ทำไม ? ต้องทำงานหนัก : ย้อนมายาคติ ‘ความขยัน’ สู่บรรทัดฐานความสำเร็จ

ปัจจุบัน เราอยู่ในโลกทุนนิยมที่ทุกอย่างต้องขับเคลื่อนด้วย เงิน และ ความสำเร็จ จนทำให้เกือบทุกคนต่างต้องทำงานหนัก เพราะต้องการหลุดพ้นจากกับดักทางการเงิน และมีชีวิตที่ สบาย กว่าปัจจุบัน

แต่หากมองย้อนกลับไปจากเรื่องราวในประวัติศาสตร์ เราเคยสงสัยกันไหมว่า ทำไม ? เราต้องทำงานหนัก

ชัยพร สิงห์ดี นักมานุษยวิทยา ชวนหาคำตอบและการอธิบายทางสังคมศาสตร์ว่าด้วยเรื่องการทำงานหนัก ผ่านประวัติศาสตร์ตั้งแต่ยุคก่อนปฏิวัติอุตสาหกรรม จนเข้าสู่ยุคหลังสมัยใหม่ (Postmodernity) ที่รื้อสร้างและเริ่มตั้งถามถึงคุณงามความดีแห่งวิถีการทำงานหนักแบบเดิม 

ชัยพร สิงห์ดี นักมานุษยวิทยา

รื้อสร้างความจริงเดิม เข้าใจประวัติศาสตร์การทำงานหนักของมนุษย์

ก่อนที่เราจะมาถึงจุดนี้ได้ ต้องย้อนมองประวัติศาสตร์ตั้งแต่ ยุคสมัยใหม่ (Modernity) ที่เชื่อว่า ความจริงมีเพียงหนึ่งเดียว (grand narrative) โดยไม่ต้องตั้งคำถามกับสิ่งที่เป็นอยู่ ซึ่งกระบวนการคิดเช่นนี้ จึงเป็นเหตุให้เราทุกคนต่างต้องขวนขวายหาความสำเร็จอย่างที่สังคมวาดฝันไว้

ต่างจาก ยุคหลังสมัยใหม่ (Post Modernity) ที่ชวนให้เราหยุดมองในสิ่งที่เป็นอยู่ แล้วย้อนกลับมารื้อถอนระบบเดิมที่สังคมสร้างขึ้น พร้อมตั้งคำถามกับสิ่งที่เราเคยเชื่อว่ามีเพียงหนึ่งเดียว

หากเราอยากรู้ว่า ความสำเร็จถูกสร้างขึ้นมายังไง ? ทำไมเราต้องทำงานหนัก ? เราก็ต้องเริ่มรื้อถอนด้วยการหาที่มาที่ไปในประวัติศาสตร์ก่อน

หากมองย้อนไปเรื่องการทำงานในยุคประวัติศาสตร์ที่ยังไม่มีการปฏิวัติอุตสาหกรรม เราจะเห็นว่า มนุษย์ถูกกำหนดชีวิตตามจังหวะของธรรมชาติ อย่างเกษตรกรที่ทำไร่ตามฤดูกาล โดยไม่มีสิ่งอื่นเข้ามากำหนดว่าช่วงไหนต้องทำงานหรือช่วงไหนต้องพักมากกว่าไปกว่าแสงแดด สายฝน และลมหนาว

แต่แล้ว จุดเปลี่ยนที่สำคัญของการทำงานก็มาถึง เมื่อเราเข้าสู่ ยุคการปฏิวัติอุตสาหกรรม (Industrial Revolution) ในช่วงศตวรรษที่ 18-19 ซึ่งสร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ให้กับระบบเศรษฐกิจและแรงงานเป็นจำนวนมาก จากการแทนที่แรงงานฝีมือด้วยเครื่องจักรในโรงงานอุตสาหกรรม

