ยืนหยัด-ทวงสิทธิ “รัฐสวัสดิการ” ในสนามการเมือง

ประเทศน่าอยู่

ประชาชนมีกิน มีใช้

ไม่มีใครถูกทิ้งไว้ข้างหลัง

เด็กได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม 

แรงงานไม่ถูกเอาเปรียบ

ผู้สูงอายุไม่ถูกละเลย 

ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่ใครหลายคนใฝ่ฝันถึง 

แต่ความจริง ชีวิตของคนไทยจำนวนไม่น้อยยังไร้หลักประกันที่มั่นคง การเข้าถึงสิทธิขั้นพื้นฐานและบริการสาธารณะที่มีคุณภาพ กลายเป็นเรื่องที่แต่ละคนต้องดิ้นรนไขว่คว้าตามฐานะทางเศรษฐกิจของตนเอง 

“รัฐสวัสดิการ” จึงถูกหยิบยกขึ้นมาพูดถึงในหมู่นักเคลื่อนไหวทางสังคมอย่างต่อเนื่องหลายสิบปี ท่ามกลางข้อถกเถียงว่า สังคมไทยพร้อมแล้วจริงหรือไม่ ในภาวะก้ำกึ่งระหว่าง “เป้าหมายในเชิงอุดมคติ” กับ “ความเป็นไปได้ในทางเศรษฐศาสตร์”

ข้อถกเถียงเรื่องรัฐสวัสดิการ จึงไม่ใช่เรื่องใหม่ในสังคมไทย แต่เป็นเรื่องที่ถูกพูดถึงในหลายยุคหลายสมัย โดยเฉพาะในห้วงเวลาที่สังคมไทยต้องเผชิญกับความท้าทาย ทั้งจากปัญหาความเหลื่อมล้ำ การเข้าถึงโอกาสที่ไม่เท่าเทียมกันของคนแต่ละชนชั้น ความผันผวนทางเศรษฐกิจที่ส่งผลกระทบต่อรายได้และปัญหาปากท้องของคนในยุคนี้ รวมถึงความเปลี่ยนแปลงทางนโยบายอันเป็นผลมาจากปัจจัยทางการเมือง

หนึ่งในข้อถกเถียงที่ไม่สิ้นสุดคือ แนวคิดเกี่ยวกับรัฐสวัสดิการที่มักถูกมองว่าเป็นเรื่องเพ้อฝัน ห่างไกลความจริง หรือกระทั่งว่าประเทศไทยอาจไม่เหมาะที่จะเป็นรัฐสวัสดิการ

“ในฐานะที่ศึกษาเรื่องนี้ ก็ต้องยืนยันว่ารัฐสวัสดิการเหมาะกับทุกที่ในโลก”

รศ.ษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี อาจารย์ประจำวิทยาลัยสหวิทยาการ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

รศ.ษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี อาจารย์ประจำวิทยาลัยสหวิทยาการ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

จากข้อถกเถียงที่เกิดขึ้น สำหรับ รศ.ษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี อาจารย์ประจำวิทยาลัยสหวิทยาการ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผู้ศึกษาวิจัยเรื่องรัฐสวัสดิการมาอย่างต่อเนื่อง เชื่อมั่นว่า การจัดสวัสดิการทางสังคมเป็นสิ่งที่รัฐชาติสมัยใหม่ต้องให้ความสำคัญสูงสุด เพื่อความอยู่ดีมีสุขของประชาชน ไม่ว่าจะเป็นประเทศที่ร่ำรวยหรือยากจน เพราะระบบสวัสดิการจะเป็นเครื่องมือหนึ่งที่ช่วยลดความเหลื่อมล้ำของคนในสังคมได้

อย่างไรก็ตาม ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ความเข้าใจในเรื่องรัฐสวัสดิการของคนไทยกลับเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด โดยเฉพาะในหมู่คนรุ่นใหม่ที่มองเห็นถึงความเป็นไปได้และประโยชน์ของการสร้างสังคมที่ทุกคนเท่าเทียมกัน โดยเริ่มต้นจากความคิดที่ว่า “คนเท่ากัน” 

