โรงเรียนใกล้(บ้าน)ฉัน: ฝันไกลถึงการศึกษาที่ใกล้ตัว ให้ครอบครัวอยู่พร้อมหน้ากัน

“วันนี้ เด็กไทยยังต้องห่างบ้าน เพื่อการศึกษาที่ดีกว่า”

หนึ่งในปัญหาสำคัญของสังคมไทยปัจจุบัน คือ ‘โครงสร้างครอบครัวแหว่งกลาง’ เพราะพ่อแม่จำนวนมากต้องย้ายถิ่นฐานเข้ามาทำงานในเมือง หาโอกาสทางรายได้ที่มากกว่าบ้านเกิด ขณะที่ลูก ๆ ถูกทิ้งให้อยู่กับปู่ย่าตายายในชนบท

เมื่อเติบโตเข้าสู่ชั้นมัธยมศึกษา ตัวเลือกของโรงเรียนยิ่งกระจุกตัวอยู่ในเขตเทศบาล หรือตัวจังหวัด ลูกหลานในชนบทจึงถูกบีบให้ออกจากท้องถิ่นตัวเองมากขึ้น กลายเป็นแรงงานในเมืองใหญ่ ขาดความผูกพันบ้านเกิด และถูกทิ้งร้างไปในที่สุด

สำนักงานสถิติแห่งชาติ เปิดเผยตัวเลขประชากรแฝงในปี 2566 พบว่า ประเทศไทยมีประชากรแฝงกลางวันที่เข้ามาเรียน ทั้งหมด ประมาณ 240,000 คน แฝงอยู่ใน กทม. ไปแล้ว 55.3% หรือราว ๆ 132,720 คน รองลงมาเป็นเขตปริมณฑลและหัวเมืองใหญ่อย่าง นครปฐม พระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี และขอนแก่น ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนปัญหาเกี่ยวกับความเหลื่อมล้ำด้านการศึกษา ที่กระจุกอยู่แต่ในเทศบาล และนำไปสู่ปัญหาความแออัดในเมืองใหญ่ และเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจตามมา

เพื่อไม่ให้เด็กไทยต้องห่างบ้าน ห่างชุมชนและครอบครัว เพื่อโอกาสการศึกษาที่ดีกว่า การทำให้โรงเรียนในท้องถิ่นแข็งแรงขึ้นอาจช่วยลดปัญหานี้ได้ จะดีกว่าหรือไม่ ? หากกลไกของ ‘องค์การบริหารส่วนจังหวัด’ หรือ อบจ. เข้ามามีบทบาทในการพัฒนาการศึกษาท้องถิ่น โดยอาศัยกลไกของการปกครองที่มีความยืดหยุ่นสูงกว่าส่วนราชการที่ขึ้นตรงกับกระทรวงศึกษาธิการ ทั้งยังมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมการศึกษาและดูแลสุขภาวะของเด็กและเยาวชน ตลอดจนการศึกษาของประชาชนตลอดชีวิต

The Active ชวนสำรวจบทบาทและความสำคัญของการพัฒนาการศึกษาท้องถิ่น พร้อมจับตาการเลือกตั้ง นายกฯ อบจ. และ ส.อบจ. ปี 2568 ผ่านข้อมูลและบทสัมภาษณ์ของ ผศ.อรรถพล อนันตวรสกุล อาจารย์ประจำคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

“การศึกษาที่ทำให้คนรักบ้านเกิด
และครอบครัวอยู่พร้อมหน้า”

พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ ปี 2542 กําหนดไว้ว่า ‘ให้รัฐสนับสนุนให้ส่วนท้องถิ่น มีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาเพื่อให้ประชาชนรักถิ่นฐานบ้านเกิด และเป็นการส่งเสริมสถาบันครอบครัวให้มีความมั่นคงยิ่งขึ้น’ เหตุที่ต้องกำหนดเช่นนี้ เพราะเราต่างตระหนักรู้แล้วว่า การศึกษาไทยจำเป็นต้องได้รับการปฏิรูปและกระจายอำนาจให้ท้องถิ่นเป็นผู้จัดการ หากยังปล่อยให้ส่วนกลางอย่างกระทรวงศึกษาธิการเป็นผู้ดูแลโรงเรียนทั้งหมดกว่า 50,000 โรงเรียน จะทำให้ระบบการศึกษาบ้านเราใหญ่โตเทอะทะ และพัฒนาคนได้ไม่ทันโลก