โดยเฉพาะ อังกฤษ ซึ่งอุดมไปด้วยทรัพยากรและสินค้าที่ต้องการกำลังผลิตให้ได้รวดเร็วตามความต้องการของตลาด จนต้องเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางสังคม จากแรงงานให้กลายเป็นฟันเฟืองของระบบผลิตขนาดใหญ่เพื่อรองรับต่อการเปลี่ยนแปลง 

อย่างการเกิดขึ้นของ Enclosure Act หรือ กฎหมายว่าด้วยการก่อสร้างรั้วหรือกำแพง โดยเปลี่ยนที่ดินสาธารณะที่ชาวบ้านสามารถใช้งานร่วมกันได้มาเป็นที่ดินส่วนบุคคล ที่แม้จะเป็นการทำให้มีผลผลิตเพิ่มมากขึ้น แต่การเกิดขึ้นของกฎหมายนี้ ก็ไม่ได้ต่างจากการผลักผู้คนออกจากที่ดินของตนเองและบีบให้เข้าสู่โรงงานเพื่อแลกค่าจ้าง ซึ่งเป็นการตอกย้ำให้ ระบบทุนนิยม แข็งแรงมากยิ่งขึ้น รวมถึงอิทธิพลของ นายทุน ด้วยเช่นกัน

“ยุคการปฏิวัติอุตสาหกรรม บังคับให้คนต้องมีงานทำ สุดท้ายนายทุนก็เกิดขึ้นมา เพราะต้องมีการลงทุนในการซื้อเครื่องจักร”

ชัยพร สิงห์ดี

เมื่อเราปฏิเสธการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมไม่ได้ สิ่งที่มนุษย์ตัวเล็ก ๆ อย่างคนทำงานหรือแรงงานทำได้ คือยอมรับการเปลี่ยนแปลงและปรับตัวให้เข้ากับความเป็นไปของโลก 

หากมองในทางกลับกัน เมื่อนายทุนลงทุนในการซื้อเครื่องจักรไปแล้ว ประกอบกับแรงงานที่มีอยู่ นายทุนก็จะต้องหาวิธีการให้คนในองค์กรทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ (Productive) เพื่อให้ได้กำไรและคุ้มค่ากับเงินที่เสียไปจากการลงทุน ซึ่งเหตุนี้เอง จึงทำให้นายทุนจะต้องใช้วิธีการและเครื่องมือที่หลากหลายเข้ามาจัดการกับระบบให้เป็นไปตามที่วางแผนไว้

“กริ๊งงงงงงงงงงงงงงงงงงง”

เสียงกริ่งนาฬิกาปลุก คือสัญญาณให้เราดีดตัวออกจากเตียงเพื่อออกไปทำงาน แต่เราเคยรู้ไหมว่าเรากำลังถูกควบคุมให้เป็นไปตามระบบที่วางไว้อยู่ ?

ก่อนที่เราจะถูกควบคุมชีวิตโดย เวลา เราเคยดำเนินชีวิตไปตามจังหวะของธรรมชาติที่ไม่สามารถมีใครมากำหนดชีวิตเรานอกจากแสงของดวงอาทิตย์ แต่อย่างที่รู้กันว่า เราทุกคนต่างยืนอยู่คนละองศาของโลก เราจึงต้องสร้างสิ่งสมมติเพื่อเชื่อมโยงและกำหนดให้มนุษย์ทุกคนบทโลกมีมาตรฐานเดียวกัน นั่นคือเวลา

“ปู๊นนน ปู๊นนนน”

ย้อนกลับไปในยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมอีกเช่นเคย โลกของเราได้ถือกำเนิด รถไฟ ขึ้นมาในฝั่งตะวันตก ที่นอกจากจะทำให้เราสามารถเดินทางได้สะดวกสบายมากขึ้น ยังเป็นจุดกำเนิดของ เวลามาตรฐานกรีนิช (Greenwich Mean Time – GMT) อีกด้วย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้การเดินทางด้วยรถไฟมีมาตรฐานเวลาเดียวกันทั้งระบบการเดินรถไฟ