“ต้องย้ำว่าแนวคิดพื้นฐานเรื่องรัฐสวัสดิการมีความเกี่ยวพันกับอุดมการณ์ทางการเมือง เพราะเริ่มต้นจากคำถามที่ว่า คุณเชื่อไหมว่าคนเท่ากัน”

รศ.ษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี อาจารย์ประจำวิทยาลัยสหวิทยาการ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

มองประวัติศาสตร์การเมืองกับสวัสดิการ

แม้แนวรบทางความคิดของผู้คนจะเริ่มหันมาสนับสนุนรัฐสวัสดิการมากขึ้น แต่อีกส่วนหนึ่งก็ยังมีผู้เห็นแย้งและผลิตวาทกรรมตอบโต้อยู่เสมอ

บ้างมองว่า รัฐสวัสดิการคือการแจกเงิน เป็นเพียงนโยบายประชานิยมที่ทำให้ประชาชนเกียจคร้าน รอคอยการช่วยเหลือพึ่งพาจากรัฐ

“ถ้าเราย้อนดูประวัติศาสตร์ เวลาที่ประชาชนพร้อมใจกันพูดเรื่องนี้ ชนชั้นนำจะสามัคคีกัน และพยายามกดประชาชนให้กลับไปจมดินอีกครั้งหนึ่ง”

รศ.ษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี อาจารย์ประจำวิทยาลัยสหวิทยาการ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

หากย้อนมองประวัติศาสตร์จากการศึกษาเรื่อง “พัฒนาการประวัติศาสตร์สวัสดิการสังคมไทย พ.ศ. 2475-2564” ของ นิติรัตน์ ทรัพย์สมบูรณ์ ผู้ประสานงานเครือข่ายภาคประชาชน We Fair จะเห็นถึงแนวคิดในการกำหนดนโยบายด้านสวัสดิการสังคมของรัฐบาลแต่ละยุคสมัยที่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ โดยศึกษาเปรียบเทียบผ่านบริบททางสังคมการเมือง 4 ยุคสมัย

ช่วงที่ 1 – ยุคเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475-2499

แนวคิดเรื่องการสร้างสวัสดิการสังคมถูกจุดประเด็นขึ้นเป็นครั้งแรกผ่านข้อเสนอ “เค้าโครงการเศรษฐกิจ” หรือที่เรียกว่า “สมุดปกเหลือง” ของ ปรีดี พนมยงค์ และร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการประกันความสุขสมบูรณ์ของราษฎร ซึ่งนับได้ว่าเป็นปฐมบทของแนวคิดสวัสดิการในไทย สร้างความตื่นรู้ว่าด้วยสิทธิพื้นฐานที่ราษฎรพึงมี

ทว่า แนวคิดนี้ก็กลายเป็นชนวนความขัดแย้งระหว่างฝ่ายคณะราษฎรกับฝ่ายชนชั้นนำเก่า พร้อมข้อกล่าวหาว่าปรีดีมีแนวคิดเป็นคอมมิวนิสต์ จนถูกกดดันให้ลาออกจากตำแหน่ง นายกรัฐมนตรีและเดินทางออกนอกประเทศในที่สุด

การพัฒนานโยบายสวัสดิการสังคมในยุคนี้ จึงมีข้อจำกัดและทำได้เพียงไม่กี่เรื่องเท่านั้น เช่น การกําหนดให้มีการศึกษาภาคบังคับถึงชั้น ป.4 การจัดตั้งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมือง และ พระราชบัญญัติสงเคราะห์อาชีพแก่คนไทย พ.ศ. 2499

ช่วงที่ 2 – ยุคเผด็จการสู่ประชาธิปไตยครึ่งใบ พ.ศ. 2500-2529

ภายใต้บริบทสงครามเย็น รัฐบาลเผด็จการของ จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ กวาดล้างจับกุมผู้นำแรงงานและขบวนการกรรมกรอย่างหนักในข้อหาคอมมิวนิสต์ 

รัฐบาลยุคนั้นมุ่งพัฒนาเศรษฐกิจไปสู่ความทันสมัยตามการชี้นำของสหรัฐฯ ส่วนนโยบายด้านสวัสดิการสังคมเน้นไปที่การสงเคราะห์สำหรับคนยากจนเป็นหลัก ในลักษณะของการอุปถัมภ์

