ชีวิตเล็ก ๆ หลังแนวปะทะชายแดน

เด็ก ๆ ในศูนย์อพยพ คือหนึ่งใน "ผู้รอดชีวิต" จากวิถีกระสุน และแรงระเบิด

ขณะที่ความขัดแย้งยังไม่ยุติ พวกเขาจึงต้องรอการฟื้นคืนชีวิตปกติ…แต่อนาคตไม่อาจรอได้ เพราะแต่ละวัน โอกาสที่จะเติบโตอย่างสมวัยกำลังค่อย ๆ หายไป หากสถานการณ์ตึงเครียดยังไม่ได้บทสรุป

ตาม "อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก" ขององค์การสหประชาชาติ ย้ำชัดเจน "เด็กทุกคนมีสิทธิ์ได้รับการคุ้มครองในภาวะฉุกเฉิน" พวกเขามีสิทธิ์ได้เรียน ได้เล่น และเติบโตในที่ที่ปลอดภัย ไม่ใช่ต้องตกอยู่ท่ามกลางรั้วลวดหนาม และเต็มไปด้วยความหวาดกลัว

สิ่งที่ควรเฝ้ามองจึงไม่ใช่แค่การ "รอดชีวิต" แต่คือการ "เยียวยา" และ "ฟื้นคืนความเป็นเด็ก" ให้กลับมาโดยเร็วที่สุด

The Active ลงพื้นที่ติดตามดูชีวิตของเด็ก ๆ ภายในศูนย์อพยพแห่งหนึ่ง ใน จ.สุรินทร์ พร้อมชวนตั้งคำถามไปด้วยกันว่า “เหตุการณ์นี้จะยืดเยื้อไปอีกนานแค่ไหน?” และเมื่อไหร่...เด็ก ๆ เหล่านี้จะได้กลับบ้าน เพื่อใช้ชีวิตที่ควรเป็นของพวกเขาอีกครั้ง

(คลิกที่รูป...เพื่ออ่านเรื่องราวเพิ่มเติม)