จากสิ่งสมมติที่มีไว้เพื่อกำหนดตารางการเดินรถไฟเพียงไม่กี่ประเทศในฝั่งตะวันตก ก็ได้กลายมาเป็น เวลามาตรฐาน ที่ทุกประเทศทั่วโลกยึดถือร่วมกัน จนท้ายที่สุด มนุษย์อย่างเราก็ต้องเดินให้ทันไปตามเข็มนาฬิกาที่หมุนไปเรื่อย ๆ อย่างไม่รู้ตัว

เวลา เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งที่ทำให้เราเห็นว่ายิ่งโลกของเราพัฒนาไปได้ไกลมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งทำให้มนุษย์ต้องเพิ่มศักยภาพตัวเองมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งหมายความว่าเราก็จะต้องทำงานหนักให้มากขึ้นด้วยเช่นกัน

ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกอื่น ๆ ที่มาพร้อมกับการก้าวไปข้างหน้าของเทคโนโลยีอย่าง ไฟฟ้า โทรศัพท์ ปัญญาประดิษฐ์ (AI)  ฯลฯ ที่แม้จะช่วยให้เราสะดวกสบาย แต่นั่นก็ตามมาด้วยภาระงานที่เพิ่มขึ้นไปด้วย

โทรศัพท์ มีก็สะดวก แต่หัวหน้าโทรตามได้ตลอด สุดท้ายก็ปฏิเสธไม่ได้

ไฟฟ้า มีก็ดี แต่ก็หมายความว่าเราสามารถทำงานได้ทั้งวันทั้งคืน

ปัญญาประดิษฐ์ (AI) มีก็ช่วยให้เรื่องศักยภาพในการทำงานได้เร็วขึ้น แต่การทำงานเร็วขึ้น ไม่ได้หมายความว่างานจะน้อยลง

“มันมีกระบวนการให้เราทำงานหนักผ่านเทคโนโลยีที่เราคิดว่าดี แต่จริง ๆ แล้วเป็นดาบสองคม คือมันเป็นเครื่องมือที่กำหนดให้เราต้องทำงานมากขึ้น” 

ชัยพร สิงห์ดี

วาทกรรมการทำงาน : พลังแห่งการควบคุมที่มองไม่เห็น

นอกจากการเข้ามาของเทคโนโลยีที่เป็นส่วนหนึ่งให้เราต้องทำงานหนักมากขึ้น ยังมีอีกแรงขับที่สอดคล้องกับความเชื่อ ความจริงมีเพียงหนึ่งเดียว (grand narrative) ในยุคสมัยใหม่ (Modernity) 

“ค่าของคนอยู่ที่ผลของงาน”
“เราคือครอบครัวเดียวกัน”
“Work-life balance”
“ทำงานหนักแล้วจะมีอิสระทางการเงิน”

วาทกรรมข้างต้น ไม่ได้เกิดจากทุนนิยมเพียงอย่างเดียว ในทางสังคมศาสตร์ แนวคิดเรื่อง การทำงานหนักคือความดี มีรากมาจากศาสนาด้วย โดยนักสังคมวิทยาอย่าง Max Weber เคยอธิบายไว้ในงาน The Protestant Ethic and the Spirit of Capitalism ว่า กลุ่มโปรเตสแตนต์ (Protestan) โดยเฉพาะนิกายคาลวิน (Calvinism) เชื่อว่าผู้ที่ประสบความสำเร็จในชีวิตคือ ผู้ถูกเลือกโดยพระเจ้า

มนุษย์จึงพยายามพิสูจน์ว่าตนเองเป็น ผู้ถูกเลือก ด้วยการทำงานหนักจนประสบความสำเร็จ ซึ่งความเชื่อทางศาสนานี้ถูกส่งต่อมาสู่ยุคอุตสาหกรรมและฝังรากในระบบทุนนิยม จนทำให้ ความขยัน กลายเป็นสัญลักษณ์ของ ความดีงาม และ ความสำเร็จ 

