เมื่อพูดถึง มรดกทางวัฒนธรรม สิ่งแรกที่หลายคนนึกถึงมักเป็นภาพของสถานที่ประวัติศาสตร์ อย่างปราสาทหิน หรือเมืองเก่าแก่ที่ต้องการ การปกป้อง (Protection) เพื่อคงสภาพไว้ตามเดิม
แต่สำหรับ ชุดไทยพระราชนิยม ที่กำลังเดินหน้าสู่การเป็นมรดกโลกที่จับต้องไม่ได้ของยูเนสโกในปี 2026 นั้น จำเป็นต้องใช้แนวคิดที่แตกต่างออกไป

“มรดกทางวัฒนธรรมแบบจับต้องไม่ได้ (Intangible Cultural Heritage หรือ ICH)
ของยูเนสโก ไม่ได้ต้องการให้เราแช่แข็งวัฒนธรรม”
พิชชากานต์ ช่วงชัย อาจารย์จากวิทยาลัยนวัตกรรม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อธิบายความสำคัญนี้ ว่านอกจากอนุสัญญาว่าด้วยการสงวนรักษามรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ ค.ศ. 2003 ยังมีอนุสัญญายูเนสโก ว่าด้วยการคุ้มครองและการส่งเสริมความหลากหลายของการแสดงออกทางวัฒนธรรม ค.ศ. 2005 ที่เป็นหัวใจสำคัญของเศรษฐกิจสร้างสรรค์ การมีส่วนร่วมของคนทำให้เกิดความหลากหลายทางวัฒนธรรม ต่อยอดไปสู่เศรษฐกิจสร้างสรรค์ และนำไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน
“สิ่งที่ยูเนสโกต้องการคือการ สงวนรักษา (Safeguarding) แบบครบวงจร ตามแนวคิดของ UNIDO ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ ไปจนถึงปลายน้ำ เพื่อให้มรดกเหล่านี้ยังคงอยู่ในชีวิตประจำวันของผู้คนมากที่สุด”
พิชชากานต์ ช่วงชัย
หมายความว่า ประเทศไทยต้องร่วมมือกันดำเนินการ Safeguard ชุดไทยพระราชนิยม และผ้าไทยอย่างต่อเนื่อง เพื่อแก้ปัญหาใหญ่ในปัจจุบัน ที่คนรุ่นใหม่มองว่าผ้าไทยเป็นของเก่า ที่แม้จะล้ำค่า แต่ห่างไกลตัวจนไม่กล้าแตะต้อง

The Active ชวนแลกเปลี่ยนมุมมองผ้าไทย กับผู้คร่ำหวอดในสาขาการจัดการมรดกวัฒนธรรม และอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ เพื่อเสาะแสวงหาหนทางรักษาผ้า และชุดไทยให้ยังคงได้ไปต่อ
ต้นน้ำ : รักษาราก แต่เล่าให้ทันสมัย
การสงวนรักษาผ้าไทยเริ่มต้นที่การบันทึก ศึกษา และเข้าใจรากเหง้าของหัตถกรรมและแฟชั่นผ้าไทย หนึ่งในองค์กรสำคัญคือ พิพิธภัณฑ์ผ้าในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ที่กลายเป็นแหล่งเรียนรู้สำคัญที่ทั้งนักศึกษาและประชาชนทั่วไปสามารถเข้าถึงได้
ศาสตรัตน์ มัดดิน หัวหน้าภัณฑารักษ์พิพิธภัณฑ์ผ้าในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ บอกกับ The Active ถึงความพิเศษของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้