อย่างไรก็ตาม ข้อมูลจำนวนประชากรแฝงจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ ปี 2566 พบว่า ประเทศไทยมีประชากรแฝงกลางวันที่เข้ามาเรียน ทั้งหมด ประมาณ 240,000 คน แฝงอยู่ใน กทม. ไปแล้ว 55.3% หรือราว ๆ 132,720 คน ขณะที่ในบรรดาประชากรแฝงกลางวันที่เข้ามาเรียน ราว 60.7% อยู่ในระดับอุดมศึกษา, 17% อยู่ในระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย, 20.4% อยู่ในระดับชั้นที่ต่ำกว่ามัธยมศึกษาตอนปลาย และที่เหลือคืออาชีวศึกษา (1.9%) ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนว่า ยิ่งการศึกษาที่สูงขึ้นเท่าไหร่ เราจำเป็นต้องห่างบ้าน เพื่อเข้ามาเรียนในเมืองมากขึ้นเท่านั้น

ขณะที่ประชากรแฝงกลางคืน (เข้ามาอยู่อาศัยประจำ) ทั่วประเทศมีจำนวนทั้งหมด 8,401,300 คน ในจำนวนนี้เป็นเยาวชนอายุต่ำกว่า 19 ปี มีทั้งหมด 902,500 คน (10.7%) กล่าวคือ มีเด็กและเยาวชนจำนวนมาก ต้องเข้ามาอาศัยในพื้นที่ต่างถิ่น เพื่อเป้าหมายทางวิชาชีพ ทางการศึกษา หรืออาจจำเป็นต้องโยกย้ายถิ่นฐานมากับครอบครัวด้วย

รายงานการจัดทำตัวชี้วัดทางการศึกษาระดับจังหวัดของประเทศไทย โดยเลขาธิการสภาศึกษา เปิดผลประเมินคุณภาพการศึกษาปี 2565 สะท้อนว่า ‘การศึกษาที่ดี’ กระจุกอยู่ในเมืองใหญ่ เนื่องจากมีเพียง 4 จังหวัดที่ได้รับการประเมินคุณภาพการศึกษาอยู่ในเกณฑ์ ดีมากได้แก่ กทม., สมุทรปราการ, นนทบุรี และภูเก็ต และอีก 4 จังหวัดอยู่ในเกณฑ์ควรปรับปรุงได้แก่ ตาก, ยะลา, ปัตตานี และ นราธิวาส และที่เหลืออีก 56 จังหวัดอยู่ในเกณฑ์ ‘พอใช้’ ด้วยผลที่ออกมาเช่นนี้ ทำให้ทางเลขาธิการสภาศึกษาเองยังมีข้อเสนอว่า กระทรวงศึกษาธิการจำเป็นต้องกระจายอำนาจและทรัพยากรทางการศึกษาให้มากขึ้น

ผศ.อรรถพล อนันตวรสกุล อาจารย์ประจำคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เน้นย้ำว่า การที่เมืองขยายตัวและดึงทรัพยากรไปมาก ทำให้ท้องถิ่นถูกทิ้งร้าง หลายประเทศจึงหันมาทำให้ท้องถิ่นแข็งแกร่ง โดยเฉพาะการให้ความสำคัญกับการศึกษา เพื่อให้ประชากรไม่ต้องย้ายจากถิ่นฐานไปอยู่ในเมือง หากโรงเรียนในพื้นที่ไม่ดี เด็กต้องเดินทางไกลไปเรียนในเมือง ทำให้ครอบครัวต้องแยกกัน หรือเด็กบางคนต้องไปอยู่หอพัก สิ่งเหล่านี้ทำให้สถาบันครอบครัวไทยเปราะบางมากขึ้น

หลายประเทศจึงหาทางกระจายการรับผิดชอบให้กับเทศบาลและท้องถิ่นเป็นผู้ดูแลการศึกษา เช่น ในประเทศญี่ปุ่น โรงเรียนประถมเกือบทั้งหมดอยู่ภายใต้การดูแลของเทศบาล ไม่ว่าจะเป็นจังหวัดที่มีประชากรน้อยแค่ไหน ก็ยังมีครูครบทุกชั้น ทุกวิชา มีอุปกรณ์การเรียนการสอนตามมาตรฐาน ซึ่งท้องถิ่นใช้ภาษีในการจัดการ เพื่อให้เด็ก ๆ ยังมีโรงเรียนที่สามารถเรียนใกล้บ้าน ไม่ต้องย้ายไปไกลจากครอบครัว

แต่สำหรับประเทศไทย ผศ.อรรถพล เน้นว่า ปัญหาคือแรงงานที่ถูกดึงไปในเมือง ทำให้เด็กต้องไปอยู่กับปู่ย่าตายายในชนบท หรือบางครั้งต้องฝากญาติในเมืองเรียนหนังสือ ซึ่งส่งผลให้เกิดการขาดความสัมพันธ์ในครอบครัวและความผูกพันกับชุมชน พ่อแม่ไปทำงานในเมืองใหญ่ ส่งเงินกลับบ้าน ขณะที่เด็กโตขึ้นและต้องแยกจากครอบครัวไปเรียนในเมือง ความเป็นหนึ่งเดียวกันของครอบครัวลดลง ส่งผลให้เด็กหลุดออกจากชุมชนไปเป็นแรงงานในเมือง นำไปสู่การทิ้งร้างของพื้นที่ชนบท

