จาก ฝูงชนบ้าคลั่ง สู่ พลังการต่อรอง “Social Movement”

สังคมที่หลายคนปรารถนา คือ สังคมที่ไม่หยุดนิ่ง หากแต่ก้าวไปข้างหน้า พร้อมเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ และปรับตัวให้ทันต่อโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว 

หนึ่งในหัวใจสำคัญที่ทำให้สังคมไม่ถูกแช่แข็ง คือ “Social movement” หรือ “การเคลื่อนไหวทางสังคม” ซึ่งแม้จะไม่สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงได้ในชั่วข้ามคืน แต่ก็คือพลังที่ทำให้สังคมไม่ย่ำอยู่กับที่

การเคลื่อนไหวเหล่านี้จึงเป็นเหมือนกระจกสะท้อนความคาดหวังและความต้องการของผู้คนในสังคมไทย แต่หลายครั้งก็ฉายให้เห็นถึงความตื่นตัวหรือเพิกเฉยของคนในสังคมด้วยเช่นกัน

Social movement : จากฝูงชนบ้าคลั่ง สู่ การเรียกร้องสิทธิ์ของภาคประชาสังคม

Social movement ปรากฏครั้งแรกในโลกตะวันตก ตั้งแต่ช่วงศตวรรษที่ 18 หลังการปฏิวัติฝรั่งเศส ซึ่งเป็นช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางสังคมและสถาบันการเมืองครั้งใหญ่

หากลองคลี่ความหมายดั้งเดิมของ Social movement จะพบว่า คำนี้อาจไม่ได้ตั้งต้นด้วยความหมายของพลังมวลชนในเชิงบวกอย่างที่เข้าใจกันในวันนี้ เพราะครั้งหนึ่ง Social movement เคยถูกมองว่าเป็นการรวมตัวกันของ “ฝูงชนบ้าคลั่ง”

“งานวิชาการยุคแรก ๆ อย่าง “ทฤษฎีพฤติกรรมรวมหมู่” จะมองว่าสิ่งที่ทำให้คนก่อม็อบกันหรืออยู่บนท้องถนน เพราะคนเหล่านี้มีปัญหาทางจิตหรือจิตไม่ปกติ จากความเครียดบางอย่าง แล้วไม่มีที่ระบาย ทำให้ภาพของม็อบต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในโลกตะวันตกเปรียบเสมือนคนบ้าหรือฝูงชนบ้าคลั่ง”

วสุชน รักษ์ประชาไท อาจารย์ประจำสาขาวิชารัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช

วสุชน รักษ์ประชาไท อาจารย์ประจำสาขาวิชารัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช

วสุชน รักษ์ประชาไท อาจารย์ประจำสาขาวิชารัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ผู้ศึกษาเรื่องขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคม ทั้งในไทยและต่างประเทศเล่าที่มาความหมายของคำว่า Social Movement ในอดีต 

มาถึงช่วงศตวรรษที่ 21 เริ่มมีการศึกษาเกี่ยวกับ Social movement อย่างลงลึกมากขึ้น โดยวิเคราะห์ได้ว่า Social movement ต้องมี 3 องค์ประกอบหลัก

  • เป็นปฏิบัติการรวมหมู่ อาจมีการจัดตั้งเป็นองค์กร หรือเครือข่าย 
  • เป็นปฏิบัติการนอกพื้นที่การเมืองเชิงสถาบัน ไม่ถูกครอบงำโดยรัฐบาล พรรคการเมือง หรือหน่วยงานรัฐ หรือ ต้องเกิดจากภาคประชาสังคมเป็นหลัก
  • มีเป้าหมายเพื่อท้าทายหรือปกป้องโครงสร้างบางอย่างในสังคม โดยมีฝ่ายตรงข้ามคือ รัฐ ผู้มีอำนาจ ชนชั้นนำ รวมถึงต่อต้านความเชื่อ ค่านิยม ที่ขัดต่อจุดยืนของมวลชนที่กำลังเคลื่อนไหว

เมื่อยึดตามหลักการนี้แล้วก็จะสามารถจำแนกได้ว่า ขบวนการเคลื่อนไหวอะไรบ้างที่ไม่อาจถูกนับเป็น Social movement ตามความหมายนี้ ซึ่งตัวอย่างที่ชัดเจน เช่น กลุ่มที่ถูกจัดตั้งโดยรัฐอย่าง กลุ่มลูกเสือชาวบ้าน กลุ่มกระทิงแดงและนวพล ที่มีบทบาทเคลื่อนไหวอย่างสูง จนนำไปสู่เหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 