“เรามีโอกาสนำฉลองพระองค์ของสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง มาจัดแสดง พอฉลองพระองค์ท่านตัดเย็บมาจากผ้าไทยที่หลากหลายประเภท ทำให้ผู้เข้าชมได้เรียนรู้ทั้งด้านแฟชั่น การตัดเย็บ รวมถึงองค์ความรู้ที่เกี่ยวกับผ้าไทยหลายรูปแบบ”
ศาสตรัตน์ มัดดิน
การตั้งอยู่ในพระบรมมหาราชวัง ทำให้พิพิธภัณฑ์แห่งนี้เข้าถึงได้ง่ายทั้งสำหรับคนไทย และชาวต่างชาติ กลายเป็นพื้นที่ที่เผยแพร่ความงดงามของผ้าไทยสู่สายตาคนไทยและนานาชาติ
“มันทำให้ผู้เข้าชมรู้สึกว่า จริง ๆ แล้ว บ้านเรามีวัฒนธรรมหลาย ๆ อย่างที่สวยงามและน่าอนุรักษ์ไว้”
ศาสตรัตน์ มัดดิน

แต่การรักษารากไม่ได้หมายความว่าต้องยึดติดกับอดีตเพียงอย่างเดียว การบอกเล่าเรื่องราวในมิติใหม่ ๆ ผ่านนิทรรศการร่วมสมัยหรืองานวิจัยของนักศึกษาก็เป็นส่วนสำคัญของการสานต่อ
ภายในพิพิธภัณฑ์ผ้าฯ แห่งนี้ ก็มีโซนการจัดแสดงร่วมสมัย ที่สร้างประสบการณ์ Immersive Experience ให้กับผู้เข้าชม รวมถึงจัดแสดงข้อมูลที่น่าสนใจและร่วมสมัย อย่างเรียนรู้ที่มาของสีมงคล หรือความเชื่อที่ซ่อนอยู่ในการออกแบบ จากคอนเซ็ปต์ในอดีตอย่างสวัสดิรักษา หรือมหาทักษา ที่เชื่อมโยงเรื่องไกลตัวอย่างความเชื่อสีมงคล ของฉลองพระองค์ของพระมหากษัตริย์ในงานพระราชพิธีต่าง ๆ เข้ากับความเชื่อสีมงคลในปัจจุบัน ให้เห็นความใกล้ตัวกับผู้เข้าชมมากขึ้น
งานนิทรรศการธีสิส (Thesis) Disruptive BMCI 2025 Cultural and Creative Showcase จากนักศึกษาสาขาการจัดการมรดกวัฒนธรรมและอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ วิทยาลัยนวัตกรรม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ก็ได้หยิบยกรากทางวัฒนธรรม ไม่เพียงนำผ้าไทยหรือชุดไทย มาจัดแสดงให้ข้อมูลกับคนทั่วไปในรูปแบบใหม่ ๆ เพิ่มความน่าสนใจและร่วมสมัยให้กับรากเหล่านี้เท่านั้น แต่ยังมีการนำเสนอการดัดแปลงวัสดุเหลือใช้จากการผลิตเสื่อกกจันทบูร เครื่องดนตรีอย่างขลุ่ยบ้านลาวจากเวียงจันทน์ หรือการเชื่อมโยงประเด็นผ้าเหลือใช้จากวัฒนธรรมการบริโภค Fast Fashion เล่าปัญหาให้น่าสนใจมากขึ้น
ชาลิตา นาคนาวา (ฮานี่) และ นภสร คงชื่นชม (เปียโน) นักศึกษาสาขาการจัดการมรดกทางวัฒนธรรมและอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ วิทยาลัยนวัตกรรม ม.ธรรมศาสตร์ เป็นตัวอย่างของคนรุ่นใหม่ที่พยายามเชื่อมช่องว่างระหว่างรากเหง้าวัฒนธรรม กับความต้องการของคนรุ่นเดียวกัน
งานธีสิสของพวกเธอเริ่มจากคำถามง่าย ๆ ที่ว่า ทำไมผ้าไทยถึงดูห่างไกลจาก Generation Z ?