แต่แนวคิดสวัสดิการ ยังได้รับการสานต่อ ดังเช่น ข้อเขียน “ปฏิทินแห่งความหวัง: จากครรภ์มารดาถึงเชิงตะกอน” ของ ศาสตราจารย์ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ที่เผยแพร่ในช่วงปี 2516 ซึ่งได้นำเสนอวิธีคิดในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนทุกช่วงวัย หรือตั้งแต่เกิดถึงวาระสุดท้ายของชีวิต

เมื่อระบอบเผด็จการสิ้นสุดลงในช่วงเวลาสั้น ๆ อันเป็นผลจากการต่อสู้เรียกร้องของขบวนการแรงงาน และนิสิต นักศึกษา ส่งผลให้นโยบายสวัสดิการสังคมเริ่มลงหลักปักฐานในหลายด้าน ได้แก่ การปรับค่าแรงขั้นต่ำ สิทธิการรวมตัวของแรงงาน กองทุนเงินทดแทน การปฏิรูปที่ดินและค่าเช่านา

เหตุการณ์ 14 ตุลา (พ.ศ. 2516) ส่งผลต่อนโยบายสวัสดิการสังคมในหลายด้าน

  • พระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2512
  • ปี 2517 ปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ เป็น 25 บาทต่อวัน
  • ปี 2518 สงเคราะห์ประชาชนผู้มีรายได้น้อยในการรักษาพยาบาล
  • ปี 2523 ให้เงินสวัสดิการรักษาพยาบาลแก่ข้าราชการ และเงินสวัสดิการการศึกษาแก่บุตรข้าราชการ

ช่วงที่ 3 – ยุคเปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตย พ.ศ. 2530-2549

ในช่วงนี้ เป็นยุคที่ประชาธิปไตยเริ่มเบ่งบานอีกครั้ง เมื่อมีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง และมีพัฒนาการสำคัญของนโยบายสวัสดิการสังคม ได้แก่ การประกาศใช้พระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533

จุดเปลี่ยนที่น่าสนใจ คือ เมื่อคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ หรือ รสช. ก่อการรัฐประหารในปี 2534 ทำให้เกิดกระแสโต้กลับของประชาชน นำไปสู่ข้อเรียกร้องให้มีการปฏิรูปการเมืองและสังคม การกระจายอำนาจ จนในที่สุดมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ในปี 2540 ที่สะท้อนถึงกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชน และการเติบโตของภาคประชาสังคมที่ก้าวหน้าขึ้นตามลำดับ

ปี 2535-2549 เป็นช่วงเวลาที่ว่างเว้นจากการรัฐประหารยาวนาน ทำให้เกิดนโยบายสวัสดิการที่สำคัญมากมาย 

  • ประกาศใช้ พระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533
  • ปี 2536 ให้สิทธิลาคลอด 90 วัน
  • ปี 2536 ริเริ่มโครงการแจกเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุที่ยากไร้
  • ปี 2538 จัดตั้งกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.)
  • ปี 2541 ขยายสิทธิประโยชน์ของกองทุนประกันสังคม
  • ปี 2542 นโยบายเรียนฟรี 12 ปี
  • พระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า พ.ศ. 2545 (30 บาทรักษาทุกโรค)

ขณะเดียวกัน สวัสดิการในรูปแบบอุปถัมภ์หรือการสังคมสงเคราะห์เพื่อผู้ยากไร้ ก็ยังคงหลงเหลือให้เห็นอยู่

กระทั่งเวลาต่อมา เกิดปรากฏการณ์ “ทักษิณฟีเวอร์” ที่มีนโยบายยกระดับสวัสดิการด้านสุขภาพสู่ระบบถ้วนหน้า ได้แก่ “30 บาทรักษาทุกโรค” ช่วยให้ประชาชนทุกคนมีสิทธิเข้าถึงบริการสาธารณสุขอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม ก่อนที่ต่อมาจะถูกโจมตีโดยชนชั้นนำฝ่ายอนุรักษ์และชนชั้นกลาง ว่าเป็นนโยบายประชานิยม