ในแง่นี้ “ภาคประชาสังคม” หรือ Civil Society จึงเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ขาดไม่ได้ของขบวนการเคลื่อนไหว ซึ่งกินความไปถึงกลุ่มองค์กรพัฒนาเอกชนต่าง ๆ หรือ NGO ที่เข้าไปทำงานทางความคิดกับภาคประชาชนอีกทอดหนึ่ง

Social movement ในปัจจุบันจึงเปลี่ยนคำจำกัดความไปได้อย่างหลากหลาย แต่เมื่อมองเป็นภาพโดยรวมแล้ว คำนี้จะหมายถึงปฏิบัติการของกลุ่มคนที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อต่อต้าน ท้าทาย หรือสร้างการเปลี่ยนแปลงในประเด็นต่าง ๆ ผ่านการประท้วง หรือการเรียกร้องต่อผู้มีอำนาจ

Social movement บนโลกออนไลน์ การขับเคลื่อนที่อาจได้ผลลัพธ์ดีกว่า

รูปแบบของ Social movement ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่การลงถนนหรือการปิดสถานที่ราชการเท่านั้น หากยังสามารถแสดงออกได้หลากหลายวิธีการอย่างสร้างสรรค์โดยไม่ก่อให้เกิดความสูญเสีย เช่น การแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ การเคลื่อนไหวบนโลกออนไลน์ หรือการใช้ #แฮชแท็ก เพื่อปลุกกระแสรณรงค์ในประเด็นต่าง ๆ

แนวโน้มที่เกิดขึ้นทั่วโลกต่างมุ่งไปสู่การเคลื่อนไหวในโลกออนไลน์ หลังจากที่โซเชียลมีเดียเข้ามามีบทบาทในชีวิตผู้คนอย่างเต็มรูปแบบ จากหลายปรากฏการณ์

  • อาหรับสปริง ในปี ค.ศ. 2010 ที่ประชาชนในกลุ่มประเทศอาหรับลุกฮือขึ้นต่อต้านผู้นำเผด็จการ 
  • พันธมิตรชานม ช่วงปี ค.ศ. 2020 จากการรวมตัวของนักศึกษาและคนรุ่นใหม่ในไทย ไต้หวัน และฮ่องกง ก่อนจะขยายตัวเป็นเครือข่ายข้ามพรมแดนไปยังอีกหลายประเทศในเอเชีย โดยใช้ “ชานม” เป็นสัญลักษณ์เพื่อต่อต้านอิทธิพลของจีน

อย่างไรก็ดี มีข้อสังเกตว่า รูปแบบการเคลื่อนไหวบนโลกออนไลน์อาจทำให้พลังการแสดงออกบนท้องถนนลดน้อยลงหรือไม่ แต่ในมุมมองของ วสุชน เมื่อชั่งน้ำหนักแล้ว โลกออนไลน์ยังคงให้ผลลัพธ์ในเชิงบวกมากกว่า เพราะสามารถหล่อหลอมสังคมให้เกิดความคิดความเชื่อร่วมกัน ผ่านเครื่องมือที่ทรงพลังอย่างโซเชียลมีเดีย และยิ่งเอื้อให้ผู้คนรวมตัวกันได้มากขึ้น

เพราะเป้าหมายสูงสุดของขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคม คือการผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางนโยบาย แต่หากเป้าหมายนั้นยังไม่บรรลุผล ไม่ได้รับการตอบสนอง หรือถูกสกัดกั้น ข้อเรียกร้องก็มีความเป็นไปได้ที่จะเคลื่อนจากโลกออนไลน์ไปสู่ท้องถนนในที่สุด และหากรัฐใช้ความรุนแรงเข้าปราบปราม ก็จะยิ่งทำให้ความชอบธรรมของรัฐถดถอยลง ขณะเดียวกันกลับยิ่งเพิ่มความชอบธรรมและทำให้ขบวนการเคลื่อนไหวเติบโตมากขึ้น ไม่ต่างจากดอกไม้ที่ถูกเด็ดทิ้งแต่กลับผลิบานต่อไป

