ถัดจากโครงการพัฒนาพื้นที่ใจกลางเมืองขนาดร้อยกว่าไร่ ที่นิยามตัวเองว่าเป็น The Heart of Bangkok หรือ หัวใจของกรุงเทพฯ เพียงถนนกั้น คือ ซอยเล็ก ๆ ความกว้างขนาดรถสวนกันได้ ประกอบด้วยร้านค้าหลากหลาย ตั้งแผงเรียงรายบนฟุตบาท บ้างก็กินพื้นที่ลงมาบนถนน ผู้คนเดินไปมาขวักไขว่ จับจ่ายซื้อของในยามเช้าตรู่ก่อนเข้างาน
ที่นี่ คือ ซอยปลูกจิต แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน เป็นหนึ่งในซอยที่มีไซต์งานก่อสร้าง เมื่อมีไซต์งานก็มีแรงงาน เมื่อมีแรงงานก็มีร้านค้าตามมา แน่นอนสำหรับคนหาเช้ากินค่ำ หรือ แรงงานผู้มีรายได้รายวัน อาหารราคาถูกจึงเป็นทางเลือกสำคัญ
เมื่อฝั่งผู้ซื้อสามารถเข้าถึงได้ เพียงพอต่อการดำรงชีพ และไม่กระทบสถานภาพการเงินที่มีไม่มากในกระเป๋า ฝั่งผู้ขายก็มีกำไรจากการขายข้าวแกง ก่อเกิดเป็นความสัมพันธ์เกื้อหนุนกัน
The Active อาสาพาลงพื้นที่ สำรวจร้านค้าริมทาง แหล่งฝากท้องของคนยาก ณ ซอยปลูกจิต ย่านลุมพินี ความยาวไม่เกิน 200 เมตร แต่อยู่บนทำเลพื้นที่ราคาแพงที่สุดอันดับต้น ๆ ของกรุงเทพฯ รายล้อมด้วยห้างสรรพสินค้า สำนักงานบริษัท และศูนย์กลางเศรษฐกิจ เมื่อพื้นที่ความเจริญไม่ได้มีแค่คนรวยหรือพนักงานบริษัทเท่านั้น แต่ยังมีผู้คนอีกส่วนที่มีรายได้น้อย ที่ช่วยขับเคลื่อนให้เมืองหลวงแห่งนี้ก้าวไปข้างหน้า ได้ไม่แพ้กัน

ข้าวแกงราคาถูก ทุกเมนูสบายกระเป๋า
ในช่วงเช้าของวันทำงาน ท่ามกลางความเร่งรีบของคนเมืองในช่วงเวลาเร่งด่วน ภายใน ซอยปลูกจิต ก็มีสภาพไม่ต่างกัน แต่ที่นี่คือการจับจ่ายซื้อหาอาหารชนิดแข่งกับเวลา ของกลุ่มแรงงาน กรรมกร เพื่อจะได้ไปเข้างานช่วงเช้าให้ทัน
เราสำรวจพบว่าแรงงานมีจำนวนมาก และแน่นอนว่าร้านค้า แผงค้า รถเข็นขายสารพัดเมนูก็มีให้เลือกหลากหลายไม่แพ้คนกิน โดยพบว่า ภายในซอยเล็ก ๆ แห่งนี้ มีร้านค้าริมทางประมาณ 22 ร้าน 1 ใน 3 เป็นร้านข้าวแกง (7 ร้าน) แต่ละร้านมีประมาณ 10 เมนู หลาย ๆ ร้านมีเมนูที่คล้ายกัน เช่น ไข่เจียว, น้ำพริก, ลาบ, ผัดเครื่องในไก่
บางร้านอาจมีเมนูพิเศษที่ร้านอื่นไม่มี เช่น ข้าวมันไก่, ผัดผัก, ต้มจืด หรือผัดเผ็ดปลาดุก ส่วนใหญ่มีราคาอยู่ที่ 20 บาทเท่านั้น หากเป็นเมนูพิเศษก็อาจมีราคาเพิ่มเติมอยู่ที่ 30 บาท