“เรื่องท้องถิ่น เป็นเรื่องที่เราต้องทบทวนครั้งใหญ่ เพราะว่าสังคมไทยปฏิเสธไม่ได้ว่าการกระจายอำนาจเป็นโจทย์ใหญ่ที่สุด และเราต้องพูดควบคู่ไปกับเรื่องการศึกษาด้วย”

อรรถพล อนันตวรสกุล

การกระจายอำนาจให้ท้องถิ่นมีบทบาทในการจัดการศึกษาและสวัสดิการถือเป็นทางออกที่สำคัญ เพราะบางปัญหาต้องการการตัดสินใจและการจัดการที่รวดเร็วและตรงจุด ซึ่งท้องถิ่นมีข้อมูลและเข้าใจสถานการณ์ในพื้นที่ดีกว่า เช่น ในกรณีวิกฤตฝุ่นหรือการระบาดของโควิด ที่ไม่สามารถรอคำสั่งจากส่วนกลางได้ ท้องถิ่นต้องเข้ามาจัดการด้วยตัวเอง

อย่างไรก็ตาม ในทัศนะของ ผศ.อรรถพล เห็นว่าช่วง 20 ปีที่ผ่านมา การเมืองท้องถิ่นในไทยมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก จากภาพจำของนักการเมืองท้องถิ่นแบบมาเฟีย ถูกแทนที่ด้วยการเข้ามาของคนรุ่นใหม่ที่มีความกระตือรือร้นในการทำงานเพื่อประโยชน์ของพื้นที่และการศึกษา การให้ท้องถิ่นมีบทบาทมากขึ้นจะช่วยให้เด็กในพื้นที่ได้รับการดูแลและการศึกษาที่มีคุณภาพอย่างเต็มที่

งบฯ อบจ. ลงการศึกษากว่า 1.3 หมื่นล้านบาท
ไม่ถึง 1 ใน 5 ของงบฯ ทั้งหมด

ข้อมูลจาก Rocket Media Lab เปิดเผยถึงงบประมาณของ อบจ. ในปี 2567 แยกตามหมวดการใช้ จากข้อบัญญัติงบประมาณปี 2567 พบว่า อบจ. ทั้ง 76 จังหวัดตั้งงบฯ ไว้ทั้งหมด 70,236 ล้านบาท โดยคิดเป็นงบฯ ค่าใช้จ่ายทางการศึกษา 13,555 ล้านบาท (19.3% ของงบฯ ทั้งหมด) โดยมีจังหวัดนนทบุรี ศรีสะเกษ และนครราชสีมา เป็น 3 อันดับแรกที่มีสัดส่วนงบฯ ด้านการศึกษาสูงสุด (60.24, 58.38%, 49.16% ตามลำดับ) โดยเฉลี่ยทุกจังหวัดจะจัดสรรงบฯ ไปที่การศึกษาราว ๆ 160 ล้านบาท

The Active สืบค้นข้อมูลเพิ่มเติม พบว่า จำนวนโรงเรียนสังกัด อบจ. นั้นสอดคล้องกับจำนวนงบฯ กล่าวคือยิ่งมีโรงเรียนสังกัดมากเท่าไหร่ ยิ่งมีสัดส่วนการใช้งบประมาณมากขึ้นเท่านั้น โดยมีจังหวัดนครราชสีมา ศรีสะเกษ และนนทบุรี เป็น 3 อันดับแรกที่มีจำนวนโรงเรียนสังกัด อบจ. สูงที่สุด (58, 39, 34 โรง ตามลำดับ) ในขณะที่ยังมีถึง 35 จังหวัด ทุ่มงบฯ ลงการศึกษา ต่ำกว่า 10% ของงบฯ ทั้งหมด และมีถึง 18 จังหวัดที่ไม่มีโรงเรียนในสังกัด อบจ. เลย

อย่างไรก็ตาม งบฯ ด้านการศึกษาของ อบจ. ไม่ได้ขึ้นอยู่กับจำนวนโรงเรียนเสมอไป และการมีโรงเรียนจำนวนมากไม่ได้แปลว่าจังหวัดนั้นมีคุณภาพการศึกษาที่ดี ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับวิสัยทัศน์ของนายก อบจ. ว่ามองเห็นบทบาทของหน่วยงานตนเองต่อการศึกษาอย่างไร ซึ่งการศึกษาไม่ได้มีแค่โรงเรียน แต่ยังหมายถึงระบบนิเวศของคนทุกวัย ทั้งห้องสมุด แหล่งการเรียนรู้ชุมชน พิพิธภัณฑ์ อุทยาน โครงการพัฒนาทักษะต่าง ๆ ไปจนถึงการส่งเสริม Reskill – Upskill วัยแรงงานและวัยเกษียณ