“ในปัจจุบัน หลาย ๆ เหตุการณ์ เราย้ายการเมืองบนท้องถนนไปอยู่ในโลกออนไลน์ ซึ่งเราจะเห็นว่าการมีกระแสต่าง ๆ ในโลกออนไลน์ สามารถเปลี่ยนแปลงการเมือง หรือมีส่วนในการผลักดันนโยบายได้เช่นเดียวกัน”

วสุชน รักษ์ประชาไท อาจารย์ประจำสาขาวิชารัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช

นอกจากนี้ วสุชน ยังเสนอว่า หากยังเชื่อมั่นในระบอบประชาธิปไตย และยอมรับกติกา ข้อเรียกร้องของขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมควรถูกผลักดันและส่งต่อผ่านกลไกรัฐสภา ซึ่งเป็นทางออกสุดท้ายตามครรลองของประชาธิปไตย

พลังการขับเคลื่อนในประวัติศาสตร์ไทย

ในประเทศไทย ประวัติศาสตร์การเคลื่อนไหวทางสังคมปรากฏให้เห็นมาอย่างยาวนาน เริ่มตั้งแต่การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยในเหตุการณ์สำคัญ เช่น 14 ตุลาคม 2516, เหตุการณ์พฤษภาคม 2535 มาจนถึงขบวนการของคนรุ่นใหม่ในปี 2563 ขณะเดียวกันก็มีการขับเคลื่อนประเด็นสังคมที่ซับซ้อนและหลากหลายมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นสิทธิมนุษยชน สิ่งแวดล้อม ความเท่าเทียม หรือการเรียกร้องความยุติธรรมในหลายมิติ

นอกจากนี้ หากย้อนมองเหตุการณ์ต่าง ๆ ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา การต่อสู้ของชนชั้นล่างถือเป็นปรากฏการณ์หลักที่ดำเนินต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นม็อบชาวนา สมัชชาคนจน ขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม หรือ P-Move รวมถึงกลุ่มปกป้องทรัพยากรดิน น้ำ และป่า ที่สะท้อนให้เห็นว่าการเคลื่อนไหวทางสังคมในไทยมีรากฐานจากการเรียกร้องสิทธิขั้นพื้นฐานและความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจ-สังคม

เมื่อก้าวเข้าสู่ยุคปัจจุบัน การเคลื่อนไหวได้ขยายไปสู่ประเด็นที่หลากหลายมากขึ้น โดยหนึ่งในตัวอย่างสำคัญที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง คือ การเรียกร้องสิทธิของผู้มีความหลากหลายทางเพศ ที่สามารถผลักดันเข้าสู่นโยบายของพรรคการเมือง และนำไปสู่การตรากฎหมาย “สมรสเท่าเทียม” ได้สำเร็จ จากการทำงานร่วมกันของหลายเครือข่ายที่สร้างแคมเปญ รณรงค์ให้ความรู้ และค่อย ๆ ปรับเปลี่ยนทัศนคติของสังคม ผ่านกิจกรรมอย่าง Pride Month ขบวนพาเหรด และการสะท้อนผ่านอุตสาหกรรมบันเทิง

ในอีกด้านหนึ่ง กระแสการปกป้องสิทธิสตรีทั่วโลกก็ส่งอิทธิพลถึงไทยเช่นกัน เช่น การใช้แฮชแท็ก #MeToo บนโซเชียลมีเดีย ซึ่งได้เปิดพื้นที่ให้ผู้หญิงจำนวนมากกล้าเปิดเผยประสบการณ์การคุกคามทางเพศสู่สาธารณะ จนเกิดกระแสตอบรับกว้างขวาง และสร้างความเปลี่ยนแปลงในเชิงทัศนคติและมาตรการป้องกันที่เข้มแข็งมากขึ้น

นอกจากนี้ ขบวนการเคลื่อนไหวยังขยายเป็นการต่อสู้รายประเด็นที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้น อย่างการเคลื่อนไหวต่อต้านการคอร์รัปชัน ซึ่งเป็นปัญหาเรื้อรังของสังคมไทย ทำให้ภาคธุรกิจจับมือกันก่อตั้งองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (Anti-Corruption Organization of Thailand: ACT) เพื่อทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการประสานงานกับเครือข่ายต่าง ๆ ร่วมกันเฝ้าระวัง ติดตาม และตรวจสอบโครงการของทั้งภาครัฐและเอกชน