ช่วงที่ 4 – ยุคแห่งการต่อสู้ระหว่างประชาธิปไตยกับเผด็จการ พ.ศ. 2550-2564

หลังรัฐประหารปี 2549 พรรคเพื่อไทยกลับมาชนะการเลือกตั้งอีกครั้ง ในปี 2554 และมาพร้อมกับนโยบายปรับเพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำทั่วประเทศเป็น 300 บาท เพิ่มอัตราเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุแบบขั้นบันได 600-1,000 บาท รวมทั้งมีมาตรการสนับสนุนด้านเศรษฐกิจต่อคนจนและเกษตรกร

แต่เพียงไม่นาน ประเทศไทยก็เกิดการรัฐประหารอีกครั้งในปี 2557 โดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. 

ตัวอย่างสวัสดิการในยุคแห่งการต่อสู้ระหว่างประชาธิปไตยกับเผด็จการ (พ.ศ. 2550-2564)

  • ปี 2551 นโยบายรถเมล์ฟรี รถไฟฟรี
  • ปี 2552 นโยบายเรียนฟรี 15 ปี
  • ปี 2554 เพิ่มเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุแบบขั้นบันได 600-1,000 บาท
  • ปี 2556 ปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาท ทั่วประเทศ
  • ปี 2560 โครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หรือ “บัตรคนจน” 

ภาพรวมของนโยบายสวัสดิการจึงหวนคืนสู่ระบบอุปถัมภ์และการสงเคราะห์เพื่อผู้ยากไร้ สร้างความสัมพันธ์แบบบุญคุณระหว่างผู้ให้กับผู้รับ เช่น “บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ” หรือ “บัตรคนจน” พร้อมข้อถกเถียงว่าระบบสวัสดิการถ้วนหน้าว่าเป็นภาระงบประมาณหรือไม่

โดยสรุปสาระสำคัญจากงานศึกษาของ นิติรัตน์ มุ่งชี้ให้เห็นว่า ปัจจัยด้านการเมืองการปกครอง รวมถึงอำนาจต่อรองของประชาชน มีอิทธิพลอย่างสูงต่อการกำหนดนโยบายด้านสวัสดิการสังคม

หากเป็นยุคการปกครองภายใต้รัฐบาลทหาร สวัสดิการมักเกิดขึ้นในรูปแบบการสงเคราะห์และพลเมืองเป็นเพียงผู้ถูกควบคุม 

ขณะที่ยุครัฐบาลพลเรือน มีกลไกการมีส่วนร่วมที่เอื้อให้เกิดการพัฒนาสวัสดิการที่ครอบคลุมและเป็นระบบมากขึ้น 

ระบบสวัสดิการ จึงอาจไม่สามารถเกิดขึ้นได้เองโดยอาศัยกลไกของรัฐบาลเพียงฝ่ายเดียว ที่ผ่านมา สามัญชนธรรมดาจึงต้องช่วยกันออกแรงเพื่อผลักดันให้เรื่องนี้เป็นจริงได้ ในฐานะที่เป็นเจ้าของอำนาจรัฐ และไม่ควรรอคอยจนกว่ารัฐจะเป็นผู้หยิบยื่นให้เอง

ตัวอย่างรูปธรรมที่เกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้คือ การเลือกตั้งคณะกรรมการประกันสังคม ซึ่งจัดขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2566 

อ่านเพิ่ม 

โดย รศ.ษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี และ “ทีมประกันสังคมก้าวหน้า” ได้รับเลือกเป็นตัวแทนฝ่ายผู้ประกันตน 6 ที่นั่ง จากทั้งหมด 7 ที่นั่ง ทำให้มีโอกาสเข้าไปทำหน้าที่พิจารณาและตัดสินใจเกี่ยวกับนโยบายและสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ของกองทุนประกันสังคม