แบ่งโรงเรียนให้ท้องถิ่นดูแล
แก้ปัญหากระทรวงใหญ่อุ้ยอ้าย-ลดภาระงานจากส่วนกลาง

ปี 2567 ประเทศไทยมีโรงเรียนอยู่ทั้งหมด 55,799 โรง โดยแบ่งเป็นสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) 29,082 โรง (52.1%) สังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) อีก 19,641 โรง (35.2%) และสังกัดหน่วยอื่น ๆ อีก 7,076 โรง (12.7%) ในจำนวนโรงเรียนที่สังกัด อปท. มีหลายกลไกท้องถิ่นเข้ามาจัดสรรดูแล ทั้งเทศบาลนคร และองค์การบริหารส่วนตำบล โดยมีโรงเรียนในสังกัด อบจ. 352 โรง

ผศ.อรรถพล ชี้ว่า หากจะให้อธิบายปรากฏการณ์ที่บางจังหวัดไม่มีโรงเรียน อบจ. ต้องย้อนกลับไปช่วงที่ประเทศไทยเริ่มผลักดันให้โรงเรียนโอนย้ายสังกัดจาก สพฐ. ไปอยู่ภายใต้การดูแลของ อปท. ตามกฎหมายกระจายอำนาจเมื่อช่วงปี 2542 เพื่อให้ท้องถิ่นได้มีบทบาทจัดการตนเอง ทว่า ไม่ใช่ทุกโรงเรียนที่สามารถย้ายไปสังกัดได้ทันที เพราะขาดความพร้อมในด้านงบประมาณ ทรัพยากรบุคคล และโครงสร้างการบริหารเพื่อรองรับโรงเรียนที่โอนย้ายมา ที่สำคัญคือ หลายโรงเรียนไม่มั่นใจว่าจะได้รับการสนับสนุนเท่าสังกัดเดิมหรือไม่ และกลายเป็นเหตุผลที่เลือกอยู่ภายใต้กระทรวงศึกษาธิการต่อไป

แม้ว่าโรงเรียนเทศบาลหลายแห่งแสดงให้เห็นถึงข้อได้เปรียบ เช่น การจัดสรรงบประมาณที่ยืดหยุ่น, หลักสูตรที่ตอบโจทย์พื้นที่, ความคล่องตัวในการรับมือภัยพิบัติ เป็นต้น แต่จำนวนโรงเรียนในสังกัด อบจ. ยังค่อนข้างจำกัด เพราะพื้นที่การดูแลของ อบจ. นั้นกว้างขวาง โรงเรียนบางแห่งจึงยังขึ้นตรงกับกระทรวงศึกษาธิการ ขณะที่บาง อบจ. อาจเลือกพัฒนาพื้นที่สร้างสรรค์อื่น ๆ แทนการดูแลโรงเรียนโดยตรง ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับวิสัยทัศน์ของนายกฯ​ อบจ. ด้วยเช่นกัน ว่ามองเห็นบทบาทของ อบจ. ต่อการพัฒนาการศึกษาท้องถิ่นมากแค่ไหน

ในช่วงที่ผ่านมา การโอนย้ายมีแนวโน้มชะลอตัวลง ในพื้นที่ทุรกันดาร โรงเรียนขนาดเล็กจำนวนมากจะถูกยุบหรือควบรวม เนื่องจากตั้งอยู่ในเขตห่างไกลและมีจำนวนนักเรียนลดลง สวนทางกับโรงเรียนในเขตเทศบาลเมืองที่ได้รับผลกระทบน้อยกว่า เนื่องจากตั้งอยู่ในชุมชนที่มีความหนาแน่นของประชากรสูง

อรรถพล อธิบายว่า หากมองในมุมของ ‘กระทรวงศึกษาธิการ’ จะเห็นว่า การคงไว้ของโรงเรียนขนาดเล็กนั้นเป็นภาระงบประมาณ จึงพยายามยุบรวมโรงเรียนให้เหลือเพียงไม่กี่แห่งต่อหนึ่งตำบล แต่ในทางกลับกัน ชุมชนท้องถิ่นยังต้องการรักษาโรงเรียนไว้ เพื่อให้เด็กสามารถเรียนใกล้บ้าน ลดภาระของผู้ปกครองในการเดินทาง ทำให้เกิดข้อเสนอต่อไปว่า “แทนที่จะมุ่งยุบโรงเรียนขนาดเล็ก ควรให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเข้ามามีบทบาทมากขึ้นหรือไม่?

