ประเทศไทยลงทุนงบประมาณจำนวนมหาศาลเพื่อพัฒนาระบบการศึกษา และประสบความสำเร็จในการผลักดันให้อัตราการเข้าเรียนในระดับประถมศึกษาสูงเกือบเต็ม 100% ทว่า ยังมีเด็กจำนวนไม่น้อยที่ไม่สามารถเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะเด็กไทยในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้และกลุ่มชาติพันธุ์อื่น ๆ ที่พูดภาษาไทยได้น้อย หรือไม่ได้เลย เมื่อเข้าเรียนในปีแรก
การไปโรงเรียนจึงเปรียบเสมือนการเดินทางไปต่างประเทศ เด็กไม่เข้าใจสิ่งที่ครูพูดและสิ่งที่เรียนรู้ เด็กกลุ่มนี้จึงมีแนวโน้มสูงที่จะออกจากโรงเรียนกลางคัน อีกทั้งยังมีอัตราการเรียนต่อในระดับมัธยมศึกษาที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศอย่างชัดเจน
สาเหตุสำคัญของปัญหานี้มาจาก ช่องว่างทางภาษา ซึ่งปรากฏชัดในกลุ่มชาติพันธุ์จำนวนมากในระบบการศึกษาขั้นพื้นฐานที่สอนด้วยภาษาไทยเพียงอย่างเดียว เมื่อเรียนครบ 8 ปี เด็กจำนวนมากยังอ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ กระทรวงศึกษาธิการพยายามแก้ปัญหาด้วยการทดลองแผนการสอนภาษาไทยในหลายรูปแบบ แต่ยังไม่สามารถยืนยันได้ว่าวิธีการเหล่านั้นช่วยพัฒนาทักษะทางภาษาได้อย่างยั่งยืน จึงจำเป็นต้องแสวงหานวัตกรรมทางการศึกษาที่เหมาะสมกับบริบททางภาษาของเด็กในพื้นที่มากกว่านี้

หนึ่งในข้อเสนอของ คณะกรรมาธิการวิสามัญสันติภาพชายแดนใต้ สภาผู้แทนราษฎร คือ การส่งเสริมให้มีการจัดการศึกษาปฐมวัยแบบ ทวิภาษา โดยใช้ ภาษาแม่ คือ ภาษามลายูปาตานี เป็นฐานในสถานศึกษาทั้งของรัฐและเอกชน เพื่อเพิ่มประสิทธิผลของการเรียนรู้และรับรองสิทธิทางภาษา ซึ่งเป็นการส่งเสริมอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมของเด็กอย่างเป็นรูปธรรม เพราะเด็กทุกคนควรมีโอกาสเรียนรู้ผ่านภาษาแม่ของตนเอง อันเป็นรากฐานสำคัญของการเข้าใจโลกและการพัฒนาตนเองในอนาคต
นอกจากนี้ ยังมีข้อเสนอให้ภาครัฐส่งเสริมให้สถาบันการศึกษาในพื้นที่จัดการเรียนการสอนภาษามลายูควบคู่กับภาษาไทยในระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษา โดยให้บรรจุ วิชาภาษามลายู เป็นรายวิชาเพิ่มเติมในหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน ควบคู่ไปกับ วิชาภาษาไทย
พร้อมจัดให้มีครูผู้สอนที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านภาษามลายู เพื่อเปิดโอกาสให้เยาวชนสามารถนำทักษะภาษาไปใช้ในการประกอบอาชีพ การทำธุรกิจ การศึกษาศาสนา การสื่อสารกับประเทศเพื่อนบ้าน และการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างประชาชนต่างวัฒนธรรมในพื้นที่ได้อย่างยั่งยืน