“แม่หนูเป็นครู แล้วคุณแม่เอาผ้าไทยมาตัดเป็นสไตล์สวยมาก หนูก็ได้เห็นผ้าไทยรูปแบบที่ยึดโยงกับข้าราชการ เราก็ยังคิดว่า แล้วถ้าเอามาใส่กับเราหล่ะ ตอนนั้นก็ยังไม่คิดอยากใส่เพราะรู้สึกว่า ผ้าไทยดูเป็นของมีอายุ”
ชาลิตา นาคนาวา
พอเริ่มทำวิจัยเรื่องผ้าไทย ข้อจำกัดของผ้าไทยหลายอย่างก็ค่อย ๆ เผยออกมา พวกเธอสำรวจ Gen Z มากกว่าร้อยคน พบว่า ราคาที่พวกเขาจ่ายสินค้าผ้าไทยไหวต่อชิ้นอยู่ที่ 250 – 500 บาทเท่านั้น ซึ่งยังไม่พอสำหรับราคาผ้าไทยทอหนึ่งผืน และยังพบว่า พวกเขายังสนใจในสินค้าที่บ่งบอกตัวตนและได้ใช้ทุกวัน อย่างเคสโทรศัพท์หรือกระเป๋า ที่อาจจะมีตัวเลือกที่ทำจากวัสดุผ้าไทยน้อยมาก ๆ
“ปัจจัยหลักที่คนรุ่นใหม่จับต้องไม่ได้ มันเป็นเรื่องราคาที่สูงมาก ๆ ด้วย แบบที่พวกหนูจับต้องไม่ได้เลย และบางทีสื่อก็เผยแพร่พวกผ้าไทยให้ดูมีภาพลักษณ์เป็นของที่อยู่สูง ยังไม่ค่อยมีใครกล้ามาดัดแปลง เพราะเราก็จะถูกบอกว่ามันเป็นของที่ล้ำค่า มันเป็นภูมิปัญญา เวลามีคนเอามาทำใหม่ก็จะมีข้อวิพากษ์เสมอ”
ชาลิตา นาคนาวา
แต่ในขณะเดียวกัน ความหมายที่ซ่อนอยู่ในลายผ้าก็ทำให้พวกเธอประทับใจอย่างมาก
“แต่ละลาย ยึดโยงกับวิถีชีวิตและความเชื่อคนในพื้นที่นั้น ๆ เลย ภาคเหนือที่มีนกเยอะ ก็หยิบยกนกมาเป็นตัวแทนของความสมบูรณ์ ความสงบสุข หรือเป็นสิริมงคลผ่านลายผ้า”
นภสร คงชื่นชม
การค้นพบความหมายเหล่านี้ทำให้พวกเธอตระหนักว่า ลายผ้ามีความหมายในตัวมันที่น่าสนใจมาก มันคือความเชื่อ คนไทยใส่ความเชื่อในทุกอย่างในชีวิตประจำวัน

พวกเธอยังได้เรียนรู้ว่า สมัยก่อน การที่ผู้หญิงคนหนึ่งจะออกเรือนไปแต่งงาน หรือพร้อมจะมีครอบครัวแล้ว จะต้องสามารถทอผ้าให้ได้หนึ่งผืนก่อน ทำให้ผ้าทอไม่ได้มีราคาสูงในสมัยก่อนเพราะทุกคนสามารถทอได้
แต่ปัจจุบันที่มีการช้อปปิ้งออนไลน์และอุตสาหกรรม Fast Fashion ส่งผลให้ผ้าทอค่อย ๆ ลดความนิยมไปตามเวลา พวกเธอจึงตั้งโจทย์งานธีสิสว่า จะทำอย่างไรให้ผ้าไทยกลับมาอยู่ในชีวิตประจำวันของคนรุ่นใหม่ ?