ลักษณะของข้าวแกงก็มีหลากหลายทั้งแบบถุง และแบบกล่อง ด้วยราคาเริ่มต้นที่ 20 บาทเท่ากัน ขึ้นอยู่กับว่า มุมคนซื้อสะดวกแบบไหน หากเป็นกล่องก็อาจจะกินได้สะดวกกว่า แต่เมนูก็จะไม่ได้หลากหลายเท่า เช่น ข้าวกะเพรา, ข้าวมันไก่ เป็นต้น
ผู้ค้า ระบุว่า หลายเมนูรับมาในราคาถุงละ 15 บาท จึงมาขายต่อ 20 บาท (ได้กำไร 5 บาทต่อถุง) บางร้าน หากขายไม่หมดสามารถคืนร้านที่รับซื้อมาได้ด้วย ขณะที่บางร้านก็มีเมนูที่ทำเอง ซึ่งก็จะเน้นขายเมนูเหล่านี้ก่อน เนื่องจากแตกต่างจากร้านอื่น รวมถึงได้กำไรมากกว่าเมนูที่รับซื้อมาด้วย
นอกจากร้านข้าวแกงแล้ว ยังมีร้านอื่น ๆ เพิ่มความหลากหลายของอาหารการกินบนถนนแห่งนี้ เช่น ร้านอาหารอีสาน โดยเฉพาะไก่ย่าง, หมูปิ้ง รวมไปถึงอาหารที่อาจไม่ใช่ข้าวมื้อหลัก เช่น ขนมหวาน, ผลไม้ ไปจนถึง น้ำหวาน เช่น น้ำชง, น้ำอ้อย ก็สนนราคาอยู่ที่ 20 – 30 บาทเช่นกัน
หากถามพ่อค่า แม่ค้า ว่าเมนูไหนขายดี คำตอบของแต่ละร้านก็อาจจะต่างกันออกไป เช่น ร้านข้าวแกงบางร้าน บอกว่า ผัดเครื่องในไก่ขายดี เพราะแรงงานข้ามชาติส่วนใหญ่ไม่นิยมกินหมูกัน จะกินไก่กันเสียมากกว่า บางร้าน ก็ระบุว่า น้ำพริกหรือลาบที่ขายดี หากถามร้านผลไม้ ก็จะพบว่า แรงงานนิยมซื้อกล้วยและข้าวโพด แม่ค้าเล่าว่า วันนี้เอากล้วยมา 200 กว่าชุด (ชุดละประมาณ 3 ลูก) ก็ขายหมดลงอย่างรวดเร็ว ตั้งแต่ก่อนที่เราจะไปถึงร้านเสียอีก
นอกเหนือจากของกิน ยังมีร้านค้าขายของใช้ทั่วไปให้คนได้เลือกจับจ่ายใช้สอยในราคาไม่แพงเช่นกัน

รถเข็น – แผงลอย – มอเตอร์ไซค์ หลากรูปแบบร้านริมทาง
จากร้านค้าทั้งหมด 22 ร้าน มีเพียง 5 ร้าน ที่อยู่บริเวณต้นซอย ที่เป็นร้านค้าประจำแบบมีที่นั่ง นอกนั้นเป็นร้านชั่วคราว มาขายตามช่วงเวลาก่อนเข้างาน เมื่อแรงงานก่อสร้างเข้างานเรียบร้อย ประมาณ 9 โมงเช้า ร้านค้าเหล่านี้ก็จะทยอยเก็บของกลับบ้านกันแล้ว
ร้านค้าชั่วคราว มีทั้งเป็นแบบแผงลอย ลักษณะเป็นโต๊ะพับได้ หนึ่งร้านมีโต๊ะ 1 – 2 ตัว บางร้านก็เป็นลักษณะรถเข็น ซึ่งสะดวกต่อการขนย้ายของ บางรายอาจเข็นมาจากบ้านในบริเวณที่ไม่ไกลจากย่านลุมพินี รวมไปถึงบางส่วนมีลักษณะเป็นยานพาหนะ เช่น มอเตอร์ไซค์พ่วงข้าง หรือรถกระบะพุ่มพวง ซึ่งสะดวกต่อการขนย้ายและเปลี่ยนที่ค้าขาย
