่มในที่สาธารณะ การให้ความรู้แก่ชุมชนในพื้นที่เสี่ยงสูง
- การออกแบบเมืองและอาคารในโครงการ “Cool Roofs” ส่งเสริมให้บ้านเรือน โดยเฉพาะในชุมชนรายได้น้อย ใช้วัสดุและสีที่สะท้อนแสงเพื่อลดการกักเก็บความร้อนในอาคาร ซึ่งช่วยลดอุณหภูมิภายในบ้านลงหลายองศา
ส่วนการย้ายเมืองหลวงของประเทศก็ไม่ใช่แนวคิดใหม่ หากแต่เป็นกลยุทธ์เชิงยุทธศาสตร์ที่หลายประเทศในโลก ใช้เพื่อจัดการปัญหาเมืองเดิม เช่น ความแออัด มลพิษ ความเปราะบางต่อภัยธรรมชาติ และความเหลื่อมล้ำของการพัฒนา ซึ่งในอาเซียนมีตัวอย่างให้เห็น เช่น
เมียนมา ย้ายเมืองหลวงย่างกุ้งไปเนปิดอว์ ที่ถึงแม้จะสำเร็จตามเป้าหมาย แต่ปัญหาที่ตามมาคือเมืองย้ายแต่คนไม่ย้ายตาม โดยส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะเหตุผลในการย้ายมาจากมูลเหตุด้านความมั่นคงมากกว่าเพื่อรับมือภัยพิบัติหรือความเหมาะสมอื่น ๆ
มาเลเซีย เลือกที่จะย้ายเฉพาะศูนย์ราชการจากกัวลาลัมเปอร์ ไปปุตราจายา เพื่อลดความแออัดของกัวลาลัมเปอร์ โดยออกแบบเน้นการมีพื้นที่สีเขียว สวนสาธารณะ
ขณะที่ อินโดนีเซีย กำลังอยู่ในกระบวนการย้ายเมืองหลวงจากจาการ์ตาไปนูซันตารา ด้วยเหตุผลที่มีปัญหาคล้ายกรุงเทพ ไม่ว่าจะเป็นดินทรุดตัวเร็วมาก น้ำทะเลหนุนสูง น้ำท่วมบ่อย มีความแออัดมากโดยเฉพาะการจราจร มีมลพิษทางอากาศ
การย้ายเมืองหลวงของอินโดนีเซีย ใช้วิธีการย้ายเมืองจากเกาะชวาไปเกาะบอร์เนียวเพื่อกระจายการพัฒนา โดยออกแบบเป็นเมืองป่า เน้นไปที่พื้นที่สีเขียว 65 % เพื่อให้เป็นเมืองซับน้ำ อย่างไรก็ตาม โครงการนี้ยังต้องใช้เวลาอีกนาน คาดว่ากว่าจะย้ายได้หมดเกือบ 30 ปี
เมื่อเปรียบเทียบทั้ง 2 แนวทาง การปรับตัวแบบยืดหยุ่นเพื่อสู้ต่อแบบอินเดียใช้งบประมาณที่น้อยกว่าการย้ายและเห็นผลลัพธ์เร็วกว่า แต่ข้อเสียคือปัญหาบางอย่างยังคงอยู่ เช่น อาจแก้ปัญหาเรื่องร้อนได้ แต่ยังไม่ได้แก้ปัญหาเรื่องดินทรุด นอกจากนี้ ยังมีความเสี่ยงเรื่องความต่อเนื่องที่อาจทำได้ไม่ตลอด และหากเจอผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่มาเร็วกว่าที่คาดก็อาจรับมือได้ไม่ทัน
ส่วนข้อดีของการย้ายเมือง คือออกแบบใหม่ได้ทั้งหมด รองรับได้ทุกความเสี่ยงรวมถึงสภาพภูมิอากาศ กระจายการพัฒนา ลดความเหลื่อมล้ำ แต่ข้อเสียคือต้องลงทุนมหาศาลและมีกระบวนการที่ใช้เวลานาน