จากอดีตถึงปัจจุบัน เราได้เห็นการเคลื่อนไหวทางสังคมที่ปรับเปลี่ยนรูปแบบและวิธีการใหม่ ๆ อย่างน่าสนใจ จากการชุมนุมบนท้องถนน สู่การใช้พลังของโซเชียลมีเดีย ในการระดมพล ปลุกกระแส สร้างการรับรู้อย่างรวดเร็วและกว้างขวางซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงพลังของประชาชนที่ลุกขึ้นมาทวงถามสิทธิ ความเท่าเทียม และความเป็นธรรม ไม่ว่าจะในมิติการเมือง เศรษฐกิจ หรือสังคม โดยทั้งหมดนี้ล้วนเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ทำให้สังคมไทยก้าวต่อไปสู่ความเปลี่ยนแปลง

“ขบวนการแรงงาน” กำลังหนุนระบอบประชาธิปไตย

แม้ขั้วอำนาจทางสังคมจะถูกแบ่งโดยนักทฤษฎีด้านแรงงาน เป็น 3 กลุ่มหลัก คือ รัฐ ทุน และภาคประชาสังคม แต่จากการศึกษาของ ศักดินา ฉัตรกุล ณ อยุธยา นักวิชาการด้านแรงงาน ที่ปรึกษาสถาบันแรงงานและเศรษฐกิจที่เป็นธรรม พบว่า ภาคประชาสังคมอย่างขบวนการแรงงานเป็นกลไกสำคัญในการถ่วงดุล เพื่อรักษาผลประโยชน์ประชาชนไม่ให้รัฐตกอยู่ใต้อำนาจทุน และยังเป็นหนึ่งใน Social movement ที่มีส่วนช่วยขับเคลื่อนสังคม รวมถึงหนุนเสริมระบอบประชาธิปไตยมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน

หากมองกระบวนการขับเคลื่อนทางสังคมของต่างประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มประเทศนอร์ดิก ขบวนการแรงงานถือเป็นแกนหลักของ Social movement บนพื้นฐานแนวคิดสังคมนิยมประชาธิปไตย โดยมีอัตราการรวมกลุ่มของสหภาพแรงงานสูงที่สุดในโลก มีจำนวนสมาชิกตั้งแต่ร้อยละ 60-90 ของกำลังแรงงานทั้งหมด ซึ่งส่งผลให้มีอำนาจต่อรองสูง

เมื่อดูอัตราการรวมกลุ่มของสหภาพแรงงานในกลุ่มประเทศนอร์ดิก พบว่ามีตัวเลขที่น่าสนใจ

  • ไอซ์แลนด์ 90–92%
  • เดนมาร์ก 67–68%
  • สวีเดน 65–69%
  • ฟินแลนด์ 55–59%
  • นอร์เวย์ 50%

ตรงกันข้ามกับสหรัฐอเมริกาที่เน้นกลไกตลาดเสรี โดยสัดส่วนสมาชิกสหภาพแรงงานมีเพียงประมาณ 10% ของลูกจ้างทั้งหมด จำนวนนี้สะท้อนให้เห็นว่าสหรัฐอเมริกาให้ความสำคัญกับเสรีภาพส่วนบุคคลมากกว่าความเสมอภาคทางสังคม ซึ่งทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำสูง

“ในสังคมที่เป็นประชาธิปไตยเข้มแข็ง Social movement หรือภาคประชาสังคมต้องเข้มแข็ง ไม่งั้นทุนกับรัฐจะไปทางเดียวกัน แล้วคนส่วนใหญ่จะไม่ได้ประโยชน์จากตรงนี้”

ศักดินา ฉัตรกุล ณ อยุธยา ที่ปรึกษาสถาบันแรงงานและเศรษฐกิจที่เป็นธรรม

เมื่อหันกลับมามองที่ประเทศไทย พบว่าตัวเลขกลับต่ำกว่ามาก โดยมีสัดส่วนสมาชิกสหภาพแรงงานเพียง 1.3% ของแรงงานทั้งหมด หรือประมาณ 5 แสนคนจากแรงงานกว่า 40 ล้านคน จนกลายเป็นหนึ่งในประเทศที่รั้งท้ายของโลก และทำให้แรงงานไทยแทบไร้อำนาจต่อรอง

ศักดินา อธิบายว่า ภาคประชาสังคมไทยไม่เข้มแข็ง เนื่องจากวัฒนธรรมแบบอุปถัมภ์ที่ฝังรากลึก ที่คนบางส่วนไม่เชื่อในความเสมอภาคเท่าเทียมกัน และมักยอมรับการแบ่งชนชั้นสูงต่ำ ประกอบกับการอยู่ภายใต้เผด็จการที่ยาวนาน ขบวนการภาคประชาสังคมจึงไม่สามารถเติบโตได้เต็มที่

“ต้องบอกว่าภาคประชาสังคมหรือ Social movement ในประเทศไทยไม่ได้เข้มแข็ง เพราะว่าเราอยู่ในสังคมที่มีระบบวัฒนธรรมแบบอุปถัมภ์นิยม เราไม่เชื่อในความเสมอภาคเท่าเทียมกัน เราเชื่อว่าคนไม่เสมอกัน มีคนที่สูงกว่า มีคนที่ต่ำกว่า ในสังคมแบบนี้ภาคประชาสังคมจะไม่ค่อยเข้มแข็ง และเราก็ตกอยู่ภายใต้รัฐบาลที่เป็นเผด็จการที่ยาวนาน”

ศักดินา ฉัตรกุล ณ อยุธยา ที่ปรึกษาสถาบันแรงงานและเศรษฐกิจที่เป็นธรรม

ศักดินา ฉัตรกุล ณ อยุธยา ที่ปรึกษาสถาบันแรงงานและเศรษฐกิจที่เป็นธรรม

หากมองพัฒนาการของขบวนการแรงงานของประเทศไทย จะพบคำตอบของคำถาม “ทำไมแรงงานไทยแทบไร้อำนาจต่อรอง” โดย ในอดีต ขบวนการแรงงานเคยรุ่งโรจน์อย่างมาก โดยร่วมเคลื่อนไหวเคียงบ่าเคียงไหล่กับนักศึกษาและปัญญาชน ทั้งก่อนและหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ที่ไม่ได้จำกัดเพียงการเรียกร้องค่าจ้างหรือสวัสดิการ แต่ยังผลักดันประเด็นการเมืองและสังคมร่วมด้วย

เฉพาะในปี 2516 ปีเดียว มีการนัดหยุดงานมากถึง 501 ครั้ง เนื่องจากแรงงานถูกกดขี่มาอย่างยาวนาน จนในที่สุดต้องลุกขึ้นสู้และแสดงพลังการเคลื่อนไหวทางสังคม

แต่ภายหลังจากการครองอำนาจของเผด็จการทหาร การออกกฎหมายถูกนำมาใช้เพื่อสกัดกั้นการรวมตัว โดยเฉพาะ พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ ปี 2518 ที่กลายเป็นอุปสรรคสำคัญ ในการแบ่งแยกแรงงานออกเป็นกลุ่ม ๆ เพื่อสลายความเป็นเอกภาพ และทำให้ขบวนการแรงงานค่อย ๆ อ่อนแรงลง

ไม่เพียงเท่านั้น สิ่งที่กดทับไม่ให้ภาคประชาสังคมไทยเติบโต คือ การใช้อำนาจของรัฐในการควบคุม ปราบปราม รวมถึงการใช้เครื่องมือทางกฎหมาย พ.ร.บ.ชุมนุมสาธารณะ พ.ศ. 2558 ที่ประกาศใช้ในสมัยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. 

เช่นเดียวกับ อนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศ ฉบับที่ 87 และ 98 ว่าด้วย เสรีภาพในการสมาคม และสิทธิในการรวมตัวและเจรจาต่อรอง ซึ่งถือเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่ประเทศทั่วโลกให้การรับรอง แต่ประเทศไทยกลับยังไม่ให้สัตยาบันต่ออนุสัญญาดังกล่าว

“ประเทศไทยเป็นประเทศที่อ้างว่าเราเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งองค์การแรงงานระหว่างประเทศ ในสมัยรัชกาลที่ 6 แต่ในตอนนี้ เราเป็นประเทศที่เหลือไม่กี่ประเทศในโลกที่ยังไม่ยอมให้สัตยาบัน นั่นแสดงว่ารัฐไทยและคนที่มีอำนาจในรัฐไทย เขาไม่ต้องการให้คนงานรวมตัวกัน” 