ผลงานจาก “ทีมประกันสังคมก้าวหน้า” ในฐานะตัวแทนฝ่ายผู้ประกันตน ช่วงเวลา 1 ปีครึ่ง

  • ปรับสูตรคำนวณบำนาญที่เป็นธรรม
  • เพิ่มเงินสวัสดิการเด็ก 0-6 ปี จาก 800 บาท เป็น 1,000 บาท แก่เด็ก 1.2 ล้านคน
  • เพิ่มเงินประกันการว่างงานกรณีถูกเลิกจ้าง จากสูงสุด 7,500 บาท เป็น 9,000 บาท
  • ตรวจสอบงบประมาณที่ไม่เกิดประโยชน์ เช่น ค่าใช้จ่ายด้านไอที การดูงานต่างประเทศ การผลิตปฏิทิน

“เราชี้ให้เห็นว่า ความมุ่งมั่นทางการเมืองสามารถที่จะนำสู่การเปลี่ยนแปลงด้านสวัสดิการได้ เพราะฉะนั้น ณ วันนี้ผมก็จะไม่ถูกตราหน้าว่าเป็นพวกนักอุดมคติเพ้อฝัน เราพิสูจน์ให้เห็นว่าแม้ว่าเราจะมีอำนาจที่น้อยนิด แต่ถ้าคน 99% อยู่ในสมการของเรา เราสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงได้”

รศ.ษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี อาจารย์ประจำวิทยาลัยสหวิทยาการ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

นอกจากนี้ รศ.ษัษฐรัมย์ ยังย้ำอีกว่า หลักการของรัฐสวัสดิการคือ การให้สิทธิขั้นพื้นฐานที่ประชาชนทุกคนควรได้รับ ซึ่งหากมองในความเป็นจริงก็ไม่อาจเพียงพอต่อการดำรงชีพ หากแต่เป็นการช่วยทุเลาปัญหา หรือผ่อนหนักเป็นเบาได้

“ในสถิติของประกันสังคม คือ พอคุณเพิ่มสวัสดิการ คนขยันมากขึ้น พอคนได้เงินเด็กเพิ่มเติมมากขึ้น แม่ว่างงานน้อยลง เพราะว่าแม่ไม่ต้องลาออก หรือว่าแม่ไม่ถูกเลิกจ้าง

“ส่วนนี้ชัดเจนมากว่า เวลาคุณมีสวัสดิการที่ดีแล้วจะทำให้คนไม่ทำงาน หรือแม้กระทั่งเวลาคุณเพิ่มอะไรที่ตรงไปตรงมา อย่างเช่นเพิ่มสัดส่วนเงินประกันการว่างงาน ก็ไม่ได้ทำให้คนอยากที่จะลาออก หรืออยากที่จะว่างงานเพิ่มมากขึ้น”

รศ.ษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี

อีกหลักการสำคัญของสวัสดิการคือ ผู้ที่จะได้รับสิทธิไม่ควรต้องมีการพิสูจน์ความจน เพราะเป็นการลดทอนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และบทเรียนหลายครั้งที่ผ่านมาก็พบว่า มาตรการพิสูจน์ความจน ส่งผลให้เกิดความล่าช้า ไม่ทั่วถึง ซ้ำยังกีดกันคนจำนวนมากที่เข้าไม่ถึงระบบ

คำตอบจึงอยู่ที่การให้สิทธิสวัสดิการแบบถ้วนหน้า ซึ่งจะสามารถเข้าถึงผู้คนได้อย่างเสมอหน้า ไม่แบ่งแยก และมีประสิทธิภาพมากกว่า

หรือแท้จริงแล้ว งบประมาณอาจถูกใช้ให้ไม่พอสำหรับสวัสดิการถ้วนหน้า?

“งบประมาณพอไหม?”

คำถามใหญ่ที่ยังไม่มีคำตอบชัดเจนนัก ณ วันนี้ คือประเทศไทยมีงบประมาณเพียงพอแค่ไหนที่จะจัดสวัสดิการถ้วนหน้า

ในความเห็นของ รศ.นวลน้อย ตรีรัตน์ อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แสดงความห่วงใยว่า แม้สวัสดิการจะช่วยลดปัญหาความเหลื่อมล้ำได้ แต่หากประเมินจากตัวเลขงบประมาณของรัฐตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา จะพบว่าประเทศไทยอยู่ในภาวะขาดดุลการคลังมาโดยตลอด คือมีรายจ่ายสูงกว่ารายรับ จึงไม่ง่ายนักหากจะปักธงสร้างรัฐสวัสดิการถ้วนหน้าอย่างเต็มรูปแบบ