อบจ. (รวมไปถึง อปท.) ควรมีบทบาทในการดูแลโรงเรียนท้องถิ่นมากขึ้น เพราะมีศักยภาพด้านงบประมาณและรายได้จากภาษีในพื้นที่ หากโรงเรียนอยู่ภายใต้การบริหารของ อบจ. อาจทำให้ งบประมาณลงไปสู่โรงเรียนโดยตรงและมีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น

  • จ้างครูท้องถิ่นโดยใช้งบของ อบจ. แทนการรอจัดสรรงบฯ จาก สพฐ. หรือการระดมทุนทอดผ้าป่าหาเงินมาจ้างครู ซึ่งมักใช้เวลานานและไม่ยั่งยืน
  • ปรับปรุงสภาพแวดล้อมการเรียนการสอนและหลักสูตรให้เหมาะสมกับบริบทของท้องถิ่น
  • สร้างความเชื่อมั่นให้ผู้ปกครองว่า เด็กสามารถได้รับการศึกษาที่มีคุณภาพโดยไม่ต้องย้ายไปเรียนในโรงเรียนขนาดใหญ่

เรียกว่าเป็นการแบ่งหน้าที่รับผิดชอบ เพราะการศึกษาควรจะเป็นของทุกคน และโรงเรียนควรจะเกี่ยวข้องกับสถานศึกษานั้นและชุมชนนั้น ส่วนกลางเขามีภารกิจที่ต้องแบกรับในนโยบายภาพใหญ่ ถ้าเขายังต้องแบกโรงเรียนอปท. ราว ๆ 20,000 แห่ง การตัดสินใจย่อมไม่สอดคล้องกับพื้นที่ที่มีความซับซ้อน

อรรถพล อนันตวรสกุล

การศึกษาอาจไม่ใช่เรื่องที่ต้องยึดโยงส่วนกลางเสมอไป เพราะในความเป็นจริงแล้ว ปัญหาหลายอย่างสามารถแก้ไขได้เร็วขึ้นหากมีการตัดสินใจที่ระดับพื้นที่ เช่น ในช่วงสถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 หรือโรคระบาดอย่างโควิด-19 โรงเรียนในพื้นที่ต้องมีอำนาจตัดสินใจว่าควรหยุดเรียนหรือปรับเปลี่ยนการเรียนการสอนอย่างไร หากรอคำสั่งจากส่วนกลางอาจล่าช้า การศึกษาไทยจึงต้องมุ่งไปสู่แนวทางที่ให้ท้องถิ่นมีอำนาจในการตัดสินใจมากขึ้น เพื่อให้ปรับตัวได้อย่างรวดเร็วและตอบโจทย์ความต้องการของผู้เรียนในพื้นที่ได้จริง

ให้ท้องถิ่นคิดหลักสูตร ตอบโจทย์ชุมชนตนเอง

ที่ผ่านมา หลักสูตรที่ออกแบบจากส่วนกลางมักมีข้อจำกัดในการตอบสนองต่อความต้องการของแต่ละชุมชน เพราะบริบทของแต่ละพื้นที่แตกต่างกันไป โรงเรียนในเขตเมืองอาจต้องการเนื้อหาที่เชื่อมโยงกับอุตสาหกรรม ในขณะที่โรงเรียนในพื้นที่ชนบทอาจต้องการหลักสูตรที่สอดคล้องกับเศรษฐกิจท้องถิ่น อาทิ การเกษตร การท่องเที่ยว หรือการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม การให้ท้องถิ่นสามารถออกแบบหลักสูตรของตัวเอง จึงเป็นทางเลือกที่ช่วยให้การศึกษามีความยืดหยุ่นมากขึ้น ซึ่งปัจจุบันตามหลักสูตรแกนกลางเอื้อให้โรงเรียนสามารถออกแบบหลักสูตรในกรอบ ‘วิชาเลือก’ ได้

ผศ.อรรถพล เล่าว่า ‘เชียงใหม่’ เป็นตัวอย่างหนึ่งของ อปท. ที่ใช้โอกาสนี้ในการพัฒนาหลักสูตรท้องถิ่นของตัวเองผ่าน ‘เชียงใหม่ศึกษา’ ซึ่งเป็นหลักสูตรที่มุ่งเน้นให้เด็กเรียนรู้ประวัติศาสตร์ และภูมิปัญญาท้องถิ่น ไม่ใช่แค่การเรียนเพื่อสอบ แต่เป็นการเรียนรู้ที่ช่วยปลูกฝังอัตลักษณ์และความภาคภูมิใจในบ้านเกิดของตนเอง