เล่าแบบใหม่ เพื่อให้ ‘ผ้าไทย’ อยู่ต่อ
คำตอบของฮานี่และเปียโนภายในงานธีสิสนี้ คือการสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ปรับโทนสีเป็นสีกลางและสีพาสเทล วางลายให้ดูง่ายขึ้น และเปลี่ยนสไตล์ผลิตภัณฑ์ตามผลแบบสอบถามของ Gen Z ที่อยากให้ใช้ในชีวิตประจำวันได้ พวกเธอเลือกลายที่น่าสนใจจากทั้งสี่ภาค รวมถึงลายที่ไม่ค่อยจะได้เห็นหรือสูญหายไปแล้ว อย่างลายดอกพิกุลของจังหวัดนครศรีธรรมราช
แต่การทำงานนี้ไม่ได้ราบรื่นเสมอไป ชาลิตา เล่าว่า ตอนไปคุยปรึกษา ก็มีคนที่ไม่เข้าใจว่าจะพิมพ์ทำไม ไม่เข้าใจ มันดูลดทอนหรือเปล่า
ข้อวิพากษ์วิจารณ์เหล่านี้สะท้อนความขัดแย้งที่มีอยู่ ถ้าหากเรายังทำให้ผ้าไทยมีภาพลักษณ์ที่ดูล้ำค่ามาก อยู่สูง จับต้องไม่ได้ มันก็จะอยู่อย่างนั้น และสักวันหนึ่งที่คนรุ่นใหม่ไม่รู้จักผ้าไทย มันก็จะหายไปตามกาลเวลา
“การเอามาดัดแปลงคือการที่พยายามให้คนเอามาใช้ต่อ ส่งต่อไปถึงรุ่นอื่น ๆ ได้ เป็นการดัดแปลงให้มันอยู่ต่อ ไม่ใช่การแช่แข็งไว้”
นภสร คงชื่นชม

พวกเธอเชื่อว่า แม้สินค้าแบบใหม่นี้จะไม่ได้มีงานฝีมือหรือเทคนิคเหมือนผ้าทอมือ แต่คนที่ซื้อก็จะได้รู้จักกับลายผ้า อาจจะเป็นจุดเล็ก ๆ ให้คนเริ่มสนใจผ้าไทยมากขึ้น
ภัณฑารักษ์ พิพิธภัณฑ์ผ้าฯ ก็เห็นด้วยกับแนวคิดนี้ ว่า การที่หลาย ๆ แบรนด์เลือกใช้ลายไทย มันก็เป็นส่วนหนึ่งของงานการออกแบบศิลปะลายไทย
“ถ้าบอกว่าสิ่งนี้คือลายไทย ทำให้สิ่งที่เป็นวัฒนธรรมของเราได้แทรกซึมเข้าไปในชีวิตประจำวันของเขา ในอนาคตอาจจะรู้สึกว่า ในเมื่อเรามีของลายแบบนี้แล้ว เราลองไปหาผ้าทอมือที่มีลายแบบนี้จริง ๆ มาใส่ ก็อาจจะเป็นแรงผลักดันอย่างหนึ่ง”
ศาสตรัตน์ มัดดิน
ตั้งแต่คณะรัฐมนตรีผ่านการยื่นเสนอชุดไทยพระราชนิยมเป็นมรดกโลกยูเนสโก แรงกระเพื่อมเรื่องความตระหนักรู้ถึงรากเหง้าของผ้าไทยและชุดไทยก็เริ่มชัดเจนขึ้น โดยเฉพาะจากมุมมองของพิพิธภัณฑ์ผ้าสมเด็จพระนามเจ้าสิริกิติ์ฯ
“ตอนนี้ทุกคนค่อนข้างตื่นตัวแล้ว ไม่จำเป็นว่าต้องรอปี 2026 ตั้งแต่เรายื่นยูเนสโกขอพิจารณาเรื่องผ้าไทยปีนี้ คนไทยมีความตื่นตัวสูงมาก คนที่เข้ามาดูนิทรรศการชุดไทยที่เพิ่งเปิดเมื่อเดือนสิงหาคม มีคนไทยให้ความสนใจนิทรรศการชุดไทยพระราชนิยมเยอะมาก”