 “การทำงานหนักในออฟฟิศไม่ได้เกิดขึ้นมาเอง แต่มาตามกระบวนการทางประวัติศาสตร์ที่ตอบรับ-สอดคล้องกับความต้องการของนายทุนที่ต้องขูดรีดให้เราทำงานเพื่อผลกำไร”

ชัยพร สิงห์ดี

วาทกรรมเหล่านี้ดูเหมือนจะสร้างแรงบันดาลใจ แต่ในอีกมุมหนึ่ง ไม่ได้ต่างจากเครื่องมือที่องค์กรใช้หล่อหลอมให้เราทุ่มเททั้งร่างกายและจิตใจ เพื่อให้ระบบดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพภายใต้ผลประโยชน์ของบริษัท

นักคิดอย่าง มิเชล ฟูโกต์ (Michel Foucault) อธิบายให้เห็นว่า วาทกรรม เป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อกำหนดวิธีคิดและพฤติกรรมของผู้คนในสังคม ซึ่งสำหรับคนทำงาน ก็อาจทำให้คนเหล่านี้ถูกปกครองโดยไม่รู้ตัว จึงทำให้เรื่องการทำงานหนัก กลายเป็นกลไกควบคุมที่ฝังลึกในจิตสำนึก จากการสร้างและส่งต่อโดยระบบทุนนิยม และองค์กรต่าง ๆ ที่ยกย่อง คนทำงานหนัก ให้กลายเป็นต้นแบบของความสำเร็จและความจงรักภักดีต่อองค์กร

แต่เมื่อมองให้ลึกลงไป เราอาจตั้งคำถามว่า “คนดีเด่น” เหล่านั้นมีความสุขจริงหรือไม่ ?

“Work-life balance”

คือคำที่ได้ยินบ่อยในยุคนี้ ซึ่งจริง ๆ แล้วแนวคิดนี้เพิ่งเกิดขึ้นหลังยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม เมื่อการทำงานกลายเป็นระบบ มีเวลางาน มี KPI มีการประเมินผล จนทำให้เราต้องจัดสรรชีวิตให้แยกจากงานเพื่อให้ productive ที่สุด

อย่างไรก็ตาม ชัยพร ชวนมองย้อนกลับไปก่อนหน้านั้น อย่างในยุคเกษตรกรรม งาน และ ชีวิต แทบจะเป็นสิ่งเดียวกัน โดยชาวนาทำงานไปตามฤดูกาล พักเมื่อเหนื่อย ไม่มีเส้นแบ่งที่ชัดเจนระหว่างการทำงานกับการมีชีวิตอยู่

“ทำงานหนักแล้วจะมีอิสระทางการเงิน”

หลายคนทำงานหนักเพื่อ อิสระทางการเงิน แต่เมื่อถึงวันที่ได้เงินเดือนในฝัน เรากลับพบว่าทุกอย่างก็ยังเหมือนเดิม มีเพียงมาตรฐานการใช้เงินที่สูงขึ้นตามรายได้เท่านั้น สำหรับ ชัยพร จึงมองว่าความสุขที่คิดว่าจะได้กลับไม่เกิดขึ้นจริง เพราะเราอาจเพียงเปลี่ยน กรง จากแบบหนึ่งไปสู่อีกแบบหนึ่งโดยไม่รู้ตัว

เราทำงานหนักเพื่ออะไร ? : ตั้งคำถามที่อาจไม่มีคำตอบ แต่ช่วยให้เราหยุดมองตัวเอง

หากมองด้วยสายตาแบบยุคหลังสมัยใหม่ เราอาจตั้งคำถามกับทุกอย่าง ตั้งแต่ระบบการทำงาน ไปจนถึงคำว่าสำเร็จ ว่าเป็นของจริงหรือแค่สิ่งที่ถูกสร้างขึ้นให้เรายึดถือ