แต่ก่อนที่จะไปถึงคำถามนั้น รศ.นวลน้อย เสนอว่า สิ่งที่ต้องคำนึงคือการจัดลำดับความสำคัญของสวัสดิการในแต่ละเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวข้องกับคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อประชาชน ซึ่งมี 4 เรื่องที่มีความสำคัญลำดับต้น ๆ 

  • สวัสดิการด้านการศึกษา ที่ผ่านมาประเทศไทยลงทุนให้กับการศึกษาไปมาก แต่มีประสิทธิภาพน้อย เพราะเน้นเชิงปริมาณ แต่ยังขาดคุณภาพ ดังนั้นต้องปรับปรุงในเชิงคุณภาพให้มากขึ้น
  • สวัสดิการด้านสุขภาพ ในภาพรวมของหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือ 30 บาท ถือว่าทำได้ดี แต่ยิ่งเมื่อขยายบริการมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งต้องใช้เงินมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งในระยะยาวอาจเป็นภาระทางการคลัง และส่งผลต่อประสิทธิภาพการให้บริการด้วยเช่นกัน
  • สวัสดิการด้านเด็กและผู้สูงอายุ ซึ่งสองกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่ต้องได้รับการดูแล หากมองในแง่เศรษฐศาสตร์ถือว่าเป็นช่วงวัยที่ไม่สามารถทำงานหารายได้ด้วยตนเอง เพราะฉะนั้นจึงต้องมีกลไกช่วยเหลือให้สามารถมีชีวิตอยู่ได้อย่างมีศักดิ์ศรีและมีคุณภาพชีวิตตามสมควร

ทั้ง 4 เรื่องนี้ คือสวัสดิการขั้นพื้นฐานที่หลายประเทศพยายามจัดให้แก่ประชาชน ส่วนสวัสดิการด้านอื่น ๆ เช่น การคมนาคม ค่าโดยสาร บางประเทศจะไม่ทำเรื่องนี้เลย เพราะถือเป็นเรื่องที่สำคัญรองลงมา ยกเว้นว่าจะมีรายได้จากภาษีมากพอ

สำหรับแนวคิดเรื่องบำนาญถ้วนหน้า 3,000 บาท ซึ่งคำนวณจากเส้นความยากจนนั้น รศ.นวลน้อย มองว่า หากรัฐไม่มีงบประมาณเพียงพอ อาจจำเป็นต้องปรับขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพราะหากปรับขึ้นแบบก้าวกระโดด อาจกระทบต่อความยั่งยืนของกองทุนในระยะยาวได้

ดังนั้น สิ่งที่รัฐต้องทำควบคู่กันคือ การส่งเสริมการออม เนื่องจากเงินสวัสดิการที่ได้รับอาจไม่เพียงพอต่อค่าครองชีพ รวมถึงอาจต้องพิจารณาเรื่องการขยายอายุเกษียณ เพื่อให้ผู้สูงอายุยังสามารถทำงานหารายได้เพิ่มได้

นอกจากนี้ รศ.นวลน้อย ยังประเมินด้วยว่า หากดูจากตัวเลขงบประมาณประจำปี ยังมองไม่เห็นว่า รัฐบาลจะสามารถเกลี่ยงบประมาณจากส่วนใดมาจัดเป็นสวัสดิการได้อีกบ้าง เนื่องจากรายได้ของรัฐบาลมีอยู่อย่างจำกัด และการจัดเก็บภาษียังไม่สามารถทำได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย

ทั้งนี้ เมื่อโยนคำถามนี้กลับไปยัง รศ.ษัษฐรัมย์ มีคำตอบว่า ความจริงแล้วประเทศไทยไม่ได้ขัดสนอย่างที่คิด แต่สิ่งที่ขาดพร่องไปคือ การบริหารจัดการงบประมาณที่มีประสิทธิภาพ