แม้จะมีนโยบายด้านการศึกษาที่มุ่งพัฒนาเด็กในพื้นที่ชายแดนใต้ แต่ปัญหาการขาดแคลนครูยังคงเป็นอุปสรรคเรื้อรังที่ฝังรากลึกในระบบการศึกษาของไทยมานาน และกลายเป็นสิ่งที่หลายฝ่ายมองว่าเป็น เรื่องปกติ ทั้งที่แท้จริงแล้วเป็นความ ผิดปกติ อย่างรุนแรง โดยเฉพาะในโรงเรียนระดับมัธยมศึกษา ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ห่างไกลจากตัวเมือง ซึ่งควรเป็นโรงเรียนด่านหน้าให้กับเด็กทุกครอบครัวไม่ว่าจะมีฐานะทางเศรษฐกิจระดับใด แต่กลับเผชิญปัญหาขาดแคลนครู ในขณะที่ครูจำนวนมากกระจุกตัวอยู่ในโรงเรียนขนาดใหญ่และในเขตเมือง

อัตรากำลังครูติดลบ การเรียนรู้ภาษาติดล็อก
สถานการณ์อัตรากำลังครูติดลบ ได้ส่งผลโดยตรงต่อคุณภาพของการเรียนรู้ โดยเฉพาะใน วิชาภาษาไทย ซึ่งเป็นหัวใจของการสื่อสารและการเรียนรู้ในทุกวิชา The Active ได้รวบรวมข้อมูลจากบัญชีแสดงอัตรากำลังครูตามมาตรฐานวิชาเอกในสถานศึกษา เพื่อสำรวจจำนวนครูในระดับประถมศึกษา และมัธยมศึกษาในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้ เพื่อแสดงให้เห็นถึงความขาดแคลนในแต่ละวิชาเอก ซึ่งในกรณีนี้คือ วิชาภาษาไทย นั่นเอง
จำนวน รร. ทั้งหมด | จำนวน รร. ที่ครูเอกภาษาไทย ‘ติดลบ’ | จำนวนครูบรรจุจริง | จำนวนครูเอกภาษาไทยพึงมี | จำนวนครูเอกภาษาไทยบรรจุจริง | อัตราครูเอกภาษาไทย ขาด/เกิน | จำนวนนักเรียน | อัตราส่วนครูเอกภาษาไทย 1 คนต่อนักเรียน | |
สพม.ปัตตานี | 17 | 7 | 488 | 61 | 56 | -5 | 10,308 | 184 |
สพม.ยะลา | 12 | 4 | 425 | 50 | 47 | -3 | 8,546 | 182 |
สพม.นราธิวาส | 17 | 7 | 721 | 99 | 92 | -7 | 15,643 | 170 |
สพป.ปัตตานี เขต 1 | 138 | 10 | 1,617 | 258 | 272 | 14 | 27,418 | 101 |
สพป.ปัตตานี เขต 2 | 115 | 6 | 1,240 | 179 | 178 | -1 | 20,205 | 114 |
สพป.ปัตตานี เขต 3 | 67 | 1 | 719 | 97 | 101 | 4 | 11,177 | 111 |
สพป.ยะลา เขต 1 | 111 | 17 | 1,334 | 180 | 171 | -9 | 22,250 | 130 |
สพป.ยะลา เขต 2 | 68 | 22 | 836 | 109 | 100 | -9 | 14,378 | 144 |
สพป.ยะลา เขต 3 | 32 | 6 | 412 | 56 | 50 | -6 | 7,209 | 144 |
สพป.นราธิวาส เขต 1 | 148 | 11 | 1,849 | 239 | 276 | 37 | 31,893 | 116 |
สพป.นราธิวาส เขต 2 | 117 | 13 | 1,536 | 203 | 223 | 20 | 26,216 | 118 |
สพป.นราธิวาส เขต 3 | 75 | 4 | 1,043 | 157 | 163 | 6 | 18,504 | 114 |