อีกตัวอย่างหนึ่ง ‘นครราชสีมา’ ซึ่งเป็นเมืองอุตสาหกรรม ได้พัฒนาแนวทางให้โรงเรียนในสังกัดเทศบาลร่วมมือกับภาคเอกชน เด็กนักเรียนสามารถเรียนรู้จากแหล่งประกอบการจริง โดยโรงเรียนไม่ต้องลงทุนสร้างระบบอาชีวศึกษาใหม่เอง แต่ใช้ความร่วมมือกับโรงงานและสถานประกอบการให้เด็กได้ฝึกงานและเรียนรู้อย่างเป็นระบบ นี่เป็นตัวอย่างของการที่ผู้นำท้องถิ่นสามารถเป็นผู้ประสานและสร้างโอกาสให้เด็ก ๆ ได้เรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ

อย่างไรก็ตาม ระบบการบริหารจัดการการศึกษาของไทยยังคงให้อำนาจการตัดสินใจอยู่ที่ส่วนกลางเป็นหลัก การเปลี่ยนแปลงหลักสูตรจึงอาจต้องเผชิญกับข้อจำกัดทางนโยบาย เช่น ข้อกำหนดของกระทรวงศึกษาธิการที่ยังคงมีอิทธิพลต่อแนวทางการเรียนการสอนในโรงเรียน การให้ท้องถิ่นมีบทบาทมากขึ้นจึงต้องมาพร้อมกับการปรับเปลี่ยนโครงสร้างการบริหารจัดการและการกระจายอำนาจให้มีความเป็นอิสระมากขึ้น

จากการลงพื้นที่และคลุกคลีกับเครือข่ายด้านการศึกษา นักวิชาการด้านการศึกษา ยังพบว่า นักการเมืองท้องถิ่นหลายคนเริ่มตระหนักถึงความสำคัญของการดูแลโรงเรียนในชุมชน เพราะส่งผลโดยตรงต่อคุณภาพชีวิตของเด็กและครอบครัวในพื้นที่ การรักษาโรงเรียนขนาดเล็กไว้และให้ท้องถิ่นเข้ามามีบทบาทมากขึ้น อาจเป็นแนวทางหนึ่งที่ช่วยให้เด็กได้รับโอกาสทางการศึกษา โดยไม่ต้องพึ่งพาการบริหารจากส่วนกลางเพียงอย่างเดียว และพ่อแม่ของเด็กก็อาจไม่ต้องจากบ้านไปไกล และอยู่เป็นแรงงานให้กับท้องถิ่นได้

สุดท้ายแล้ว การกระจายอำนาจให้ท้องถิ่นมีบทบาทในด้านหลักสูตรมากขึ้น ไม่ใช่แค่เรื่องของการศึกษาที่ดีขึ้นเท่านั้น แต่ยังเป็นการสร้างรากฐานของสังคมที่เข้มแข็ง เมื่อโรงเรียนสามารถตอบสนองต่อความต้องการของชุมชนได้ คนในพื้นที่จะรู้สึกมีส่วนร่วมกับการพัฒนาโรงเรียนของตนเอง เด็ก ๆ จะได้รับการศึกษาที่สอดคล้องกับบริบทชีวิตของพวกเขา และในระยะยาว จะช่วยให้ชุมชนมีความมั่นคงและสามารถพึ่งพาตัวเองได้มากขึ้น

การศึกษา

นโยบายการศึกษาบ้านฉัน
อบจ. เสนออะไร และทำอะไรได้บ้าง?

ในการเลือกตั้งนายกฯ อบจ. 1 กุมภาพันธ์ 2568 นี้ นโยบายด้านการศึกษาถือเป็นหนึ่งในประเด็นสำคัญที่ถูกใช้เป็นจุดขายในการหาเสียงในหลายจังหวัดที่มีการแข่งขันสูง โดยเฉพาะจังหวัดเศรษฐกิจสำคัญโดยเฉพาะพื้นที่เชียงใหม่ ผู้สมัครจากพรรคต่าง ๆ ได้นำเสนอนโยบายที่มุ่งเน้นการพัฒนาคุณภาพการศึกษา ลดความเหลื่อมล้ำ และเพิ่มแหล่งการเรียนรู้ใหม่ ๆ ที่มากไปกว่าโรงเรียนทั่วไป มีรายละเอียด ดังนี้