รศ.ษัษฐรัมย์ เชื่อว่า ประเทศไทยมีทรัพยากรมากพอที่จะดูแลคนทุกกลุ่มได้ โดยเฉพาะงบประมาณในหมวด “ลดความเหลื่อมล้ำ” ตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี เช่น การอบรมชาวบ้านเย็บถุงผ้า หรือรัฐมนตรีพบประชาชน 

โครงการที่ไม่เกิดประโยชน์เหล่านี้เมื่อรวมกันแล้วคิดเป็นเม็ดเงินถึง 700,000 ล้านบาท ซึ่งสามารถนำมาเกลี่ยเป็นสวัสดิการบำนาญได้ โดยจะใช้งบประมาณราว 300,000-400,000 บาท

“อยากย้ำให้เห็นว่า เวลาชนชั้นนำจะซื้อรถถังกับเครื่องบิน เขาไม่เคยเถียงกันเลยว่าจะเอาอะไรก่อน เขาเอาพร้อมกันหมดเลย แล้วทำไมเราต้องมาเถียงกันว่า เราจะเอาอนุบาลก่อน หรือมหาวิทยาลัยฟรีก่อน อะไรแบบนี้ ผมว่าประชาชนเราสมควรจะได้ทุกอย่าง

“บางคนบอกว่ารัฐสวัสดิการแพงเกินไป คุณเอาเงินไปทำอย่างอื่นดีกว่า แต่ผมไม่คิดแบบนั้น ถ้าสิ่งนี้จะสามารถเก็บความฝันของเด็ก ยื้อชีวิตของคนแก่ รักษาชีวิตของคนป่วย ให้เขาสามารถที่จะอยู่ในโลกนี้ได้ ต่อสู้ต่อไปได้ ผมไม่คิดว่ามันแพงเกินไป”

รศ.ษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี

ประชาชนต้องยืนหยัด-ทวงสิทธิ ในสนามการเมือง

“ตั้งแต่ปี 2566 ต้องเช็กบิลพรรคการเมืองที่ตระบัดสัตย์เรื่องรัฐสวัสดิการ” รศ.ษัษฐรัมย์ กล่าวถึงปฏิกิริยาโต้กลับโดยประชาชน เพื่อทวงคำสัญญาต่อฝ่ายการเมือง เพราะแนวคิดเรื่อง “คนเท่ากัน” เริ่มเป็นกระแสสูงทางการเมืองในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา หลังจากประเทศไทยตกอยู่ใต้อำนาจรัฐบาลเผด็จการ คสช. มาตั้งแต่ปี 2557 

จากปัญหาสิทธิเสรีภาพ คุณภาพชีวิต และเศรษฐกิจปากท้อง นอกจากจะทำให้คนเริ่มเปิดใจหันมาศึกษาทำความเข้าใจเรื่องรัฐสวัสดิการกันมากขึ้นแล้ว พรรคการเมืองแทบทุกพรรคต่างก็พยายามชูนโยบายสวัสดิการสังคม ในการหาเสียงเลือกตั้งเมื่อปี 2566 กันอย่างคึกคัก แต่ถึงที่สุดแล้วเมื่อได้เป็นรัฐบาล กลับไม่มีการสานต่ออย่างจริงจัง ดังคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้

ฉะนั้น เมื่อถึงเวลาหย่อนบัตรเลือกตั้ง จึงเป็นโอกาสที่ประชาชนจะได้แสดงพลังอีกครั้ง เพื่อให้บทเรียนแก่นักการเมืองเหล่านี้

ท้ายที่สุดประโยคที่ว่า ประชาชนมีกินมีใช้ เด็กได้รับการดูแล แรงงานไม่ถูกเอาเปรียบ และผู้สูงอายุไม่ถูกละเลย จะไม่ใช่ภาพฝันอีกต่อไป และอาจบรรจบกันได้ หากระบอบประชาธิปไตยยังคงเดินหน้าโดยไร้การแทรกแซง พร้อมกับการจัดเก็บภาษีและการบริหารงบประมาณที่มีประสิทธิภาพ ที่อาจไม่ได้ขึ้นอยู่กับรัฐบาลฝ่ายเดียว หากขึ้นอยู่กับพลังของประชาชนที่จะไม่ยอมให้ใครถูกทิ้งไว้ข้างหลัง


เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active