ศูนย์อพยพใน จ.สุรินทร์ แห่งนี้ อาศัยใต้ถุนอาคารเป็นที่พักพิงของชาวบ้านที่ต้องอพยพหนีการปะทะกันบริเวณชายแดน แค่จุดนี้จุดเดียว มีเด็กเล็กในวัยประถม ไม่น้อยกว่า 20 คนอาศัยอยู่รวมกัน
เด็กเล็ก ๆ ต้องการการดูแลเอาใจใส่เป็นพิเศษ แต่ที่นี่พวกเขาจำเป็นต้องอาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะกับวัย บางคนต้องนอนตากลม ใต้ถุนอาคาร เปิดโล่ง ไม่มีผนังกันลมหนาว หรือความชื้นจากฝน
เปลผ้า…ที่เคยผูกไกวอยู่ที่บ้าน วันนี้ต้องย้ายมาอยู่ในศูนย์อพยพ...ยายของเด็กเล็กคนนี้ เล่าว่า ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ กลางคืนน้องนอนไม่ค่อยหลับ กินข้าวได้น้อยลง
ครอบครัวนี้อพยพเด็กมาด้วย 4–5 คน มีทั้งเด็กเล็กที่ยังนอนในเปล ไปจนถึงเด็กชายวัยรุ่นอายุ 13–14 ปี ต่างวัย ต่างความต้องการ แต่ทุกคนต้องมาใช้ชีวิตร่วมกันในพื้นที่จำกัดที่ไม่ใช่บ้าน ในช่วงเวลาที่ชีวิตอยู่ท่ามกลางความไม่ปลอดภัย
ผู้ปกครองของเด็กหลายคน ยังคงเฝ้าติดตามข่าวอย่างใกล้ชิด เพราะความหวังเดียวในแต่ละวัน คือขอให้เหตุการณ์ปะทะยุติลง เพื่อให้พวกเขาได้กลับบ้านโดยเร็ว แต่หากสถานการณ์ยืดเยื้อ ความไม่แน่นอนก็ยิ่งกดทับหัวใจคนเป็นพ่อเป็นแม่
เด็กหญิงตัวน้อยคนนี้ ต้องอยู่ในอ้อมแขนของยายตลอดเวลา ถ้าวางลงสาวน้อยมักจะร้องไห้งอแง ไม่ยอมห่างจากยาย...นี่เป็นอีกครอบครัว ที่เฝ้ารอให้สถานการณ์คลี่คลายโดยเร็ว เพราะไม่มีที่ไหนปลอดภัย และอบอุ่น…เท่ากับ “บ้าน” ที่จากมา
เด็กบางคนดูไม่ค่อยร่าเริง หลายคนใช้เวลาช่วงกลางวันนอนพัก เพราะตลอดทั้งคืนแทบไม่ได้นอน ทั้งจากเสียงฟ้าฝน เสียงลม จนถึงเสียงของระเบิด ที่ยังคงดังก้องอยู่ในความทรงจำของเด็กหลาย ๆ คน
แม้เด็ก ๆ หลายคนจะได้เจอเพื่อนใหม่ มีเพื่อนเล่นกันที่ศูนย์อพยพ แต่จะดีกว่าหากพวกเขาได้กลับไปเรียนหนังสือ ได้เจอคุณครู ได้เจอเพื่อในห้องเรียน เพราะนั่นหมายถึงการได้เรียนรู้ตามช่วงวัย
รองเท้านักเรียนที่ครอบครัวนี้หยิบติดตัวมาด้วย ถูกเก็บไว้อย่างดี ในขณะที่เจ้าของรองเท้าคู่นี้ก็อยากกลับไปใช้ชีวิตปกติ ได้ไปโรงเรียน ได้วิ่งเล่นกับเพื่อน ๆ ที่สนามฟุตบอล
ในช่วงที่ไข้เลือดออกระบาด เด็ก ๆ ในศูนย์อพยพ จึงจำเป็นต้องนอนในมุ้งเพื่อป้องกันไม่ให้ถูกยุงลายกัด เพราะถ้าหากเจ็บป่วยขึ้นมา อาจยิ่งซ้ำเติมสถานการณ์ให้ยากลำบากมากขึ้น
แม่และลูกวัย 2 ขวบ ยังคงนอนกอดกัน ใต้ผ้าห่มผืนเดียว เด็กคนนี้เพิ่งมีไข้สูงถึง 39 องศา ก่อนหน้านี้ หมอที่มาเยี่ยมในศูนย์เอายาน้ำไว้ให้กิน แต่ก็ยังคงมีอาการไอไม่หยุด
สำหรับคนเป็นแม่นี่คือช่วงเวลาที่ทุกข์ใจไม่น้อย เพราะลูกยังคงนอนป่วย ในขณะที่ชีวิตก็ต้องเอาชีวิตให้รอดปลอดภัย
ข้อมูลจากศูนย์อพยพใน 6 จังหวัดชายแดน ได้แก่ อุบลราชธานี, ศรีสะเกษ, สุรินทร์, บุรีรัมย์, ตราด และสระแก้ว ระบุว่า ขณะนี้มีผู้อพยพอยู่ภายในศูนย์รวม 138,152 คน จากความสามารถในการรองรับสูงสุด 358,410 คน โดยจังหวัดศรีสะเกษ มีผู้อพยพมากที่สุดถึง 62,691 คน... สำหรับกลุ่มเปราะบาง เช่น เด็ก ผู้สูงอายุ และผู้ป่วยเรื้อรัง มีจำนวนรวม 21,076 คน โดยศรีสะเกษ ก็ยังมีมากที่สุด 8,267 คน รองลงมา คือ สุรินทร์ 4,988 คน

Author

Alternative Text
AUTHOR

วชิร​วิทย์​ เลิศบำรุงชัย

ผู้สื่อข่าวสาธารณสุข ThaiPBS