ในภาพรวม พื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้มีนักเรียนในโรงเรียนสังกัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา (สพป.) และ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา (สพม.) รวมทั้งสิ้น 213,747 คน มีครู 12,220 คน
ในจำนวนนี้เป็น ครูวิชาเอกภาษาไทยเพียง 1,626 คน เขตพื้นที่ที่มีภาระงานครูสูงที่สุดคือ สพม.ปัตตานี ซึ่งครูภาษาไทย 1 คน ต้องดูแลนักเรียนเฉลี่ย 184 คน ขณะที่เขตพื้นที่อื่น ๆ ของ สพม. ก็มีแนวโน้มคล้ายคลึงกัน เนื่องจากมีจำนวนครูบรรจุน้อย ส่งผลให้ครู 1 คน ต้องรับผิดชอบดูแลนักเรียนจำนวนมาก ส่วนในโรงเรียนสังกัด สพป. ครูภาษาไทย 1 คน ต้องดูแลนักเรียนชั้นประถมศึกษาระหว่าง 101 ถึง 144 คน
ในจำนวนโรงเรียน 917 แห่ง มีถึง 108 แห่ง ที่ขาดแคลนครูวิชาภาษาไทย อัตราติดลบสูงสุดอยู่ที่ สพป.ยะลา เขต 1 และ 2 ขาดครูภาษาไทยในโรงเรียนถึง 9 แห่ง รองลงมาคือ สพม.นราธิวาส เขต 1 ขาดครูภาษาไทยถึง 7 แห่ง แต่ถ้าพิจารณาดี ๆ จะพบว่า ปัญหาที่แท้จริงไม่ใช่เพราะครูภาษาไทยที่ชายแดนใต้ไม่เพียงพอ แต่ปัญหาคือจำนวนครูกระจุกอยู่แค่ในบางเขตพื้นที่ เช่น เขตตัวเมืองอย่าง สพป. เขต 1 ในแต่ละจังหวัด ซึ่งหากเกลี่ยดี ๆ เราจะสามารถจัดสรรครูให้กับทุกโรงเรียนได้อย่างเพียงพอ แต่การจะทำเช่นนั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะครูแต่ละคนก็มีเงื่อนไขชีวิตที่ไม่เหมือนกัน
หากถามว่าขาดครูอีกเท่าไร ? ข้อมูลอัตรากำลังครูสะท้อนว่า พื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้ยังขาดครูวิชาภาษาไทยทั้งในระดับประถมฯ และ มัธยมฯ อีก 40 คน หากภาครัฐจัดสรรครูได้เพียงพอตามอัตรากำลัง ครู 1 คน จะลดภาระในการดูแลเด็กสูงสุด 19.4% ครูภาษาไทย ในโรงเรียนสังกัด สพป. ดูแลเด็กชั้นประถมศึกษา เฉลี่ย 97 – 126 คนต่อครู 1 คน และครูภาษาไทยในโรงเรียนสังกัด สพม. ดูแลเด็กชั้นมัธยมศึกษา เฉลี่ย 158 – 168 คนต่อครู 1 คน

ด้วยภาวะครูขาดแคลนในบางพื้นที่ ทำให้ครูภาษาไทยในพื้นที่ชายแดนใต้หลายคนต้องสอนข้ามระดับชั้น ข้ามวิชาเอก หรือข้ามกลุ่มสาระ เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่างอยู่ ส่งผลให้คุณภาพของการเรียนการสอนลดลงและเกิดความเหนื่อยล้าในกลุ่มครูที่ต้องรับผิดชอบหลายภาระพร้อมกัน
นอกจากนี้ ครูบางส่วนยังมีภาระงานด้านเอกสารและกิจกรรมโครงการต่าง ๆ ของรัฐที่มากเกินไป ส่งผลให้ไม่สามารถทุ่มเทเวลาให้กับการเตรียมการสอนได้เต็มที่