สำหรับกรุงเทพ ผศ.กานต์รวี มองว่าสามารถใช้ทั้ง 2 แนวทางร่วมกัน โดยแบ่งเป็นระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว อาจมีบางส่วนที่อยู่ต่อและบางส่วนจำเป็นต้องย้ายจริง ๆ
ส่วนที่ต้องปรับตัวเพื่อสู้ต่อแบบอินเดียและสามารถทำได้เลย คือการป้องกันน้ำท่วมเชิงรุก เช่น สร้างแบริเออป้องกันน้ำท่วมเข้ามาในชายฝั่ง ทำเมืองลดความร้อนบบอินเดีย เช่น สร้างที่อยู่ด้วยผนังไม่อมความร้อนให้กลุ่มเปราะบาง ปรับปรุงระบบระบายน้ำให้รองรับ Rain Bomb รวมไปถึงการเสริมโครงสร้างอาคารเก่าให้รองรับแผ่นดินไหว
ส่วนใน ระยะ 5-10 ปี อาจใช้แนวทางแบบมาเลเซีย โดยย้ายหน่วยราชการบางหน่วย สถานศึกษา โรงพยาบาลสำรอง ออกไปเพื่อความแแออัด แต่สิ่งที่ต้องอยู่กับกรุงเทพคือศูนย์กลางการเงินและเศรษฐกิจ ท่าเรือ และระบบโลจิสติกส์ต่าง ๆ
สำหรับในระยะยาว 10 – 20 ปี ข้างหน้า ซึ่งหมายความว่าต้องเริ่มตั้งแต่ตอนนี้คือการศึกษาความเป็นไปได้อย่างจริงจังในการย้ายเมือง สำรวจหาพื้นที่ที่เหมาะสม ประเมินต้นทุนและผลตอบแทน รวมถึงวิเคราะห์ด้านเศรษฐกิจสังคมร่วมกันไปด้วย แต่ที่สำคัญคือต้องมีแผนฉุกเฉิน หากเกิดวิกฤตการณ์มาเร็วกว่าที่เราคิด เช่น น้ำท่วมแบบปี 54 อีกครั้ง ต้องมีแผนรองรับ
นอกจากนี้ ไม่ว่าจะดำเนินการขั้นตอนใดต้องมีความโปร่งใส กระจายการตัดสินใจให้ทุกคนมีส่วนร่วม มีความยุติธรรม คนจนต้องไม่ถูกทิ้ง กลุ่มเปราะบางต้องได้รับการดูแล และสุดท้ายคือเรื่องของความยั่งยืน ต้องไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมคิดถึงคนรุ่นหลังให้มาก
“ทุกครั้งที่รัฐตัดสินใจ ต้องหันไปถามประชาชนและคนที่ได้รับผลกระทบในการตัดสินใจสักนิดนึง จะทำให้เรื่องของการตัดสินใจถูกยอมรับจริง ๆ และก่อนให้เขาตัดสินใจต้องบอกข้อมูลให้ชัดเจน อาจารย์เชื่อในความโปร่งใสของข้อมูล ประชาชนไม่ได้โง่ ดังนั้นการที่เราตัดสินใจร่วมกันก็จะมีความชอบธรรมให้สังคม”
ผศ.กานต์รวี วิชัยปะ
ไม่ว่าคำตอบสุดท้ายของไทยจะเป็น อยู่ต่ออย่างปรับตัว หรือ ย้ายออกเพื่อความอยู่รอด สิ่งสำคัญคือการพูดคุยกันบนพื้นฐานของข้อมูล และความร่วมมือหลายฝ่าย โดยเฉพาะประชาชนในพื้นที่ที่ไม่ใช่แค่รัฐหรือหน่วยงานที่ตัดสินใจแต่เพียงฝ่ายเดียว เพราะหากการตัดสินใจครั้งนี้เกิดขึ้นอย่างรีบร้อน ขาดการรับฟัง และไร้ความเข้าใจ ปัญหาการย้ายถิ่นจากภัยพิบัติอาจไม่ได้ถูกแก้ แต่จะทวีความซับซ้อนและบานปลายยิ่งกว่าเดิม และความจริงก็คือ เราไม่สามารถซื้อเวลาที่เหลือไว้ให้แก้ตัวอีกต่อไปแล้ว