อย่างไรก็ตาม จุดอ่อนของการตั้งคำถามกับทุกอย่าง คือ เราสามารถรื้อถอนทุกอย่างได้ แต่ไม่สามารถ สร้างขึ้นใหม่ ได้ ซึ่งสำหรับ ชัยพร ให้ความเห็นว่า การที่เราลองรื้อถอนหรือตั้งคำถามกับสิ่งที่เกิดขึ้น อย่างน้อยที่สุด การตระหนักรู้เช่นนี้ก็ทำให้เราเห็นว่า กติกา ของโลกการทำงานถูกสร้างขึ้นอย่างไร 

“เราจึงต้องรู้จัก สวิตช์โหมด ตัวเองให้ได้ เช่น KPI กำหนดชีวิตของคุณอยู่ในพื้นที่ตรงนี้ แต่ถ้าอยู่นอกพื้นที่การทำงาน ก็จะต้องหาวิธีการต่อรองหรือต่อสู้กับความคิดแบบนี้ ซึ่งไม่มีคำตอบ เพราะความสำเร็จหรือความโอเคในชีวิตอยู่ที่ปัจเจกของแต่ละคน”

ชัยพร สิงห์ดี

ทั้งนี้ ถ้าเรามองย้อนกลับไปในมุมมองของยุคสมัยใหม่ คำตอบของคำถามก็จะมีเพียงชุดเดียวหรือสิ่งที่เป็นไปตามในแบบของมัน เช่น เกิดมา เรียนหนังสือ เรียนจบ ทำงาน เก็บเงิน แต่งงาน มีลูก เกษียณ ตาย นั่นคือ grand narrative ที่ถูกสร้างขึ้นมา

ดังนั้น เราจะทำยังไงให้เราสามารถต่อรองกับ narrative ตรงนี้ได้ ชัยพร ชวนสร้างสมการของตัวเองว่า บางทีการเดินทางเป็นเส้นตรงไม่ใช่คำตอบก็ได้ อาจจะมีการหยุดพัก เพื่อให้เราเจอคำตอบในแบบที่ดีที่สุดของเราเองด้วย

หรือแม้กระทั่งการพักที่หลายคนอาจมองว่าเป็นการ ทำอะไรโง่ ๆ อย่างการนอนทั้งวัน ยืนมองตะวันตกดิน หรืออะไรก็ได้ที่ทำแล้วเรามีความสุขและได้หยุดพักจากความเหนื่อยล้า ที่อาจจะถูกมองว่าอยู่นอกกรอบของการทำงานแบบ Productive แต่สำหรับ ชัยพร มองว่า เราต้องปล่อยตัวเองทำตามใจบ้าง ให้เราพักจากคำว่า “เราต้อง productive ตลอดเวลา” 

“เราอยู่ในกรอบของการทำงานที่มีคำว่าความสำเร็จ แต่ปัญหาคือ กลไกไหนที่จะบอกตัวเองว่าพอก่อน พักบ้าง หรือบางทีการทำงานไม่ใช่ทุกอย่างในชีวิตของคุณ แต่เราต้องหาความพอดีให้กับตัวเอง”

ชัยพร สิงห์ดี

แล้วคำว่าแพ้ หรือสำเร็จ ใครเป็นคนนิยาม ?

สำหรับ ชัยพร ทุกคนคิดว่าความแพ้มีอยู่นิยามเดียวที่คนเชื่อทุกคน เช่นเดียวกับความสำเร็จที่มีอยู่นิยามเดียวตามที่ทุกคนเชื่อ แต่ความเป็นจริงแล้ว เรานิยามความแพ้ตัวเองนั้นได้รึเปล่า เรานิยามสำเร็จของตัวเองนั้นได้รึเปล่า อยู่ที่เราว่าจะให้ความหมายกับสิ่งที่มันเกิดขึ้นกับตัวเรายังไง