ศาสตรัตน์ มัดดิน
เธอมองว่า ถ้าในปีหน้า ยูเนสโกประกาศขึ้นทะเบียนชุดไทยพระราชนิยมเป็นมรดกทางวัฒนธรรม คิดว่า แรงขับเคลื่อนที่เกี่ยวกับชุดไทยพระราชนิยมในปีหน้าน่าจะเยอะขึ้น มีความเข้มข้นมากขึ้น

กลางน้ำ : จับคู่ให้ลงตัว
แต่การสานต่อผ้าไทยไม่ได้หมายความว่าให้ทุกคนดัดแปลงไปอย่างไร้ทิศทาง การเชื่อมต่อระหว่าง ต้นนำ้ (ชุมชนผ้า ช่างฝีมือ) กับ กลางน้ำ (นักออกแบบ ธุรกิจรายย่อย หรือผู้ศึกษาวิจัย) จำเป็นต้องใช้ความละเอียดอ่อน
พิชชากานต์ ได้เล่าถึงตัวอย่างที่น่าคิด ถึงกลุ่มช่างฝีมือที่จังหวัดสุโขทัย มีนักศึกษาลงพื้นที่ไปถามเรื่องลายผ้าเพื่อไปต่อยอดเป็นดีไซน์ใหม่ ๆ แต่ไม่มีใครเรียนรู้เรื่องวิธีทำของเก่าแล้วเลย เช่น กระบวนการลงรักปิดทอง แต่จะเอาแค่ลายไปทำต่างหู ไปทำเสื้อ มันแสดงให้เห็นความไม่เข้ากัน ความไม่ลงตัว
ถ้าลายยังคงอยู่ แต่กระบวนการการทำมันหาย ก็อาจจะไม่ประสบความสำเร็จ พิชชากานต์ เรียกสิ่งนี้ว่า Good Intention, Bad Result (แม้จะมีเจตนาดี แต่ผลลัพท์ก็อาจจะไม่ได้ดีตาม)

นี่คือเหตุผลที่การเชื่อมต่อต้องเข้ากัน ทั้งจากภาคธุรกิจรายย่อย SME ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของอุตสาหกรรมผ้า และภาคการศึกษาที่ต้องทำงานร่วมกับชุมชน เรียนรู้กระบวนการ เข้าใจภูมิปัญญา และช่วยพัฒนาและสานต่อรากทางวัฒนธรรมร่วมกัน ทั้งในมิติของการศึกษา วิจัย พัฒนา และให้ความรู้
เธอยังตัวอย่างนโยบายที่น่าสนใจจาก ประเทศสวีเดน ที่เอามรดกทางวัฒนธรรมแทรกไปกับการเรียนการสอน เอาลวดลาย โครงสร้าง หรือประเพณีทางวัฒนธรรมมารวมกับวิชาคณิตศาสตร์ สอนเรื่องเรขาคณิต เส้นกลม เหลี่ยม หรือในการศึกษาสังคมวัฒนธรรม นำเรื่อง ชาวนา ชาวประมง เอาไปอยู่ในวิชาสังคม วิชาประวัติศาสตร์ ให้เด็กกลับไปถามพ่อแม่ปู่ย่า เพื่อให้วัฒนธรรมอยู่ในวิถีชีวิตมากที่สุด
ปลายน้ำ : สร้างตลาดที่ยั่งยืน
การทำให้ผ้าไทยอยู่ได้อย่างยั่งยืน ต้องมีผู้บริโภคที่พร้อมจะซื้อและใช้ นี่คือปลายน้ำที่ภาครัฐและเอกชนต้องร่วมมือกันสร้าง
“ทำยังไงให้ทั้งตลาดผ้าไทยภายในประเทศและนานาชาติ ก็ต้องสร้างนโยบายให้เกิดผู้สนใจภายในประเทศก่อน มันเคยมีนโยบายนะ แต่มันอาจจะไม่ค่อยเวิร์ค อย่างการให้ข้าราชการแต่งตัวในวันศุกร์ ก็ใส่ตามนโยบาย แต่มันก่อให้เกิดการกระจายในวงกว้างก็อาจจะยังนะ”