ศักดินา ฉัตรกุล ณ อยุธยา ที่ปรึกษาสถาบันแรงงานและเศรษฐกิจที่เป็นธรรม

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันเครือข่ายแรงงานไทยได้พยายามปรับเปลี่ยนทิศทางการเคลื่อนไหว ด้วยการผนึกรวมแรงงานจากทุกภาคส่วนภายใต้แนวคิด “สหภาพคนทำงาน” ที่ประกอบไปด้วยคนหลากหลายอาชีพ ตั้งแต่แพทย์ ผู้กำกับภาพยนตร์ บาริสต้า NGO ไปจนถึงไรเดอร์ 

การรวมพลังครั้งนี้ไม่เพียงแต่เชื่อมโยงคนทำงานหลากหลายกลุ่มให้เป็นขบวนการเดียวกัน แต่ยังขยายบทบาทไปสู่ประเด็นทางสังคมที่กว้างขึ้นด้วย

Social movement ไทย เติบโตหรือถอดถอย ?

ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า การชุมนุมของฝ่ายอนุรักษนิยมที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ผ่าน #รวมพลังแผ่นดินปกป้องอธิปไตยไทย เมื่อ 28 มิถุนายนที่ผ่านมา ด้วยจุดร่วมการต่อต้าน “ระบอบทักษิณ” และการปกป้องอธิปไตยของชาติ จนทำให้การชุมนุมจุดติดได้รวดเร็ว เป็นเหตุการณ์ที่สะท้อนให้เห็นพลวัตอีกด้าน 

แต่ก็ไม่อาจชี้ชัดได้เช่นกันว่าการเคลื่อนไหวลักษณะนี้เป็นสัญญาณถดถอยของประชาธิปไตยหรือไม่ เพียงแต่สิ่งที่เห็นได้ชัดคือ ความเชื่อใน “การเมืองคนดี” และการไม่ไว้วางใจในประชาธิปไตยแบบตัวแทนยังคงปรากฏอยู่ ซึ่งหากสังคมเลือกพึ่งพากลไกนอกระบบ ก็อาจนำไปสู่ยุคมืดของประชาธิปไตยอีกครั้ง

ทั้งหมดนี้สะท้อนว่า Social movement ไม่ได้เป็นพลังขับเคลื่อนให้สังคมก้าวหน้าเพียงด้านเดียว แต่อาจเป็นพลังเชิงลบที่ฉุดรั้งได้ด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตามในประเทศที่มีประชาธิปไตยเข้มแข็ง แม้จะมีกลุ่มการเมืองหัวสุดโต่ง แต่สุดท้ายก็ยังไม่ก้าวออกนอกกติกาประชาธิปไตย ทำให้โครงสร้างสังคมไม่ถูกทำลาย

วสุชน ยังให้ข้อมูลเพิ่มว่า ในหลายประเทศที่ประชาธิปไตยตั้งมั่นแล้ว แม้จะมีการเคลื่อนไหวของกลุ่มที่มีแนวคิดทางการเมืองสุดกู่ แต่สุดท้ายประเทศเหล่านั้นก็จะไม่เดินออกนอกกติกาอย่างสุดขั้ว แต่จะยังคงเคารพในกรอบประชาธิปไตยอยู่ ทำให้กติกาสังคมไม่ถูกทำลาย

กลับมาที่คำถามหลักที่ว่า Social movement ในสังคมไทย ณ วันนี้ เติบโตหรือถดถอย หากมองในภาพรวมแล้วจะพบว่า ประเด็นข้อเรียกร้องส่วนใหญ่ยังคงวนเวียนอยู่กับปัญหาปากท้อง สิทธิในทรัพยากร ความไม่เป็นธรรม และความไม่ลงรอยในอุดมการณ์ทางการเมือง ซึ่งเป็นกระจกสะท้อนกลับไปยังรัฐบาลแต่ละยุคสมัยที่ยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้อย่างจริงจัง

ขณะเดียวกัน Social movement ก็มีพลวัตที่ปรับเปลี่ยนไปตามโลกสมัยใหม่ การเคลื่อนไหวบนโลกออนไลน์มีบทบาทสำคัญมากขึ้น รวมถึงมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการรวมตัวในลักษณะเครือข่ายแนวราบ ดังการชุมนุมของขบวนการคนรุ่นใหม่ช่วงปี 2563 ที่ชูสโลแกนว่า “ทุกคนคือแกนนำ”