“ตัวอย่างหนึ่ง คือ เราทำงานหนักมาก จนอยากจะออก แต่มีคนมาว่าบอกว่า ถ้าออกนี่แพ้นะ สุดท้ายเราก็ไม่สามารถปฏิเสธอีโก้ได้ ก็กลับมาสู้ต่อ แต่เมื่อสู้ต่อ สิ่งที่ได้กลับมาคือ เสียสุขภาพกาย-สุขภาพจิต แล้วกลับมาถามว่า เราจะชนะไปเพื่ออะไร ถ้าแพ้แล้ว มีเวลาให้ตัวเองมากขึ้น ได้ทำในสิ่งที่มีความสุข เราอาจจะสำเร็จในงานใหม่ก็ได้”

ชัยพร สิงห์ดี

ฉะนั้น “อย่าไปยอม” ความเชื่อที่ถูกสร้างมาตีกรอบเราไว้

เพราะรัฐสวัสดิการดีไม่พอ เราจึงต้องทำงานหนัก ?

คำว่า ความรับผิดชอบ ดูเหมือนจะเป็นเพียงคุณค่าทางศีลธรรมทั่วไปที่ทุกคนควรมี แต่แท้จริงแล้ว ความคิดเช่นนี้ได้กลายมาเป็นสิ่งที่ครอบคลุมหัวของพนักงานทุกคนอยู่โดยไม่รู้ตัว เพราะเมื่อใดที่เราพยายามจะบาลานซ์ชีวิตของตัวเอง เช่น อยากพักผ่อนหรือใช้เวลาเพื่อครอบครัว เรากลับรู้สึกผิดอย่างไม่มีเหตุผล

 แต่เมื่อมองไปที่ฝั่ง ยุโรป เรากลับเห็นว่าผู้คนที่นั่นสามารถใช้ชีวิตแบบ work-life balance ได้อย่างเป็นธรรมชาติ 

คำถามคือ ทำไม ? เราทำไม่ได้

นักมานุษยวิทยา ให้คำตอบว่า เป็นเพราะ โครงสร้างพื้นฐานทางสังคมทางฝั่งยุโรปดี ไม่ว่าจะเป็นระบบสวัสดิการ (welfare) เข้มแข็ง รัฐดูแลประชาชนตั้งแต่เกิดจนตาย ทั้งการศึกษา การรักษาพยาบาล ไปจนถึงเงินบำนาญ ซึ่งทุกคนเข้าถึงบริการพื้นฐานเท่าเทียมกันหมด ดังนั้น เมื่อความมั่นคงในชีวิตได้รับการรับรอง คนก็ไม่จำเป็นต้องทำงานหนักจนเกินไป เพื่อป้องกันความเสี่ยงในชีวิต

ในทางกลับกัน สังคมไทยที่ยังมีสวัสดิการไม่ครอบคลุมเท่ากัน จึงเป็นเหตุผลที่ “เงิน” กลายเป็นทุกอย่าง และทำให้เราต้องทำงานหนักเพื่อลดความเสี่ยง เพราะรู้ดีว่า หากไม่มีเงิน ก็ไม่มีอะไรมารองรับชีวิตได้เลย 

ดังนั้น การทำงานหนัก จึงกลายเป็นวิธีหนึ่งในการสร้าง ความปลอดภัยทางใจ ให้กับตัวเอง และเป็นการดิ้นรนเพื่อมี security ในชีวิต ซึ่งไม่ใช่เรื่องผิดแต่อย่างใด เพียงแต่สะท้อนให้เห็นถึงโครงสร้างที่ไม่เท่าเทียม

“เราทำงานหนักก็เพื่อให้มีชีวิตที่ไม่ต้องกังวลมากเกินไป เมื่อมองความจริง เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่เราพยายามหาโอกาสที่จะทำงานให้หนักไว้ก่อน ซึ่งสำหรับผมไม่ผิด เพราะเราต้องมี security ในชีวิตเราเป็นปกติ แต่การทำงานหนักเคยฆ่าคนตายมาแล้วก็มี”