พิชชากานต์ ช่วงชัย
เธอยกตัวอย่างนโยบายที่น่าสนใจจากต่างประเทศ อย่าง Cultural Welfare (สวัสดิการเชิงวัฒนธรรม) ของบางประเทศตะวันตก ที่ให้เงินก้อนหนึ่งกับคนอายุ 18 ปี แต่ของที่ซื้อได้ต้องเกี่ยวกับวัฒนธรรมและอยู่ในอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ ถ้ามีก้อนนี้ ช่วยเปิดใจ คนมีเงิน ก็เปิดใจคน ใส่แล้วก็สนุกดี
หรือตัวอย่างจากฝรั่งเศส ประเทศแฟชั่นที่ออกนโยบายเศรษฐกิจหมุนเวียน Circular Economy สนับสนุนให้คนเอาเสื้อผ้า รองเท้า เครื่องนุ่งห่ม เอาไปปะ เย็บ ซ่อม แล้วรัฐบาลให้เงินสนับสนุน ตัวนึงให้เงินหลายสิบยูโร ทำให้เห็นการจัดการอุตสาหกรรมแฟชั่น หัตถกรรม ที่เชื่อมต่อกับความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อมได้ด้วย
ตัวอย่างที่น่าสนใจในไทย คือ โครงการ Material District ของ CEA โครงการที่เจาะดูว่าย่านต่าง ๆ ในกรุงเทพฯ เป็นย่านวัสดุที่เอื้อสู่การต่อยอดทางแฟชั่นยังไงบ้าง พิชชากานต์ อธิบายว่า CEA ให้ข้อมูลหลายที่ ทั้งสำเพ็ง พาหุรัด ที่เป็นย่านวัสดุ งานฝีมือ ผ้าอยู่แล้ว ย่านเจริญรัตน์กับการค้าหนัง สามย่าน เจริญกรุงกับเครื่องประดับ ทำให้เห็นระบบนิเวศสร้างสรรค์ที่ครบถ้วน จึงจะต่อยอดไปสู่การขายได้

แต่ท่ามกลางนโยบายสนับสนุนอุตสาหกรรมหัตถกรรมโดยรวม ยังคงมีความน่ากังวลสำหรับผ้าไทยอยู่ ฮานี่ และเปียโน ชี้ว่า หากการเสนอผ้าไทยเป็นมรดกโลกยูเนสโกสำเร็จ อาจจะทำให้เป็นที่รู้จักในระดับโลกมากขึ้น ขายได้มากขึ้น ตั้งราคาได้สูงขึ้น ซึ่งก็จะทำให้คนในประเทศเข้าถึงได้ยากกว่าเดิม
ฮานี่ และเปียโน จึงมองว่า ในฝั่งนโยบายของผ้าไทยโดยเฉพาะนั้น อาจจะต้องปรับเปลี่ยนขั้นตอนการผลิตให้มีความอุตสาหกรรมขึ้น เพื่อให้สามารถลดต้นทุน ลดระยะเวลาผลิต แต่ไม่ใช่การปรับลดราคาโดยไม่คำนึงถึงคุณค่า อย่างเช่นผลิตผ้ามา 5 เดือน แต่ขายราคา 500 บาท ก็อาจจะไม่คุ้มค่า สำหรับผ้าทอลายดั้งเดิมก็คิดว่ายังคงต้องขายในราคาที่ไม่ถูกลง ให้สมกับความเป็นงานฝีมือ
และในมิติของนโยบาย ความไม่มั่นคงทางการเมืองก็เป็นอีกหนึ่งปัญหาใหญ่