  1. พัฒนาแหล่งเรียนรู้: เช่น การสร้างหรือปรับปรุงโรงเรียน ห้องเรียน ห้องปฏิบัติการ และศูนย์การเรียนรู้ยุคใหม่ เพื่อให้สอดรับกับการศึกษายุคดิจิทัล ผู้สมัครจากพรรคประชาชนและเพื่อไทยจากจังหวัดเชียงใหม่และลำพูน มีนโยบายสนับสนุนงบประมาณเพื่อพัฒนาห้องปฏิบัติการเรียนรู้ ห้องแล็บ และพัฒนาหลักสูตรที่ตอบโจทย์โลกยุคใหม่มากขึ้น อย่างเชียงใหม่ที่เป็นพื้นที่แข่งขันสูง ก็มีการประชันที่นโยบายเพื่อคนรุ่นใหม่ อย่างเพื่อไทยเสนอสร้าง Co-working Spaces สำหรับผู้ประกอบการรุ่นใหม่ ส่วนพรรคประชาชนเสนอสร้างย่านนวัตกรรมและสร้างสรรค์ และสนับสนุน Startup
  2. เพิ่มโอกาสทางการศึกษา: หลายพรรคให้ความสำคัญการลดช่องว่างทางการศึกษา โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกล พรรคประชาชนและพรรคเพื่อไทยมีแนวคิดที่คล้ายคลึงกันในเรื่องของการให้ทุนการศึกษาแก่เด็กยากจน และการพัฒนาโรงเรียนในชนบทให้ได้มาตรฐานเดียวกับในเมือง นอกจากนี้ยังมีนโยบายจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้ที่เข้าถึงได้สำหรับเด็กที่มีความต้องการพิเศษ เพื่อให้ได้รับโอกาสทางการศึกษาที่เท่าเทียมกัน
  3. ส่งเสริมกิจกรรมนอกหลักสูตรและการกีฬา: นอกเหนือจากการศึกษาในห้องเรียนแล้ว หลายพรรคให้ความสำคัญกับการส่งเสริมกิจกรรมที่ช่วยพัฒนาทักษะนักเรียน เช่น การสนับสนุนการแข่งขันด้านวิชาการ กีฬา และศิลปวัฒนธรรม พรรคเพื่อไทยมีนโยบายส่งเสริมกีฬาอีสปอร์ต (มุกดาหาร, บึงกาฬ, ศรีสะเกษ) ในขณะที่พรรคประชาชนเน้นการสนับสนุนกิจกรรมกีฬา (พังงา, ภูเก็ต) และกิจกรรมเชิงสร้างสรรค์เพื่อพัฒนาทักษะเด็กและเยาวชนในท้องถิ่น
  4. เชื่อมต่อตลาดงาน: ทางพรรคประชาชนมีนโยบายสนับสนุนการฝึกอบรมวิชาชีพให้แก่นักเรียนในระดับมัธยมศึกษาและอาชีวศึกษา เพื่อให้มีทักษะที่ตรงกับความต้องการของตลาด (เชียงใหม่, ลำพูน, อุบลราชธานี) ขณะที่พรรคเพื่อไทยมีแนวคิดจัดทำความร่วมมือกับภาคเอกชนเพื่อส่งเสริมการฝึกงานและการจ้างงานหลังจบการศึกษา รวมถึงการสนับสนุนสตาร์ทอัพของเยาวชนในท้องถิ่น เพื่อให้เกิดโอกาสทางอาชีพและการเป็นผู้ประกอบการรุ่นใหม่ (เชียงใหม่, ลำพูน, หนองคาย, มหาสารคาม, อุบลราชธานี)

สำหรับบทบาทของ อบจ. ในการพัฒนาการศึกษาตาม พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ และกฎหมายกระจายอำนาจที่เกี่ยวข้อง อบจ. สามารถจัดทำหลักสูตรการศึกษาเพื่อพัฒนาคนในพื้นที่ให้ตรงกับความต้องการของชุมชน, ปรับโรงเรียนหรือวิทยาลัยให้เป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ที่เปิดกว้างสำหรับประชาชน, สนับสนุนการเรียนรู้ตลอดชีวิตผ่านห้องสมุด พิพิธภัณฑ์ ศูนย์กีฬา และอุทยาน รวมถึงสามารถเปิดศูนย์เนอร์สเซอรี่นอกเวลาราชการเพื่อช่วยเหลือพ่อแม่ที่มีข้อจำกัดของเวลางาน นอกจากนี้ อบจ. ยังมีอำนาจสั่งการและแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าที่ส่งผลกระทบต่อการศึกษา เช่น การจัดมาตรการรองรับภัยพิบัติ ฝุ่น PM 2.5 หรือวิกฤตอื่น ๆ ที่กระทบต่อความปลอดภัยและคุณภาพการศึกษาของประชาชนในพื้นที่

บทส่งท้าย: ความหวังถึงผู้นำที่สร้างโอกาสทางการศึกษาให้ทุกคน

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เราเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงในการบริหารการศึกษาของ อปท. หลายแห่ง โดยเฉพาะเทศบาลที่ริเริ่มโครงการเชื่อมโยงโรงเรียนกับสถานประกอบการในพื้นที่ เช่น นครราชสีมา เชียงใหม่ เชียงราย และยะลา ซึ่งถือเป็นก้าวแรกที่ดี เพราะอำนาจการจัดการเหล่านี้ ถูกกำหนดไว้แล้วในกฎหมายการศึกษาและกฎหมายการกระจายอำนาจ เพียงแต่ที่ผ่านมา เรายังไม่เห็นการใช้ประโยชน์จากมันนัก

หากมองในระดับองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ซึ่งมีบทบาทกว้างกว่าระดับเทศบาล ผศ.อรรถพล เชื่อว่า นายก อบจ. ควรมีวิสัยทัศน์ในการเชื่อมโยงหน่วยงานต่าง ๆ ในจังหวัดให้ทำงานร่วมกันได้อย่างเป็นระบบ หน้าที่ของนายก อบจ. ไม่ใช่แค่บริหารงบประมาณหรือพัฒนาสาธารณูปโภคเท่านั้น แต่ต้องเป็น ‘ผู้ให้แสงไฟ’ ให้กับภาคการศึกษา ทำงานร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัด เทศบาล องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) รวมถึงภาคเอกชนและชุมชน เพื่อสร้างระบบการศึกษาที่ครอบคลุมและตอบโจทย์คนทุกกลุ่ม

หนึ่งในปัญหาสำคัญของระบบการศึกษาไทยในปัจจุบันคือเด็กหลุดจากระบบการศึกษาเร็วกว่าที่ควรจะเป็น โดยเฉพาะในระดับมัธยมต้น หลายคนไม่ได้ไปเรียนต่อ ไม่ใช่เพราะไม่อยากเรียน แต่เพราะโรงเรียนที่มีอยู่ไม่ตอบโจทย์พวกเขา โรงเรียนสายสามัญบางแห่งยังคงมีโครงสร้างที่แข็งตัว ไม่สามารถปรับเปลี่ยนให้เหมาะกับเด็กแต่ละกลุ่มได้ ทำให้เด็กบางส่วนที่รู้สึกว่าโรงเรียนไม่มีความหมายกับเขาหลุดออกจากระบบการศึกษาไป

ตรงนี้เองที่บทบาทของ อบจ. สามารถเข้ามาช่วยได้ หากนายก อบจ. ให้ความสำคัญกับการสร้าง ‘ตาข่ายรองรับ’ สำหรับเด็กที่เสี่ยงจะหลุดออกจากระบบการศึกษา อบจ. สามารถเป็นตัวกลางในการออกแบบทางเลือกการเรียนรู้ที่ยืดหยุ่น เช่น การสนับสนุนการศึกษานอกระบบตามโมเดลของกรมส่งเสริมการเรียนรู้ (สกร.) การพัฒนาแหล่งเรียนรู้ในชุมชน หรือแม้แต่การสร้างพื้นที่การเรียนรู้แบบใหม่ ๆ ที่เหมาะกับเด็กที่ไม่สามารถเรียนในระบบปกติ เช่น โมเดลห้องสมุดสร้างสรรค์อย่าง TK Park ซึ่งปัจจุบันยังต้องพึ่งพาหน่วยงานจากส่วนกลางอยู่

หากท้องถิ่นเข้ามามีบทบาทมากขึ้น เทศบาล อบต. และ อบจ. สามารถเป็น ‘ตัวละครหลัก’ ในการพัฒนาระบบการศึกษาในพื้นที่ของตัวเอง แทนที่จะรอแนวทางจากกระทรวงศึกษาธิการที่อาจไม่ตอบโจทย์ท้องถิ่นของตน อบจ. มีศักยภาพมากพอที่จะเป็นกลไกหลักในการพัฒนาการศึกษาของจังหวัด ให้เป็นระบบที่เด็กทุกคนสามารถเข้าถึงได้ ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ในระบบโรงเรียนปกติหรือไม่ก็ตาม

สุดท้ายแล้ว วิสัยทัศน์ของนายก อบจ. ที่อยากเห็น คือผู้นำที่ให้ความสำคัญกับการศึกษาอย่างจริงจัง ไม่มองว่าการศึกษาเป็นเพียงเรื่องของโรงเรียนหรือกระทรวง แต่เป็นเรื่องของชุมชน เป็นผู้นำที่สามารถมองเห็นเด็กทุกคน โดยเฉพาะกลุ่มที่กำลังหลุดออกจากระบบ และใช้บทบาทของตัวเองสร้างโอกาสให้เด็กเหล่านั้นยังคงมีพื้นที่การเรียนรู้ ได้อยู่กับครอบครัวคนที่รัก และเติบโตเป็นประชากรที่มีศักยภาพของท้องถิ่นต่อไป

Author

Alternative Text
AUTHOR

พีรดนย์ ภาคีเนตร

เฝ้าหาเรื่องตลกขบขันในชีวิต แต่พบว่าสิ่งที่ตลกที่สุดคือชีวิตเราเอง

Alternative Text
AUTHOR

ธนธร จิรรุจิเรข

สงสัยว่าตัวเองอยากเป็นนักวิเคราะห์ data ที่เขียนได้นิดหน่อย หรือนักเขียนที่วิเคราะห์ data ได้นิดหน่อยกันแน่