ชัยพร สิงห์ดี

นอกจากนี้ ในยุโรปสามารถให้คนเลือกทำในสิ่งที่รักได้มากกว่า เพราะมีระบบที่รองรับความล้มเหลว ในขณะที่ไทย จะเห็นว่านักศึกษามากมายเลือกเรียนในสิ่งที่ไม่อยากเรียน หรือไม่ใช่สิ่งที่ฝันไว้ เพียงเพราะต้องการ เอาตัวรอด ซึ่งหากโครงสร้างทางสังคมของเราดีพอ เราอาจเห็นคนเรียนศิลปะ ปรัชญา หรือประวัติศาสตร์มากขึ้น เพราะไม่ต้องกังวลว่าชีวิตหลังเรียนจบจะอยู่ได้ไหม

แล้วรัฐอยากให้เป็นแบบนั้นหรือเปล่า ?

เมื่อย้อนกลับไปดูรากของระบบการศึกษา เราจะพบว่ากระบวนการผลิตแรงงานเริ่มต้นตั้งแต่ในโรงเรียน ตัวอย่างจาก เยอรมนีในยุคปรัสเซีย ซึ่งมีแนวคิดที่เรียกว่า “ปรัสเซียนแอคต์” (Prussian Act) ที่เป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างระบบโรงเรียน เพื่อผลิตแรงงานเข้าสู่โรงงานให้มีวินัยต่อเวลา เคารพกฎระเบียบ ใส่ยูนิฟอร์มเหมือนกัน และถูกวัดผลด้วยเกรดหรือ KPI อย่างเป็นระบบ

เอกสารทางประวัติศาสตร์ยังระบุชัดว่า โรงเรียน ถูกออกแบบมาเพื่อสร้างแรงงานที่พร้อมเข้าสู่ฐานการผลิต ไม่ต่างจากเครื่องจักรในโรงงาน 

นั่นจึงน่าตั้งคำถามว่า

โรงเรียนในปัจจุบันยังคงทำหน้าที่เช่นนั้นอยู่หรือไม่ ?

เรายังให้คุณค่ากับสิ่งที่ สร้างเงิน มากกว่า สร้างคน อยู่หรือเปล่า ?

เมื่อเรียนจบ เราจะกลายเป็นแรงงานแบบไหนในระบบนี้กันแน่ ?

บทส่งท้าย 

ท้ายที่สุดแล้ว คำถามที่ว่า “ทำไม ? เราต้องทำงานหนัก” อาจไม่มีคำตอบเดียวตายตัว เพราะคำตอบของแต่ละคนถูกหล่อหลอมจากประวัติศาสตร์ โครงสร้างสังคม และบริบทที่เราเติบโตมา โลกทุนนิยมอาจผลักให้เราทำงานหนักเพื่อความอยู่รอด เพื่อความสำเร็จ หรือเพื่อหลุดพ้นจากความไม่มั่นคงในชีวิต แต่ในขณะเดียวกัน มันก็ทำให้เราหลงลืมที่จะถามตัวเองว่า “เราทำงานไปเพื่ออะไร”

ขณะเดียวกัน ในสังคมที่จำกัดจินตนาการของเราว่า “จะมีชีวิตที่มีความสุขได้ยังไง ?” สำหรับ ชัยพร ให้ข้อคิดว่า ความสุขอยู่ที่มุมมอง ซึ่งอยู่ที่ว่าเราจะเก็บเกี่ยวมันจากสิ่งเล็ก ๆ รอบตัวอย่างไร

ถ้าเราสามารถ shut off ตัวเองจากงานได้บ้าง เราก็จะอยู่ในโลกนี้ได้โดยไม่ต้องแบกรับทุกอย่างไว้คนเดียว

สุดท้ายแล้ว การนิยาม ความสุข ก็เหมือนกับการนิยาม ความสำเร็จ หรือ ความพ่ายแพ้ ที่ไม่มีคำตอบตายตัว มีเพียงการเดินทางภายในของเรา ว่าเราจะวาง ความพอดี ของชีวิตไว้ตรงไหน ?

​​