จุดอ่อนของประเทศไทย คือ พอเปลี่ยนรัฐบาล นโยบายไส้ในเปลี่ยนไป อย่างกรณี THACCA ที่มีอายุยืนยาวได้ 2 ปีถ้วน เธอเสนอว่า ควรอาศัยหน่วยงานที่ดึงตัวเองออกมาจากภายใต้อำนาจทางการเมือง อย่าง SACIT หรือ สถาบันส่งเสริมศิลปหัตถกรรมไทย ซึ่งเป็นองค์กรมหาชน ที่สามารถวางแผนนโยบายของตัวเองได้ในระยะยาว
SACIT เป็นความหวัง มีหลายงานที่ SACIT จัดมาแล้วอย่างงาน Craft Bangkok เต็มที่อ่ะ พี่ไปเดินสามวันเลย มีแต่งานหัตถกรรม งานฝีมือที่มีความร่วมสมัย องค์กรคัดเลือกมาได้ดี เห็นการเชื่อมต่อและการต่อยอดได้ชัดเจน
พิชชากานต์ ยังเสนออีกทางเลือกคือ จัดตั้งสมาคม ประชาคม CSO ของบรรดาคนรักผ้าไทยและชุดไทย เพราะมีคนรักและชื่นชอบผ้าไทยอยู่เยอะมาก อาจารย์ นักวิชาการ สะสมผ้าราคาเป็นหมื่นเป็นแสน มีความรัก ความชอบ แพชชัน แต่ขาดการรวมกลุ่ม ถ้าเกิดขึ้นได้จะเป็นกลไกสำคัญในการต่อรองนโยบายในภาครัฐ องค์กรยูเนสโกก็เผยว่า CSO เป็นส่วนที่สำคัญในการทำให้วัฒนธรรมเข้มแข็งและยั่งยืน
บทสรุป : ปกปักราก เชื่อมต่อคน รักษาวิถี
สำหรับพิพิธภัณฑ์ผ้าในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิต์ฯ บทบาทไม่ได้จบแค่การให้ข้อมูลหรือปกป้องรากของชุดไทยเอาไว้ ศาสตรัตน์ บอกว่า ด้วยการก่อตั้งพิพิธภัณฑ์ ไม่ได้ต้องการที่จะจัดแสดงเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีแผนกอนุรักษ์และทะเบียน ซึ่งเป็นแผนกที่คอยดูแล รักษาตัวผ้า เครื่องแต่งกายต่าง ๆ เพื่อให้การจัดแสดงอยู่ในระดับสากล
และที่สำคัญคือการสร้างผลิตภัณฑ์ที่ทำให้ผ้าไทยเข้าถึงได้ง่ายขึ้น กระเป๋าภายในร้านค้าพิพิธภัณฑ์อย่างกระเป๋ากระจูด ได้นำวัสดุผ้าฝ้ายทอมือของชาวไทยภูเขาเผ่ากะเหรี่ยง มาผสมกับแนวคิดที่มีความยั่งยืน เลือกใช้เสื่อกระจูดผืนที่มีอยู่ในคลังของเกาะเกิด จังหวัดพระนครศรีอยุธยาแต่อาจจะมีจุดบกพร่องมาปรับใช้
ศาสตรัตน์ ยังเน้นย้ำว่า ไม่จำเป็นต้องใส่ผ้าไทยทั้งชุดก็ได้ อย่างเช่นต่างหู สร้อย กิ๊บติดผม หรือกระเป๋า ถ้าเราสามารถประชาสัมพันธ์และออกแบบให้ผ้าไทยเหมาะกับไลฟ์สไตล์ของทุกคนได้ มันก็จะเข้าถึงได้ง่ายมากขึ้น ด้วยรูปแบบและดีไซน์การใช้งาน

เธอเชื่อว่า ถ้าราคาและดีไซน์เข้าถึงได้ ทุกคนสามารถซื้อผ้าไทยไปใส่ได้แน่นอน