“โจทย์หนึ่งคือ เราต้องสลายความรู้สึกไม่ใช่พวกเดียวกันให้ได้ก่อน ต้องทำให้รู้สึกว่า เราคือพวกเดียวกัน ตอนนี้หลายที่มีการรณรงค์เรื่อง 99% ทำให้รู้สึกว่าเราคือคนส่วนใหญ่ เราคือกลุ่มเดียวกัน เราคือคน 99% พวกเขาแค่ 1% ถ้าเรารวมตัวกันได้ เราก็จะมีเสียงดังกว่า”

ศักดินา ฉัตรกุล ณ อยุธยา ที่ปรึกษาสถาบันแรงงานและเศรษฐกิจที่เป็นธรรม

Social movement จึงอาจไม่ใช่การเคลื่อนไหวที่ผูกขาดอยู่กับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเสมอไป ไม่ว่าจะฝั่งซ้ายหรือฝั่งขวา บางขบวนการอาจเกิดขึ้นเพื่อส่งเสริมประชาธิปไตย แต่บางขบวนการก็อาจมีส่วนในการบั่นทอนหรือเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประชาธิปไตยได้เช่นเดียวกัน

อย่างไรก็ตาม หากการเมืองเป็นระบบปิดมากเกินไป ไม่เปิดโอกาสให้ประชาชนได้แสดงความคิดเห็น การเคลื่อนไหวทางสังคมก็มักมีแนวโน้มที่จะเกิดการเผชิญหน้าหรืออาจนำไปสู่การปะทะได้

“ถ้าการเมืองระบบปิด Social movement ก็มีแนวโน้มจะรุนแรงมากขึ้น ในทางกลับกัน ถ้าการเมืองยิ่งเปิด อย่างประเทศประชาธิปไตยตั้งมั่นที่มีขบวนการทางสังคมเช่นกัน แต่ว่าโทนของขบวนการเคลื่อนไหวอาจจะเป็นลักษณะของการประนีประนอมหรือต่อรองมากกว่า”

วสุชน รักษ์ประชาไท อาจารย์ประจำสาขาวิชารัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช

นอกจากนี้ วสุชน ให้ความเห็นอีกว่า หากเรายังเชื่อมั่นในระบอบประชาธิปไตย และยอมรับในกติกา ประเด็นข้อเรียกร้องของขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคม ควรต้องถูกผลักดันและส่งต่อผ่านกลไกรัฐสภา ซึ่งเป็นทางออกสุดท้ายตามครรลองของประชาธิปไตย

“ทางออกที่ดีที่สุดคือ การส่งต่อข้อเรียกร้องเหล่านั้นเข้าสู่สภา หรือเข้าสู่การเมืองในระบบ ในขณะที่การเมืองบนท้องถนนมันจะเกิดก็ต่อเมื่อการเมืองในระบบมันปิด หรือมันไม่ตอบสนอง”

วสุชน รักษ์ประชาไท อาจารย์ประจำสาขาวิชารัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช

“อะไรคือปัจจัยที่ทำให้ขบวนการเคลื่อนไหว กำเนิด เติบโต หรือถดถอย”

“Social movement มีพลังมากพอที่จะเปลี่ยนสมการทางการเมืองหรือไม่”

คำถามเหล่านี้ยังคงเป็นโจทย์ที่เปิดกว้างในหลายสังคมทั่วโลกและเมื่อหันกลับมามองบริบทของประเทศไทย เราอาจต้องตั้งคำถามเพิ่มด้วยว่า “ขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมกับประชาธิปไตยนั้นสัมพันธ์กันแค่ไหน และสามารถเดินไปด้วยกันได้จริงหรือไม่” 

ท้ายที่สุด สังคมที่หลายคนปรารถนาไม่ใช่สังคมที่สงบนิ่งไร้เสียงเรียกร้อง แต่คือสังคมที่เปิดพื้นที่ให้ผู้คนได้ลุกขึ้นมาพูด ออกมาแสดงพลัง และร่วมกันกำหนดทิศทางอนาคต 

เพราะ Social movement ไม่ได้เป็นเพียงภาพสะท้อนความไม่พอใจ แต่คือพลังชีวิตของระบอบประชาธิปไตย ที่ย้ำเตือนว่า การเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อประชาชนส่วนใหญ่พร้อมจะก้าวเดินไปด้วยกัน


Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active