ไม่ใช่แค่แรงงาน แต่ยังเข้าถึงแม่บ้าน – รปภ.ห้างใหญ่
นอกเหนือจากแรงงานก่อสร้างจากไซต์งานบริเวณข้าง ๆ ห้าง ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าหลักแล้วนั้น ลูกค้าอีกกลุ่มที่มาซื้อกับข้าวเพื่อเก็บเป็นมื้อเช้า และมื้อเที่ยงเป็นกลุ่มรองลงมาก็คือ แม่บ้านและเจ้าหน้าที่ รปภ. จากห้างวัน แบงค็อก ที่ติดกันนั่นเอง เนื่องจากกลุ่มคนเหล่านี้ไม่ได้มีเงินเดือนที่สูงเท่าพนักงานบริษัท จึงใช้ร้านอาหารตรงนี้เป็นที่ฝากท้องเช่นกัน
หากลองเดินสำรวจดู เราจะไม่ค่อยเห็นพนักงานบริษัทมาจับจ่ายเท่าไรนัก อาจจะเพราะในบริเวณตัวห้างนั้นมีโซนร้านอาหารอยู่แล้ว และไม่ใช่กลุ่มลูกค้าหลักของสตรีทฟู้ดแห่งนี้


คนกินอยู่ได้ คนขายก็อยู่ได้
แม้จะขายข้าวแกงในราคาถูก แรงงานจับต้องได้ แต่ร้านค้าเหล่านี้ก็ยังมีรายได้และมีกำไรอยู่ ผู้ค้าบางรายเล่าให้ฟังว่า ค้าขายที่นี่อย่างเดียว หลังขายเสร็จก็กลับบ้าน ไม่ได้ประกอบอาชีพอื่น สะท้อนว่า การค้าขายตรงนี้แค่ช่วงเวลาไม่นาน ก็สามารถสร้างกำไรพอเลี้ยงชีพได้
เมื่อเราถามถึงเรื่องกำไร ว่า ขายถูกขนาดนี้ได้กำไรหรือไม่ ? นอกเหนือจากคำตอบที่บอกว่า ได้กำไร ซึ่งเพียงพอต่อการเลี้ยงชีพแล้ว หลายคนมองว่า การค้าขายตรงนี้เป็นความเกื้อกูลกันระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย คนกินอยู่ได้ คนขายก็อยู่ได้ เมื่อผู้ซื้อได้อาหารราคาถูก ผู้ค้าได้กำไรเพราะขายได้มาก ก็เป็นการช่วยเหลือกัน
นอกจากแค่ราคาถูกแล้ว ยังมีการเกื้อกูลในมิติอื่น ๆ เช่น ราคาข้าวแกงอยู่ที่ถุงละ 20 บาทบางร้านยังมีมีโปรโมชั่น ซื้อ 3 ถุง 50 บาท ลดราคาให้ผู้ซื้ออีกด้วย หรือบางร้านที่หากเป็นช่วงสาย ๆ เริ่มไม่ค่อยมีลูกค้าแล้ว ก็จะมีการแถมให้ เพื่อไม่ให้อาหารเหลือทิ้ง หรือบางร้านถ้าผู้ซื้อยังไม่มีเงิน ก็สามารถติดไว้ก่อนได้ เพราะถึงอย่างไรก็เป็นลูกค้าประจำอยู่แล้ว
ผู้ค้า – คนขาย กับความไม่แน่นอนริมทาง
แม้ว่าการค้าขายจะเพียงพอต่อการเลี้ยงชีพ แต่พ่อค้า แม่ค้าเหล่านี้ก็ยังต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนของทำเลที่ตั้ง ผู้ค้าหลายคน ระบุว่า การค้าขายขึ้นอยู่กับไซต์งานก่อสร้าง ซึ่งหากอาคารสร้างเสร็จ ก็ไม่มีความจำเป็นใดที่แรงงานจะต้องมาแวะเวียนแถวนี้แล้ว เมื่อคนซบเซาลง ร้านค้าก็ต้องแยกย้ายไป ต้องหาที่ใหม่ หรือย้ายตามไซต์งานไปเรื่อย ๆ