แม้การขจัดปัญหา อัตราครูติดลบ จะดูเป็นเรื่องยาก เนื่องจากโรงเรียนขนาดเล็กมีจำนวนมาก และกระจายอยู่ทั่วประเทศ ทำให้ทุกโรงเรียนยังคงต้องการครูเพิ่มเติมอยู่เสมอ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ปัญหานี้เกี่ยวโยงกับระบบการจัดสรรอัตรากำลังครูของกระทรวงศึกษาธิการโดยตรง
แม้จะมีแนวทางให้ครูย้ายสังกัดหรือสับเปลี่ยนตำแหน่งเพื่อแก้ปัญหาครูเกิน-ครูขาด แต่ในทางปฏิบัติกลับยังมีอุปสรรคหลายด้าน ทั้งความสมัครใจของครู การขาดแรงจูงใจในการย้ายไปสอนในพื้นที่ห่างไกล รวมถึงโครงสร้างการบริหารที่ยังรวมศูนย์อำนาจจากส่วนกลางมากกว่าการกระจายอำนาจให้เขตพื้นที่หรือโรงเรียน
นอกจากนี้ หลักสูตร ก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญ เพราะเป็นตัวกำหนดว่าต้องมีครูวิชาเอกใดบ้างเพื่อให้สอนครบตามรายวิชา ซึ่งนักวิชาการเสนอว่า หากหลักสูตรได้รับการปรับให้ยึด ฐานสมรรถนะ และบูรณาการเนื้อหามากขึ้น ก็จะช่วยให้การผลิตและจัดสรรครูมีความยืดหยุ่นและเหมาะสมกับบริบทของแต่ละพื้นที่มากขึ้น
- อ่านเพิ่ม : เสียงสะท้อนจากบุคลากรทางการศึกษาชายแดนใต้ในประเด็นขาดแคลนครู ที่นี่
คะแนนโอเน็ตต่ำ รั้งท้ายประเทศหลายสิบปี
เมื่อพูดถึงผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาของเด็กในพื้นที่ชายแดนใต้ รศ.เมลดา สุจิตรอาภา คณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อธิบายว่า ตัวเลขคะแนนเฉลี่ยระดับชาติ อย่าง การทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน (O-NET) ต่ำมาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลากว่าทศวรรษ จากข้อมูล O-NET ระหว่างปี 2561–2567 พบว่า คะแนนเฉลี่ยของนักเรียนในสามจังหวัดชายแดนใต้ ทั้งในวิชาภาษาไทย, คณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระดับประเทศอย่างต่อเนื่องทุกปี โดยเฉพาะวิชาภาษาไทยซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของการเรียนรู้ในวิชาอื่น ๆ

ในรายวิชาภาษาไทย คะแนนเฉลี่ยของนักเรียนทั้งประเทศอยู่ระหว่าง 49.07 – 57.30 คะแนน ขณะที่สามจังหวัดชายแดนใต้มีคะแนนเฉลี่ยเพียง 36.28 – 42.00 คะแนน ซึ่งต่ำกว่าระดับประเทศเฉลี่ยราว 15 – 17 คะแนน หรือประมาณ 27 – 30% แม้ในบางปีคะแนนจะเพิ่มขึ้น เช่น ปี 2566 ที่สูงสุดที่ 42.00 คะแนน แต่ก็ยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยประเทศถึง 15.3 คะแนน สะท้อนว่าปัญหาด้านภาษาไทยในพื้นที่นี้ยังคงเป็นอุปสรรคต่อการเรียนรู้ในระยะยาว
ผลกระทบจากการใช้ภาษาไทยไม่คล่องแคล่วปรากฏชัดในคะแนนวิชาอื่น โดยเฉพาะ คณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ ที่ต้องอาศัยการอ่านโจทย์และตีความภาษา พบว่า คะแนนเฉลี่ยคณิตศาสตร์ของนักเรียนในสามจังหวัดชายแดนใต้ มีแนวโน้มต่ำกว่าอย่างต่อเนื่อง โดยอยู่ระหว่าง 19.94 – 30.57 คะแนน ขณะที่ระดับประเทศเฉลี่ย 28.05 – 37.50 คะแนน ส่วนต่างเฉลี่ยราว 8 – 10 คะแนน หรือคิดเป็น 25 – 30% เช่นเดียวกับวิทยาศาสตร์ ที่แม้คะแนนจะใกล้เคียงกันมากขึ้น แต่สามจังหวัดชายแดนใต้ก็ยังคงตามหลังระดับประเทศเฉลี่ย 5 – 7 คะแนน ทุกปี
ดังนั้น การพัฒนาการเรียนการสอนในพื้นที่ชายแดนใต้ จึงไม่อาจจำกัดเพียงการเพิ่มชั่วโมงเรียน หรือสื่อการสอนเท่านั้น แต่ต้องเริ่มจากการพัฒนาเรื่องภาษา
โดยเฉพาะการใช้ ภาษาแม่เป็นฐานในการเรียนรู้ภาษาไทย เพื่อให้เด็กสามารถเข้าใจบทเรียนได้อย่างเป็นธรรมชาติ เมื่อเด็กเข้าใจภาษาไทยดีขึ้น ย่อมสามารถต่อยอดสู่ความเข้าใจในวิชาอื่น ๆ ได้ดีขึ้นตามลำดับ ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญในการลดช่องว่างทางการศึกษาระหว่างพื้นที่ชายแดนใต้กับส่วนอื่นของประเทศ


อย่าปล่อยให้ครูภาษาไทยแบกรับเพียงลำพัง
ที่ผ่านมา ครูจำนวนมากในพื้นที่ชายแดนใต้ยังคงสอนตามตัวชี้วัดในหลักสูตรแกนกลาง เพื่อให้โรงเรียนผ่านเกณฑ์ประเมินระดับประเทศ แม้นโยบายจะไม่ได้ห้ามการใช้ภาษามลายูในห้องเรียน แต่แรงกดดันจากการต้องเก็บเนื้อหาทั้งหมดทำให้การเรียนรู้ในภาษาที่ไม่ใช่ภาษาแม่ของเด็กเป็นเรื่องยาก เด็กจำนวนไม่น้อยเพิ่งเริ่มใช้ภาษาไทยเมื่อเข้าเรียน จึงต้องใช้เวลาในการปรับตัว เหมือนกับคนไทยที่เริ่มเรียนภาษาอังกฤษ การเร่งสอนเนื้อหาหนักตั้งแต่ชั้นต้น จึงส่งผลให้พัฒนาการด้านภาษาและการสื่อสารตามธรรมชาติลดลง
รศ.เมลดา ยังชี้ว่า การพัฒนาการเรียนรู้ในพื้นที่ชายแดนใต้ต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายภาคส่วน เพราะครูในโรงเรียนมีข้อจำกัดทั้งภาระงานและเวลา บางโรงเรียนมีครูไม่เพียงพอ ครูหนึ่งคนต้องสอนแทบทุกวิชา และไม่มีเวลาวางแผนการสอนอย่างลึกซึ้ง ขณะเดียวกัน การเปลี่ยนตัวผู้บริหารเขตการศึกษาบ่อยครั้งยังส่งผลให้การดำเนินนโยบายขาดความต่อเนื่อง
เธอยังเสนอว่า ภาครัฐ มหาวิทยาลัย ภาคประชาสังคม และองค์กรท้องถิ่นควรเข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้น โดยเฉพาะการสนับสนุนครูในพื้นที่ เช่น การอบรม การโค้ชออกแบบการเรียนรู้ หรือการสร้างโรงเรียนต้นแบบที่สามารถขยายผลต่อไปได้ เพราะปัญหาการศึกษาชายแดนใต้ไม่สามารถแก้ได้ด้วยทฤษฎีเพียงชุดเดียว ต้องอาศัยความเข้าใจเชิงลึกและการประสานงานระหว่างภาคส่วน เพื่อสร้างโอกาสทางการเรียนรู้ที่เหมาะกับบริบทของผู้เรียน

รอกีเยาะ เซ็ง ครูภาษาไทย โรงเรียนประตูโพธิ์วิทยา อ.ยะรัง จ.ปัตตานี เป็นหนึ่งเสียงสะท้อนปัญหานี้ในพื้นที่ชายแดนใต้ เธอยอมรับว่า โรงเรียนมีครูภาษาไทยประจำเพียง 1 คน ดูแลทักษะทางภาษาไทยของนักเรียนไทยมุสลิมทุกระดับชั้น ราว 200 กว่าคน โดยมีครูอัตราจ้างมาช่วยแบ่งเบาภาระบ้าง ครูรอกีเยาะ ต้องสอนตั้งแต่ ม.3 ถึง ม.6 รวมเกือบ 20 คาบต่อสัปดาห์ และยังต้องรับผิดชอบงานทุนการศึกษาอีกกว่าสิบทุน เช่น ทุนเสมอภาค ทุนมุสลิม และทุนปัจจัยพื้นฐาน เด็กได้รับทุนจำนวนมากจนครูต้องช่วยเปิดบัญชีธนาคารให้เอง ทำให้งานสอนล่าช้าและไม่ทั่วถึง
ปัญหาอัตรากำลังครูติดลบในพื้นที่ชายแดนใต้เป็นเรื่องไม่ปกติที่เกิดขึ้นมานานจนเหมือนเป็นความปกติ อย่าง โรงเรียนประตูโพธิ์วิทยา มีอัตรากำลังครูติดลบถึง 5 คน หมายความว่าควรมีครูเพิ่มอีก 5 อัตรา แต่ยังไม่ได้รับการจัดสรร ถึงอย่างนั้น ครูรอกีเยาะ ก็มุ่งมั่นที่จะส่งเสริมทักษะภาษาไทยให้กับเด็ก ๆ
พร้อมย้ำว่า การใช้ภาษาแม่ควบคู่กับภาษาไทยเป็นสิ่งจำเป็น เด็กควรได้รับการส่งเสริมให้ใช้ทั้งสองภาษาไปพร้อมกัน เพื่อสร้างความมั่นใจในตนเอง หากเด็กสื่อสารภาษาไทยได้ดี จะกล้าแสดงออกมากขึ้น แต่หากใช้เฉพาะภาษาแม่ สำเนียงหรือคำศัพท์อาจทำให้ถูกล้อเลียนและกระทบความมั่นใจได้
“ครูคนเดียวทำไม่ได้ ต้องอาศัยความร่วมมือจากผู้ปกครองและชุมชนด้วย เด็กจะพัฒนาได้จริงต้องได้รับการสนับสนุนจากทั้งโรงเรียน บ้าน และสังคมรอบข้าง เพราะการเรียนรู้ภาษาไม่ใช่หน้าที่ของครูเพียงคนเดียว แต่เป็นความร่วมมือของทุกฝ่าย”
รอกีเยาะ เซ็ง


ในฐานะของบุคลากรทางการศึกษาในพื้นที่ชายแดนใต้ เธอจึงเห็นว่า การเรียนโดยใช้ภาษามลายูช่วยอธิบายควบคู่กันเป็นสิ่งจำเป็น โดยเฉพาะกับเด็กที่ยังอ่อน เพราะครูเองก็พูดได้ทั้งภาษาไทย และภาษาแม่ แต่ในฐานะโรงเรียนรัฐ ก็ยังต้องยึดตามมาตรฐานและตัวชี้วัดของหลักสูตร ซึ่งค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับบริบทของพื้นที่ เด็กบางคนยังไปไม่ถึงจุดนั้น ต้องใช้เวลาและความเข้าใจมาก
ถึงตรงนี้ จึงเสนอให้หลักสูตรการศึกษา คำนึงถึงบริบทของแต่ละชุมชนมากขึ้น ไม่ควรใช้ไม้บรรทัดเดียวกันวัดเด็กทั่วประเทศ เพราะพื้นฐานต่างกัน หากแต่ละโรงเรียนสามารถตั้งโจทย์ของตนเองได้ตามบริบท ก็จะเหมาะสมและเกิดผลลัพธ์ที่ดีกว่า