สำหรับในสายตาคนรุ่นใหม่ที่อยากช่วยสานต่อผ้าไทย ฮานี่ และเปียโน อยากเห็นนโยบายเปลี่ยนแปลงใน 3 ประเด็นหลัก คือ
- สำหรับผ้าทอลายดั้งเดิม ยังคงต้องขายในราคาที่ไม่ถูกลง ให้สมกับความเป็นงานประเภท handcraft ที่คุ้มสำหรับต้นทุนและเวลาผู้ผลิต
- อาจจะต้องปรับเปลี่ยนขั้นตอนการผลิตผ้าไทยบางส่วนให้มีความอุตสาหกรรมขึ้น เพื่อให้สามารถลดต้นทุน ลดระยะเวลาผลิต โดยไม่ทำลายคุณค่า
- แทรกเรื่องวัฒนธรรมให้มากขึ้นในการเรียนการสอน ให้เข้าใจว่าทุกอย่างมันมีคุณค่าของมัน พอรู้ความหมายก็จะเข้าใจความเชื่อมโยงกับวิถีชีวิต มันมีเรื่องราวและคุณค่าที่เอาไปขายได้ในระดับนานาชาติ ก็ควรมีการให้ข้อมูลกับคนรุ่นใหม่ ที่อาจจะไม่ได้ไม่สนใจ แค่อาจจะไม่รู้เฉย ๆ
“ถ้าเรายังทำให้ผ้าไทยมันมีภาพลักษณ์ที่ดูล้ำค่ามาก อยู่สูง จับต้องไม่ได้ มันก็จะอยู่อย่างนั้น และสักวันหนึ่งที่คนรุ่นใหม่ไม่รู้จักผ้าไทย ผ้าไทยก็จะหายไปตามกาลเวลา”
ชาลิตา นาคนาวา
“อยากให้มีการสนับสนุนด้านการดัดแปลงมาใช้ในรูปแบบต่าง ๆ ที่อาจจะไม่เคยเห็นมากขึ้น เพื่อให้วัฒนธรรมและลายผ้าอยู่ไปได้ทุกรุ่น”
นภสร คงชื่นชม
ความแตกต่างระหว่าง protection (การปกป้อง) กับ safeguarding (การสงวนรักษา) อาจดูเหมือนเป็นศัพท์เทคนิคที่เข้าใจยาก แต่มันสะท้อนการลงมือทำ และนโยบายที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
การปกป้องหมายถึงการแช่แข็งวัฒนธรรมไว้ในพิพิธภัณฑ์ ห้ามแตะต้อง ห้ามเปลี่ยนแปลง ดูได้แต่อย่าใช้ ในขณะที่การสงวนรักษาหมายถึงการทำให้วัฒนธรรมยังคงมีชีวิต เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย แต่ไม่สูญเสียรากเหง้า
ผ้าไทยจะอยู่รอดได้ไม่ใช่แค่การเก็บรักษาผ้าดั้งเดิมอยากถูกวิธีเพียงอย่างเดียว แต่เราต้องทำให้ผ้าไทยและชุดไทยกลับมาอยู่ในชีวิตประจำวันของคนไทยทุกรุ่น
นั่นหมายถึงการทำงานแบบครบวงจร ตั้งแต่การดูแลช่างฝีมือและชุมชนผ้า (ต้นน้ำ) เชื่อมต่อกับนักออกแบบและธุรกิจ SME อย่างถูกวิธี (กลางน้ำ) และสร้างตลาดทั้งในและต่างประเทศที่ยั่งยืน (ปลายน้ำ)
“ถ้าเราอยากให้มันอยู่ต่อไป มันก็ต้องมีการปรับเปลี่ยนตามยุคสมัย จะมาก จะน้อย ขอแค่เราไม่ลืมรากเหง้าของวัฒนธรรมก็พอ”
นภสร คงชื่นชม ทิ้งท้าย