ความไม่แน่นอนอีกประการ คือ ราคาวัตถุดิบที่แพงขึ้น แต่การขึ้นราคาอาหารตามก็ทำได้ยาก เพราะจะทำให้ขายไม่ได้ ผู้ค้า ระบุว่า ต้องดูสินค้าอาหารที่ขาย เหมาะสมสอดคล้องกับราคาที่ขึ้นหรือไม่ บางคน อาจไม่ได้ขึ้นราคา แต่ใช้วิธีการลดปริมาณที่ให้ลง
บางคนด้วยข้อจำกัดเรื่องอายุที่มากขึ้น ทำให้ไม่สามารถขายได้เยอะเหมือนเมื่อก่อน ก็ต้องลดปริมาณการขายลง กำไรที่ได้ก็ลดลงเหลือพอยังชีพเท่านั้น

ความเป็นอีสานในเมืองหลวง
ระหว่างการเดินสำรวจ เราได้ยินเสียงเพลงอีสานลอยมาจากลำโพงที่ผู้ค้าเปิดไว้ ทำให้เรารับรู้ได้ว่าหนึ่งในจุดร่วมของพื้นที่แห่งนี้ คือ ความเป็นอีสาน ผ่านทั้งผู้ค้าหลายคนที่เป็นคนอีสาน หรือแรงงานชาวอีสานก็ตาม สื่อกลางอย่างภาษาอีสานที่ใช้พูดคุย และอาหารอีสานที่ปรากฏเป็นจำนวนไม่น้อย เช่น ส้มตำ, ไก่ย่าง, หมก รวมไปถึงอาจเจอเมนูพิเศษ เช่น กบย่าง ด้วย
พี่ปุ้ย แม่ค้าร้านข้าวแกงริมทางซอยปลูกจิต บอกเล่าให้เราฟังว่า ตัวเองมาจาก จ.ศรีสะเกษ เข้ามาค้าขายข้าวแกงในกรุงเทพฯ ได้ 8 – 9 ปีแล้ว พี่ปุ้ยเป็นหนึ่งในประชากรจากภาคอีสาน ที่ใช้พื้นที่บริเวณนี้เป็นแหล่งทำมาหากิน ถือเป็นหนึ่งในกลุ่มแรงงานประชากรขนาดใหญ่ที่เข้ามาอยู่ มาอาศัย มาทำงานในเมือง นอกจากนี้ยังมีแรงงานข้ามชาติอีกมากมาย ที่เราจะพบเห็นได้บนถนนสายนี้ เช่น แรงงานชาวเมียนมา ที่เข้ามาทำงานส่งเงินกลับให้ที่บ้านเช่นกัน
บทส่งท้าย
ซอยปลูกจิต อาจจะไม่ได้วุ่นวายตลอดเวลา ในช่วงสาย ๆ เมื่อกลุ่มแรงงานก่อสร้างเข้างานเรียบร้อย ร้านค้าก็ต่างทยอยเก็บร้าน แยกย้ายกันไปตามทางชีวิตของตัวเอง บ้างก็เปลี่ยนที่ขาย บ้างก็กลับไปช่วยร้านค้าของครอบครัวที่อยู่อีกที่ บ้างก็กลับบ้านพักผ่อน ซอยแห่งนี้ก็กลับมาเงียบเหงา แต่วัฏจักรเหล่านี้ก็จะเกิดขึ้นซ้ำในเช้าวันใหม่
นี่เป็นเพียงส่วนเล็ก ๆ ของชีวิตในเมืองฟ้าอมร ในความเป็นจริง ยังมีถนน ตรอก ซอกซอยอีกมากมาย ที่ร้านอาหารราคาถูกกระจายตัวอยู่ทั่วกรุงเทพฯ คอยหล่อเลี้ยงชีวิตของแรงงาน เพื่อเป็นพลังไว้คอยขับเคลื่อนมหานครแห่งนี้ให้เติบโตต่อไป
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง