จักรวาล ‘วัว’ ข้ามแดน

เมื่อเรื่องวัว ๆ
ไม่ใช่แค่ ‘สัตว์’ กับ ‘โรคระบาด’
แต่คือ ความมั่นคงในชีวิตทุกมิติ

  • บทนำ

กรณีพบผู้เสียชีวิตด้วย โรคแอนแทรกซ์ 1 คน ในหมู่บ้านโคกสว่าง ต.เหล่าหมี อ.ดอนตาล จ.มุกดาหาร และ พบผู้ป่วยสะสม รวม 4 คน รวมถึงผู้สัมผัสทั้งหมด 636 คน จากการมีประวัติในการร่วมวงชำแหละ บริโภคเนื้อวัวดิบ เมื่อช่วงปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมา

ทั้งนี้เมื่อสิ้นสุดระยะเฝ้าระวัง ตั้งแต่วันที่ 10 พ.ค. 2568 ไม่พบผู้ป่วยและวัวตายเพิ่ม ขณะที่การตรวจหาเชื้อแม้เจอในสิ่งแวดล้อม คือ ดินบริเวณที่ชำแหละ  แต่ในสัตว์ที่นำมาชำแหละกลับตรวจไม่พบเชื้อ จึงเป็นการยากที่จะหาต้นตอว่ามีจุดเริ่มต้นหรือชัดเจนจากที่ใด

แนวทางสำคัญในการควบคุมเฝ้าระวังโรคในจังหวัด จึงเป็นการควบคุมโรคในสัตว์ รัศมี 5 กิโลเมตร 1,222 ตัว โดยฉีดยาปฏิชีวนะวัวในพื้นที่ 124 ตัว และห้ามเคลื่อนย้ายสัตว์ โค-กระบือ ในพื้นที่ชายแดน 3 อำเภอ คือ อ.ดอนตาล อ.เมืองมุกดาหาร และ อ.หว้านใหญ่ ระยะเวลา 30 วัน ซึ่งครบกำหนดไปเมื่อวันที่ 28 พ.ค. 2568  

แม้สถานการณ์โรคแอนแทรกซ์ จ.มุกดาหาร จะเป็นการเฝ้าระวังในระดับพื้นที่ ซึ่งดูเหมือนจะควบคุมได้รวดเร็ว และไม่ได้ใช้มาตรการขอความร่วมมือในจังหวัดพื้นที่ใกล้เคียง แต่ต้องยอมรับว่า กรณีที่เกิดขึ้นได้ส่งผลกระทบและสร้างความกังวลในวงกว้าง หลายจังหวัดในภาคอีสาน ได้ขอความร่วมมือ ปิดตลาดโค-กระบือ กระทบเกษตรกรที่เตรียมนำวัวไปขายในช่วงเปิดเทอมและใช้หนี้ และจากข่าวที่มีการลงพื้นที่สำรวจยอดขายเนื้อวัวและร้านอาหารอีสานอย่างร้านลาบ ก็พบว่ายอดขายลดลง

ส่วนบริเวณด่านชายแดน ทั้ง มุกดาหาร และนครพนม ผู้ค้าวัวข้ามแดน ไม่สามารถส่งออกวัวไปยังปลายทางตลาดใหญ่อย่างเวียดนาม และจีนได้ เพราะทางลาวปิดด่านตั้งแต่วันที่ 6 พ.ค.ที่ผ่านมา แม้ไม่ได้ระบุเหตุผลชัดเจนว่า เพราะป้องกันการระบาดของเชื้อแอนแทรกซ์ที่พบในฝั่งชายแดนไทยหรือไม่  แต่ก็ใช้มาตรการนี้ในห้วงเวลาเดียวกันกับที่ จ.มุกดาหาร อยู่ระหว่างการเฝ้าระวังโรคแอนแทรกซ์

การปิดชายแดน จึงไม่ได้หยุดแค่การเคลื่อนย้ายวัว หรือชะลอการส่งออกวัวไปประเทศปลายทาง ไม่ใช่แค่เรื่องสัตว์ และโรคเพียงอย่างเดียว แต่กระทบทุกชีวิตตลอดเส้นทาง ของวัวข้ามแดน

The Active ชวนร่วมสำรวจ จักรวาลวัวข้ามแดน ผ่านชุดข้อมูลเพื่อทำความเข้าใจ เห็นภาพใหญ่ตลอดเส้นทางค้าวัว เพื่อหาแนวทางหรือข้อเสนอป้องกันผลกระทบต่อมิติต่าง ๆ ในอนาคต

เปิดเส้นทางค้า ‘วัวข้ามแดน’
การเดินทางไกลของฝูงวัว
จาก บังคลาเทศ -เมียนมา-ไทย-เวียดนาม-จีน

“การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศจีน และเวียดนาม หลังจาก 2 ประเทศนี้หลุดพ้นจากช่วงเวลาแห่งความยากจน ส่งผลต่อกำลังซื้อ การบริโภคเนื้อสัตว์ที่เพิ่มมากขึ้น โดยฉพาะเนื้อวัว ประมาณ 500,000 ตัวต่อปี และในทางเดียวกันก็ส่งผลต่อการข้ามแดนของปศุสัตว์”

นี่คือสิ่งที่ ผศ.จิราพร เหล่าเจริญวงศ์ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้ศึกษา ภูมิศาสตร์สัตว์ ร่อยรอย และเรื่องราวฝูงวัวข้ามแดน ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญและความต้องการวัวข้ามแดน ซึ่งเรื่องราวต่อจากนี้ จะไม่ได้เห็นแค่มิติความสำคัญของวัว ในฐานะสินค้า หรือ อาหาร และสัตว์เศรษฐกิจ แต่หมายถึงการทำความเข้าใจระหว่างการเดินทางข้ามแดนของฝูงวัวเหล่านี้ เพื่อฉายให้เห็นความมั่นคงในชีวิตทุกมิติของผู้คนตลอดเส้นทาง

สำหรับ สเปค วัว ที่ 2 ประเทศนี้มีความต้องการ คือ วัว ที่มีจุดกำเนิดต้นทางมาจาก อินเดีย, บังคลาเทศ และบางส่วนอาจมาไกลจากปากีสถาน เข้ามายัง เมียนมา

โดยภาคกลางตอนบนค่อนไปทางเหนือของประเทศเมียนมานั้น เป็นเขตที่ราบสูง การเกษตรทำได้ แต่อาจไม่เพียงพอสำหรับการเก็บเกี่ยวสร้างรายได้ เกษตรกรที่อาศัยอยู่บริเวณนั้น จึงเลือกที่จะเลี้ยงสัตว์ควบคู่ไปกับการทำกสิกรรมไว้เพื่อขาย  

ฝูงวัวพวกนี้ จะถูกซื้อมาจากบ้านชาวบ้านตามหมู่บ้านต่าง ๆ และรวบรวมขายให้กับพ่อค้าคนกลาง ไปยังตลาดนัดวัวในเมียนมา ที่นี่ฝูงปศุสัตว์โตเต็มวัย จะถูกลำเลียงขึ้นรถบรรทุก เพื่อเดินทางต่อไปยังท่าข้าม ผ่านชายแดน อ.แม่สอด จ.ตาก เข้าสู่ฝั่งไทย

“ประเทศไทย ถือ เป็นประเทศที่ได้รับการยอมรับเป็นอันดับ 1 ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในเรื่องศักยภาพปศุสัตว์วัว นี่คือเหตุผลที่ย้ำว่า ไทยเป็นศูนย์กลาง หรือ Hup ของวัวข้ามแดน”  

เมื่อเข้ามาในเขตไทย จะไม่สามารถเคลื่อนย้ายฝูงสัตว์ได้ทันที ตามระบบวัวจะถูกส่งเข้า คอกกักสัตว์ หรือ โรงแรมวัว 21-30 วัน โดยปศุสัตว์จะทำการตรวจคัดกรองและกักโรคระบาด

ฝูงวัวที่ข้ามมาใหม่ จะถูกสุ่มเจาะเลือดส่ง โดยใช้วิธีการสุ่มทางระบาดวิทยา เพื่อตรวจหาเชื้อไวรัสต่างๆ เช่น ลัมปีสกิน และ ปากเท้าเปื่อย จากนั้นวัวแต่ละตัวจะได้รับการตรวจร่างกาย สัตวแพทย์ / สัตวบาล จะดึงลิ้นออกมาตรวจ ดูกีบเท้า ดูรอยตรงผิวหนัง ว่า มีรอยบ่งบอกโรคลัมปีสกิน หรือไม่ จากนั้นจะฉีดวัคซีนป้องกันเท้าและปากเปื่อย และโรคลัมปีสกิน

วัวที่ผ่านการตรวจสุขภาพแล้ว จะได้รับการติดเบอร์ที่ใบหู ตัวเลขที่ติดจะเป็นเหมือนเลขบัตรประจำตัวของสัตว์ตัวนั้น และจะถูกประทับตราร้อนเพื่อเป็นเครื่องบอกว่า ได้รับการตรวจสุขภาพแล้ว แสดงให้เห็นถึงการทำงานของสัตวแพทย์ และจะถูกกักโรคไว้เป็นระยะเวลา 21-30 วัน

นอกจากบทบาทสำคัญของสัตวแพทย์ ในพื้นที่นี้ แรงงานข้ามชาติ ซึ่งเป็นแรงงานเลี้ยงวัว มีบทบาทที่ไม่ใช่เพียงเลี้ยงดูสัตว์ แต่เป็นตัวช่วยสำคัญในการคัดกรองโรค และประเมินความแข็งแรงของวัว

“เพราะแรงงานข้ามชาติเหล่านี้ เป็นผู้ที่รู้จักวัวดีที่สุด สามารถสังเกตพฤติกรรม รู้ว่าวัวตัวนี้อาจป่วย หรือมีโรคหรือไม่ และในช่วงกัก หากมีวัวที่อ่อนแอ ไม่แข็งแรง นำไปขุนต่อไม่ขึ้น ส่งออกไม่ได้ ก็จะขายต่อให้กลุ่มคนที่เลี้ยงวัวภายในประเทศ หรือหากในระหว่างนี้วัวเกิดพิการ เช่น ขาหัก ก็จะส่งขายสู่โรงฆ่าสัตว์ เข้าโรงงานแปรรูปอาหารสัตว์ โรงงานลูกชิ้น”

ผศ.จิราพร เหล่าเจริญวงศ์

ครบระยะกักโรค 
ตรวจปล่อยครั้งสุดท้าย
ก่อนส่งขายที่ตลาดวัว 

สำหรับวัวที่ผ่านการกักตัวครบระยะ 30 วัน หลังจากมีการระบาดของโรคลัมปีสกิน (โดยก่อนหน้านี้ระยะเวลาการกักตัวถูกกำหนดไว้ที่ 21 วัน) ทีมสัตวแพทย์ จะเข้าไปทำการ ตรวจปล่อย ซึ่งหมายถึง การตรวจสุขภาพวัวที่คอกกักสัตว์ชายแดนครั้งสุดท้าย ก่อนปล่อยวัวเข้าไปขายในตลาดนัดวัว อ.แม่สอด

เมื่อเจ้าหน้าที่ทำการตรวจปล่อยวัวแต่ละชุดเสร็จเรียบร้อย คนเลี้ยงวัวจะนำตราเหล็กซึ่งมีสัญลักษณ์ จุ่มสีแดง ประทับลงบนตัววัวที่ผ่านการตรวจปล่อย เพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่า วัวตัวนี้มาจากคอกกักใด จากนั้นคนเลี้ยงจะจูงวัวออกจากซองบังคับสัตว์ เพื่อกลับไปพักที่คอก หรืออาจไปผูกไว้ในบริเวณใกล้จุด ที่จะมีรถบรรทุกมารับไปตลาดในเช้าวันรุ่งขึ้น

ทั้งนี้ การตรวจปล่อยจะทำเป็นประจำทุกวันพฤหัสบดี เพื่อให้วัวทยอยเข้าไปในตลาดนัดวัวตั้งแต่วันศุกร์ ก่อนที่ตลาดจะเปิดให้ซื้อขายกันในวันเสาร์ และอาทิตย์  

“มาถึงตรงนี้ จึงชัดเจนว่า วัวที่เข้ามาตามระบบ จะถูกตรวจคัดกรองเฝ้าระวังโรคอย่างดี”

ผศ.จิราพร เหล่าเจริญวงศ์

ตลาดวัวโพธิ์ทอง 
จุดนัดนักขุน

ทุกเช้าวันเสาร์ และวันอาทิตย์ ตลาดวัวโพธิ์ทอง จะคึกคักไปด้วยกลุ่มผู้ซื้อวัว เพื่อนำวัวไปขุนในพื้นที่ต่าง ๆ ซึ่งต่างเป็นผู้ที่มีประสบการณ์ ความเชี่ยวชาญ ในการเลือกและดูลักษณะวัวที่สามารถนำไปขุนให้ได้น้ำหนัก ตามที่ตลาดปลายทาง คือ เวียดนาม และจีนต้องการได้ ในระยะเวลา 90-120 วัน และฟาร์มขุนวัว ถือเป็นอีกจุดที่สะท้อนศักยภาพของไทย ในการเป็น Hup หรือ ศูนย์กลางเลี้ยงวัวที่มีคุณภาพ

ประเทศไทยมีฟาร์มขุนวัว เตรียมออกข้ามแดน สู่ตลาดเวียดนาม และจีน ในหลายจังหวัด กระจายในหลายภูมิภาค ได้แก่ เชียงราย, เชียงใหม่, อุตรดิตถ์, พิษณุโลก, สุโขทัย, สุพรรณบุรี, นครปฐม, ประจวบคีรีขันธ์, บึงกาฬ, นครพนม และ มุกดาหาร  

ในห้วงระยะเวลาเพียง 4 เดือน ฟาร์มขุนจะดูแลวัวให้มีสุขภาพแข็งแรง ที่สำคัญ คือ เพิ่มน้ำหนัก 100-200 กิโลกรัม หรือให้วัวได้น้ำหนักไม่ต่ำกว่า 300 กิโลกรัม ตามที่ประเทศปลายทางต้องการ

จะเห็นว่า พันธุ์วัวข้ามแดน กับ วัว ที่เลี้ยงในไทย มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน โดยสเปควัวที่ทางเวียดนาม และจีนต้องการ คือ วัวโครงใหญ่ หรือ โคเนื้อ ซึ่งนั่นอาจสอดคล้องกับวัฒนธรรมการกิน และเมนูอาหารท้องถิ่นของประเทศปลายทาง ที่ต้องการวัวเป็น ๆมากว่าวัวแช่แข็ง หรือ วัวกล่อง

เมื่อครบระยะการขุน วัวจะถูกส่งออกไปยังลาว เพื่อไปต่อที่ เวียดนาม-จีน ผ่าน 2 ด่านชายแดนสำคัญ ที่ จ.นครพนม และ มุกดาหาร

“จะต้องยืนยัน ว่า ถ้าส่งออกไปแล้ว วัวจะย้อนกลับมาไม่ได้ คือออกแล้วออกเลย แค่รถขับออกไปจากด่านชายแดนไทย ก็กลับมาไม่ได้แล้ว ถ้าจะกลับมาต้องขออนุญาตใหม่ ซึ่งขั้นตอนเยอะมาก ส่วนใหญ่ก็จะทำตามกฎระเบียบขององค์กรระหว่างประเทศที่บังคับมา ถ้าคุณต้องการจะส่งออกแล้วมันก็เห็นว่าคู่ค้าเขาก็ทำตามกฎกันอยู่แล้ว และต้องทำตามกฎระเบียบขององค์กรระหว่างประเทศ”

ผศ.จิราพร เหล่าเจริญวงศ์

แต่ในสถานการณ์ภายหลังจากที่ไทยพบผู้เสียชีวิต และผู้ป่วยจากโรคแอนแทรกซ์ ที่ จ.มุกดาหาร ในพื้นที่ชายแดนขาออกของวัวข้ามแดน แม้ทางฝั่งไทยจะไม่ได้เข้มมาตรการจนถึงขั้นต้องออกประกาศปิดด่านชายแดนในฝั่งไทย แต่ทางการลาว ได้ปิดด่าน ตั้งแต่วันที่ 6 พ.ค.ที่ผ่านมา ทำให้การส่งออกวัวข้ามแดน ต้องหยุดชะงักมาเกือบ 3 สัปดาห์แล้ว ซึ่งแน่นอนว่า กระทบตั้งแต่ต้นทาง ของเส้นทางวัวที่ได้เล่ามาทั้งสาย

หลากอาชีพ-ชีวิตคน
บนทางค้าวัว

ตลอดการเดินทางของวัวข้ามแดน ไม่ได้เห็นแค่ชีวิต และการเคลื่อนย้ายของฝูงวัว แต่เห็นการเคลื่อนไหว ห่วงโซ่ชีวิตของผู้คนหลากหลายอาชีพบนเส้นทางค้าวัว วัวจึงไม่ได้เป็นแค่สินค้า ความมั่นคงทางอาหาร แต่เป็นความมั่นคงทางเศรษฐกิจโดยภาพรวม   เป็นชีวิต รายได้ เศรษฐกิจ ของคนตัวเล็กตัวน้อย ของผู้คนบนทางค้าวัว ดังข้อมูลอาชีพที่ได้แสดงให้เห็นถึงความหลากหลายของผู้คน

“วัว เป็นชีวิต เป็นความหวัง เป็นรายได้ เป็นสมุดบัญชี หรือเป็น ATM ให้กับเจ้าของคนเลี้ยงวัว ที่เขาเอาไปขาย และได้เงินไวเมื่อต้องใช้เงินด่วน และเป็นรายได้ให้กับผู้คนที่อยู่ในห่วงโซ่นี้ทั้งระบบ ตั้งแต่คนตัวเล็กตัวน้อย เช่น ชีวิตแรงงานข้ามชาติ เกษตรกรรายย่อยที่ปลูกหญ้า เจ้าของรถขนวัว คนขับรถส่งวัว ฯลฯ”

ผศ.จิราพร เหล่าเจริญวงศ์ 

‘วัว’ กับการสานต่อ
วัฒนธรรมการกิน

ลองคิดดูว่า ถ้าวันนึงไม่มีวัว วัฒนธรรมบางอย่างจะหายไป เช่น วัฒนธรรมการบริโภคเนื้อ เพราะเนื้อกล่อง เนื้อแช่แข็งนำเข้ามาบางอย่าง ก็ไม่สามารถทำเมนูบางอย่างที่คนจีนเขาทำได้ เขาจึงอยากได้วัวเป็นเป็น จึงต้องมาซื้อวัวผ่านเมืองไทย เช่น เรื่องของการบริโภคหรือการทำเนื้อแดดเดียว หรือ Beef jerky ที่จะต้องไม่ใช้เนื้อกล่องนำเข้า อันนี้ชัดเจนว่าถ้าไม่มีวัวเป็น ๆ วัฒนธรรมส่วนนี้จะหายไป

“เนื้อวัวแดดเดียวที่มันเป็น jerky คนจีนเขาจะไม่เอาเนื้อที่มันถูกโฟรเซ่น หรือ แช่แข็งมาทำ คือเขาจะเอาแบบเชือดสด ๆ เท่านั้นมาทำ ดังนั้นหากไม่มีวัว วัฒนธรรมเหล่านี้อาจหายไป”

ผศ.จิราพร เหล่าเจริญวงศ์

การปิดชายแดน จึงไม่ได้หยุดแค่การเคลื่อนย้ายวัว ชะลอการส่งออกวัวไป แต่กระทบทุกชีวิตตลอดเส้นทางของวัวข้ามแดน เช่นเดียวกับ ในหมู่บ้าน ต. เหล่าหมี อ.ดอนตาล จ.มุกดาหาร ที่เผชิญปัญหาโรคแอนแทรกซ์ อ่านเพิ่ม

คือ ต้องถูกกักตรวจวัวเพื่อความปลอดภัย ชาวบ้านเคลื่อนย้ายขายวัวยังไม่ได้ หรือได้ก็อาจจะยาก เพราะคนซื้อก็มีความกังวล เพราะวัว มาจากพื้นที่ที่มีรอยโรคอยู่ การตรวจจับเฝ้าระวังและให้เกิดความมั่นใจว่าสามารถควบคุมโรคได้ จึงเป็นหัวใจสำคัญที่จะให้การเดินทางของทุกชีวิตบนทางค้าวัว เดินหน้าได้ต่อ

ฝูงปศุสัตว์-โรคระบาดข้ามแดน
ร่องรอย และเรื่องราว บนพื้นที่ชายแดน

ความเชื่อมโยงระหว่าง เชื้อโรค การเคลื่อนย้ายของสัตว์ และมนุษย์ อย่างมีนัยยะสำคัญ โรคระบาดอาจหยุดการเคลื่อนย้ายของสัตว์ ในทางกลับกันการเคลื่อนย้ายของสัตว์อาจนำพามาซึ่งโรคระบาดใหม่ ที่มาจากพื้นที่หนึ่งไปสู่อีกพื้นที่หนึ่ง โดยที่มนุษย์มีส่วนเกี่ยวข้องอยู่ในกระบวนการอันนี้ด้วย

เพราะมนุษย์เป็นผู้นำเข้า-ส่งออก ดูแลและพยาบาลสัตว์ข้ามรัฐต่าง ๆ เมื่อสัตว์เจ็บไข้ได้ป่วยอาจเกิดโรคระบาดจากเชื้อโรคของสัตว์สู่มนุษย์ด้วย เพราะมนุษย์นั้นเป็นผู้อยู่ใกล้ชิด และใช้ชีวิตอยู่กับสัตว์ ความเชื่อมโยงสุดท้าย คือ รัฐและนโยบาย เมื่อสัตว์เดินทางข้ามแดนผ่านชายแดนของรัฐ สัตว์จะถูกตรวจสุขภาวะ

ย้อนประวัติศาสตร์
รอยโรควัว ในไทย

ผศ.น.สพ.เทิดศักดิ์ ญาโน คณะสัตวแพทย์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ รวบรวมข้อมูล โรคระบาดในวัวที่สำคัญในประเทศไทย ดังนี้

  • FMD โรคปากและเท้าเปื่อย

เชื้อนี้คาดว่าพบครั้งแรกในปี ค.ศ.1546 ที่อิตาลี แต่มีการรายงานการเกิดโรคอย่างเป็นทางการและยืนยันว่าเป็นเชื้อไวรัสในปี ค.ศ 1897-1898

พบรายงานครั้งแรกในประเทศไทย พ.ศ. 2496 หรือ ค.ศ. 1953 เป็นการระบาดของเชื้อซีโรไทป์ A ในปี พ.ศ. 2497 มีการรายงานการระบาดของเชื้อซีโรไทป์ Asia 1 และใน พ.ศ. 2500 มีการระบาดของเชื้อซีโรไทป์ O (Chaisrisongkram, 1993)

เชื้อสาเหตุ : เชื้อ Foot and Mouth Disease Virus อยู่ genus Aphthovirus, family Picornavirida / สายพันธุ์ มี 7 ซีโรไทป์ ได้แก่ A,O,Asia1,C, SAT1,SAT2,SAT3 ในประเทศไทยระบาด 3 ซีโรไทป์ คือ A,O,Asia1

อาการ : จะมีไข้ ซึม เบื่ออาหาร หลังจากนั้นจะมีเม็ดตุ่มพอง เกิดที่ริมฝีปากในช่องปาก เช่น เหงือกและลิ้น ทำให้น้ำลายไหล กินอาหารไม่ได้ และเกิดเม็ดตุ่มที่ระหว่างช่องกีบ ไรกีบ ทำให้เจ็บมาก เดินกะเผลก เมื่อเม็ดตุ่มแตกออกอาจมีเชื้อแบคทีเรียร่วมด้วย ทำให้แผลหายช้าขณะที่วัวเป็นโรคจะผอมน้ำนมจะลดลงอย่างมาก ในวัวอัตราการติดโรคสูงถึง 100% อัตราการตาย 0.2-5% ในลูกวัว อัตราการตายอาจสูงถึง 50-70% โดยเฉพาะอย่างยิ่งลูกวัวที่ยังดูดนมอัตราการตายอาจสูงถึง 100%

  • Anthrax โรคแอนแทรกซ์

เชื้อนี้พบมานานตั้งแต่สมัย อียิปต์ ใช้ชื่อ anthrax ตั้งแต่ ปี 25 ก่อนคริสตกาล ในยุคกลางรู้จักในชื่อ “Black Bane.” ในปียุค 1870 s, Robert Koch ค้นพบเชื้อก่อโรค ในปี 1880 William Greenfieldค้นพบวัคซีน

ประเทศไทย มีรายงานพบโรคครั้งแรกในช่วง พ.ศ. 2490-2491 และเริ่มให้ความสำคัญใน พ.ศ. 2510 หลังจากมีการรายงานในคนจำนวนมาก รายงานครั้งล่าสุดเมื่อ พ.ศ. 2530 ด้วยอาการทางผิวหนัง

ส่วนใหญ่มักจะพบสัตว์ตายก่อนแล้วจึงพบอาการในคน

เชื้อสาเหตุ : เชื้อแบคทีเรีย Bacillus anthracis

การรักษา : ไม่มียารักษาโดยตรง แต่ใช้วัคซีนในการป้องกันได้

อาการในคน

  1. โรคแอนแทรกซ์ผิวหนัง (Cutaneous anthrax)จะเริ่มด้วยอาการคันบริเวณที่สัมผัสเชื้อ ตามมาด้วยตุ่มแดง (popule) แล้วกลายเป็นตุ่มพองมีนํ้าใส(vesicle) ภายใน 2 – 6 วัน จะเริ่มยุบตรงกลางเป็นเนื้อตายสีดำคล้ายแผลบุหรี่จี้ (eschar) รอบๆ อาการบวมนํ้าปานกลางถึงรุนแรงและขยายออกไปรอบเนื้อตายสีดำคล้ายแผลบุหรี่จี้ (eschar) อย่างสมํ่าเสมอบางครั้งเป็นตุ่มพองมีนํ้าใส (vesicle) ขนาดเล็กแผลบวมนํ้า มักไม่ปวดแผล ถ้าปวดมักเนื่องจากการบวมนํ้าที่แผลหรือติดเชื้อแทรกซ้อน แผลมักพบบริเวณศีรษะ คอ ต้นแขน และมือ (พื้นที่สัมผัสโรคบนร่างกาย)

  2. โรคแอนแทรกซ์ทางเดินหายใจ (Inhalational anthrax) เริ่มด้วยอาการคล้ายการติดเชื้อของระบบหายใจส่วนบนที่ไม่รุนแรง เช่น ไข้ ปวดเมื่อยไอเล็กน้อย หรือเจ็บหน้าอก ซึ่งไม่มีลักษณะจำเพาะต่อมาจะเกิดการหายใจขัดอย่างเฉียบพลัน รวมถึงการหายใจมีเสียงดัง (stridor), อาการหายใจลำบากอย่างรุนแรง เกิดภาวะออกซิเจนลดตํ่าลง(hypoxemia), เหงื่อออกมาก (diaphoresis)ช็อก และตัวเขียว ทำให้เสียชีวิตอย่างรวดเร็ว ตรวจพบนํ้าท่วมเยื่อหุ้มปอด

  3. โรคแอนแทรกซ์ทางเดินอาหาร (Gastrointestinal anthrax) อาจเกิดในจุดใดจุดหนึ่งของลำไส้ และเกิดการอักเสบและบวมนํ้ามาก นำไปสู่การมีเลือดออก อุดตัน เป็นรู และมีนํ้าในช่องท้องมาก โรคแอนแทรกซ์ทางเดินอาหารไม่พบการเสียชีวิตที่แน่นอน แต่ด้วยการรักษา การเสียชีวิตสามารถเพิ่มสูงได้ ด้วยเกิดอาการเลือดเป็นพิษ ช็อก อาการโคม่าและเสียชีวิต

อาการในสัตว์

  • ไข้สูง ไม่กินหญ้าแต่ยืนเคี้ยวเอื้อง มีน้ำลายปนเลือด หายใจลำบาก ยืนโซเซ กล้ามเนื้อกระตุก ชัก ตายกะทันหัน

  • บางครั้งพบการบวมน้ำของชั้นใต้ผิวหนัง เช่น ส่วนล่างของลำคอ ช่วงอกและไหล่

  • พบมีเลือดไหลออกจากปาก จมกู และรูทวาร อวัยวะเพศ เลือดมีลักษณะเป็นสำดำ ไม่แข็ตัว กลิ่นเหม็นคาวจัด ซากสัตว์จะนิ่มและเน่าอืดเร็ว

การรักษา : ใช้ยาปฏิชีวนะกลุ่มเพนนิซิลิน

ผศ.น.สพ.เทิดศักดิ์ ญาโน คณะสัตวแพทย์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
  • Brucellosis โรคแท้งติดต่อ

เชื้อ Brucella melitensis เป็นกลุ่มเชื้อ โรคแท้งติดต่อที่ถูกค้นพบครั้งแรกโดย David Bruce ใน เกาะ Malta ในปี 1887 ปัจจุบันยังมีปัญหาในคนอยู่

ในประเทศไทย มีรายงานผู้ป่วยโรคแท้งติดต่อในคนครั้งแรกใน พ.ศ. 2513

เชื้อสาเหตุ : เชื้อแบคทีเรีย Brucella spp.

  • สายพันธุ์ : Brucella abortus พบในโค กระบือ

  • Brucella melitensis พบในแพะ แกะ

  • Brucella ovis ในแกะ

  • Brucella suis พบในสุกร

  • Brucella canis พบในสุนัข

อาการ : มีการแท้งในช่วง 2 เดือนสุดท้ายของการตั้งท้อง โดยฝูงที่พบโรคครั้งแรกมักจะมีการแท้งแทบทุกตัว และ อัตราการแท้งลดลงในการตั้งท้องครั้งต่อไป

  • อาจพบอาการเต้านมอักเสบ ขาเจ็บ และข้ออักเสบ

  • อาจพบอาการทางประสาท

  • ตัวผู้มักพบอาการอัณฑะอักเสบบวม

การรักษา : ไม่นิยมให้การรักษาเนื่องจากไม่ได้ผล แต่มีวัคซีนป้องกันโรคได้

  • Lumpy skin disease โรคลัมปีสกิน

พบครั้งแรกใน  Zambia ในปี คศ 1929 หลังจากนั้นก็ระบาดไปทั่วแอฟริกา ยุโรปและเอเชีย ในเอเชียพบครั้งแรกในบังคลาเทศในปี คศ 2019

มีรายงานการระบาดครั้งแรกในประเทศไทยเมื่อเดือน มีนาคม พ.ศ. 2564

เชื้อสาเหตุ : lumpy skin disease virus (LSDV), อยู่ใน genus Capripoxvirus family Poxvirida

อาการ : ไข้ ซึม เบื่ออาหาร ซูบผอม เยื่อจมูกอักเสบ เยื่อตาขาวอักเสบ มีปริมาณน้ำลายมากกว่าปกติ ต่อมน้ำเหลืองบวมโต เกิดตุ่มที่ผิวหนังบริเวณหัว คอ ขา เต้านม อวัยวะเพศ โดยโรคลัมปี สกิน ยังไม่มีรายงานการติดต่อจากสัตว์สู่คน

การรักษา : ไม่มียารักษาโดยตรง แต่ใช้วัคซีนในการป้องกันได้

  • Bovine tuberculosis วัณโรคในวัว

โรคนี้มีรายงาน พบครั้งแรกใน ค.ศ. 1882 โดย Robert Koc

เชื้อสาเหตุ : เชื้อแบคทีเรีย Mycobacterium bovis ติดในคนได้ ล่าสุดมีรายงานการติดเชื้อในสัตวแพทย์ในเกาหลี

อาการ : อาการทั่วไปที่พบได้ คือ ผอม มีไข้ ไอ หายใจลำบาก และกินอาหารลดลง ในระยะสุดท้ายสัตว์จะมีร่างกายซูบผอม มากและระบบหายใจล้มเหลว อาจพบต่อมน้ำเหลืองบวมโต

การรักษา : ไม่นิยมรักษา แต่จะใช้การทำลายสัตว์ป่วย

ตั้งข้อสังเกต ‘โรคแอนแทรกซ์’ จ.มุกดาหาร
อาจเชื่อมโยงประเทศเพื่อนบ้าน

สำหรับกรณีโรคแอนแทรกซ์ จ.มุกดาหาร พบผู้ป่วย และผู้เสียชีวิตนั้น ผศ.น.สพ.เทิดศักดิ์ ประเมินการระบาดว่า เป็นการระบาดในเชิงพื้นที่ คาดการณ์ หรือมีความเป็นไปได้ที่เชื้อมีโอกาสระบาดมาได้จากทั้งประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งพบข้อมูลข่าวอย่างชัดเจนว่า มีการตายของฝูงวัวและการติดเชื้อของคน ในปี 2565 ที่เวียดนาม และปี 2567 ในลาว แม้ว่ารัฐบาล หรือทางการลาว จะไม่ได้มีการรายงานยืนยันเป็นทางการ และยังพบข้อมูลว่า มีการเดินทางเข้า-ออก ของชาวบ้าน 2 ฝั่ง รวมถึงผู้ที่อยู่ในวงสัมผัสใน จ.มุกดาหาร ภายหลังจากที่มีการล้มวัวด้วย

อีกส่วนหนึ่งในพื้นที่พบเชื้อล่าสุดที่ ต.เหล่าหมี เองมีเชื้ออยู่แล้ว เพราะเชื้อแอนแทรกซ์มีสปอร์อยู่ในสิ่งแวดล้อม เช่น ในดิน ได้เป็น 10 ปี เพียงแต่จะเข้าสู่วัว สู่คนเมื่อไรเท่านั้น ประกอบกับเรื่องภูมิคุ้มกันของโรค ของคนหรือสัตว์ที่ป่วยด้วย ดังนั้นหากจะหาต้นตอของโรคในกรณีล่าสุด ก็ยังทำได้ยาก  

ผศ.น.สพ.เทิดศักดิ์ ยังชี้ให้เห็น ช่องโหว่ ของ พ.ร.บ.โรคระบาดสัตว์ พ.ศ. 2558

  1. สัตวแพทย์ ตาม พ.ร.บ.คือ เจ้าหน้าที่ของกรมปศุสัตว์ หรือผู้ที่รัฐมนตรีแต่งตั้งเท่านั้น ดังนั้นจึงเป็นกฎหมายที่อยู่ภายใต้กรมปศุสัตว์เท่านั้น

  2. ตามมาตรา 11 เจ้าของต้องเป็นผู้แจ้ง เจ้าหน้าที่เมื่อมีสัตว์ป่วย หรือตายหรือสงสัยโรคระบาด ภายใน 12 ชั่วโมง ซึ่งในความเป็นจริงไม่สามารถทำได้ นอกจากนี้จำนวนเจ้าหน้าที่กรมปศุสัตว์ที่จะตอบสนองเหตุ ก็มีไม่เพียงพอ ที่จะเข้าควบคุมเหตุระบาดได้ทันท่วงที การส่งเสริมให้เกิดการเฝ้าระวังโรคแบบมีส่วนร่วมจึงเป็นอีกทางหนึ่งที่จะทำให้การควบคุมการระบาดเกิดขึ้นได้รวดเร็วโดยอาศัยกำลังจากภาคส่วนอื่น ๆ

  3. จำนวนโรคใน พ.ร.บ.โรคระบาดสัตว์มีจำนวนมากกว่า 100 โรค (136 โรค) ที่ต้องรายงานเมื่อมีเหตุสงสัยการระบาด ครอบคลุมสัตว์ทุกชนิดทั้งสัตว์บกและสัตว์น้ำ จึงเป็นเรื่องยากที่เจ้าของสัตว์ที่ไม่ได้เป็นสัตวแพทย์จะทราบว่า สัตว์ของตนเองเป็นโรคอะไร ดังนั้นการรายงานเป็นอาการหรือเหตุการณ์ที่สงสัย จึงมีความเป็นไปได้มากกว่า ในการช่วยควบคุมโรคให้รวดเร็วขึ้น

  4. การประกาศเขตโรคระบาดมีข้อกำหนดหลายอย่างที่ส่งผลกระทบต่อการค้าสัตว์ เนื่องจากจำเป็นต้องงดการเคลื่อนย้ายสัตว์เพื่อลดการแพร่กระจายของโรค ส่งผลให้บางพื้นที่หลีกเลี่ยงที่จะประกาศเขตโรคระบาด และพยายามควบคุมโรคให้ได้ด้วยตัวของเจ้าหน้าที่ในพื้นที่เอง แต่หากควบคุมไม่ได้ ก็ทีโอกาสที่โรคจะแพร่ไปได้ในวงกว้าง

  5. การทำลายสัตว์ ที่สงสัยโรคระบาด จะมีการชดเชยให้แก่เจ้าของสัตว์ แต่จะชดเชยให้ไม่ต่ำกว่า 3 ใน 4 ของราคาตลาด ซึ่งทำให้เจ้าของสัตว์ที่ครอบครองสัตว์ที่มีราคาสูงกว่าท้องตลาด เช่น ไก่ชน วัวชน พยายามหลีกเลี่ยงการทำลายสัตว์ของตนเอง ส่งผลให้โรคกระจายไปมากขึ้นเนื่องจาก นำสัตว์ตนเองที่ติดเชื้อ ย้ายไปยังพื้นทื่อื่น ๆ

  6. พ.ร.บ.โรคระบาดสัตว์ยังเป็นเรื่องของ กรมปศุสัตว์และผู้ว่าราชการจังหวัด สั่งการและดำเนินการตามกฎหมาย ในขณะที่ภาคส่วนอื่นๆ ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องใน พ.ร.บ.นี้ ซึ่งการจัดการในแนวทางสุขภาพหนึ่งเดียว มีแนวคิดเรื่องการทำงานร่วมกันหลายๆภาคส่วน ทำให้การใช้ พ.ร.บ.นี้ไม่สอคล้องกับแนวทางสุขภาพหนึ่งเดียวด้วย

ข้อเสนอ-กลไกป้องกันโรคระบาดจากสัตว์
ลดผลกระทบในอนาคต

สิ่งสำคัญลำดับแรก คงต้องเปลี่ยนจากความกลัว เป็นการป้องกันไม่ให้มีการระบาดของเชื้อเพิ่มขึ้น ทั้งในสัตว์และคน ซึ่งนักวิชาการทั้ง 2 คน มองตรงกันว่า 2 สิ่งสำคัญที่ต้องทำควบคู่กันไป คือ การใช้กลไกทั้งแบบที่เป็น ทางการ และ ไม่เป็นทางการ

แบบทางการ คือ หน่วยงานหลัก ๆ อย่างกระทรวงสาธารณสุขที่ดูสุขภาพคน ต้องทำงานอย่างต่อเนื่องกับปศุสัตว์ในพื้นที่ ที่ดูแลสุขภาพสัตว์ ตอบสนองต่อการระบาดได้ทันท่วงที ทั้งการรายงานถึงฝ่ายนโยบาย เพื่อให้เกิดการควบคุมโรคได้เร็ว จัดการไม่ให้ขยายวงกว้าง รวมทั้งการหามาตรการช่วยเหลือดูแลผลกระทบ และการสื่อสารข้อมูลที่ถูกต้องให้ประชาชนตระหนัก และไม่ตระหนก

อีกเรื่อง คือ เข้าใจว่าเจ้าหน้าที่รัฐอาจไม่เพียงพอครอบคลุม ดังนั้น จึงต้องใช้หรือวางเครื่องมือ อย่างไม่เป็นทางการ คือการสร้างกลุ่มต่างๆในระดับชุมชน เช่น กลุ่มผู้เลี้ยง กลุ่มมือล้ม หรือ เชือดวัว กลุ่มผู้ค้าวัว ค้าเนื้อวัว ให้มีองค์ความรู้อย่างต่อเนื่อง และรับข้อมูลข่าวสารได้ไว  

“เพราะที่ผ่านมาปัญหาสำคัญ อาจเป็นเพราะการระบาดการพบเชื้อไม่ได้เกิดขึ้นบ่อย ทั้งๆที่เชื้อไม่ไปไหน ยังอยู่ในสิ่งแวดล้อมมีโอกาสเกิดได้ตลอด แต่พอทิ้งช่วง คนก็อาจจะห่างจากความรู้ไป องค์ความรู้ต่างๆก็หายระหว่างทาง จริง ๆ อย่างคนเชือด หรือล้มวัวที่เขาเสียชีวิต 1 คน ที่จังหวัดมุกดาหาร หากให้เขาได้รับรู้ ตระหนักทั้งการป้องกันดูแล รักษาสุขภาพ สังเกตอาการตนเอง มีแผลไม่ควรไปเชือดวัว หรือวัวตายควรต้องฝังไม่นำมากิน เขาก็อาจไม่เสียชีวิต หรือแม้แต่ผู้บริโภค ที่ต้องให้ความรู้ เรื่องโรคสัตว์สู่คนที่พัฒนารวดเร็ว กินสุกปลอดภัย ย้ำบ่อย ๆ ก็จะนำมาสู่ความปลอดภัยในชีวิต”

ผศ.น.สพ.เทิดศักดิ์ ญาโน

นอกจากนั้นยังรวมไปถึงการเชือดหลังบ้าน ไม่ผ่านโรงฆ่าสัตว์ จริง ๆ กรมปศุสัตว์มีกฎหมายเรื่องของการควบคุมโรงฆ่าสัตว์อยู่แล้ว แต่ต้องยอมรับว่านอกระบบ การเชือดหลังบ้านโดยธรรมชาติวัฒนธรรมของคนก็ยังทำอยู่ ดังนั้นการใช้กฎหมายหรือการใช้หลักการบังคับอาจไม่ใช่ทางออก จึงเชื่อในหลักของการให้ความรู้ เข้าใจธรรมชาติของชาวบ้าน เข้าไปให้คำแนะนำ แล้วจะเกิดการขยับปรับตัวให้ปลอดภัยหรือทำตามข้อกำหนดกฎหมายเอง

‘วัฒนธรรมการกิน’ อาจต้องปรับเปลี่ยน
ให้เท่าทันโลกสมัยใหม่ด้วย

ผศ.จิราพร ยังย้ำว่า เข้าใจในวัฒนธรรมการกิน โดยเฉพาะเวลาที่มีงานบุญ มีการล้มวัวกันเองมาแล้วมาแจกจ่ายกัน แต่ในปัจจุบันที่มีโรคระบาด อาจจะต้องมีการแจ้งปศุสัตว์ว่า วัวตัวนี้ได้ซื้อมาจากคนไหน คือให้มีการแจ้ง เพราะว่าจะต้องมีการเคลื่อนย้ายสัตว์ ก็จะช่วยในการตรวจสอบเพิ่มเติมได้อีกทางหนึ่ง

สำคัญคือยิ่งถ้าในจังหวะที่มีโรคระบาด ก็จะต้องมีการกินปรุงสุก และสัตว์ที่มีการตายมาก่อน ไม่ควรเอาไปชำแหละและไม่ควรเอามากิน เพราะว่ามันอาจจะมีความเสี่ยงนำเชื้อโรคหรือแพร่เชื้อโรคมาสู่คน สู่สิ่งแวดล้อม หรือถ้าหากจะมีการฆ่า ต้องเอาไปในที่ ที่มีการจัดการที่ดีถูกสุขลักษณะ เอาไปเชือดในโรงฆ่าสัตว์ที่ได้รับอนุญาตอย่างถูกต้อง เพื่อให้มีการตรวจสอบมากขึ้น ก็จะเพิ่มความปลอดภัยมากขึ้น

“วัฒนธรรมการกินไม่ได้ผิดไปซะทั้งหมด แต่วัฒนธรรมการกินอาจจะต้องเท่าทันในโลกสมัยใหม่ เพราะมันมีความเสี่ยงทั้งคนที่เชือด และคนที่กินด้วย ถ้ายิ่งเป็นโรคระบาดอย่างโรคแอนแทรกซ์ คนทำก็ยิ่งลำบากอย่างมาก เป็นกลุ่มเสี่ยงอันดับหนึ่ง เราต้องตระหนักถึงความเสี่ยงและผลที่จะต้องตามมา มันไม่ใช่ว่าที่เราเคยทำ ทำมาแล้วจะทำได้ในโลกปัจจุบันทั้งหมด จังหวะที่รู้ว่าวัวเราก็ตาย ก็ต้องเฝ้าระวังกลัววัวของเพื่อนบ้านตายด้วย จะต้องมีการตรวจสอบก่อน ตระหนักในสุขภาพอนามัยและโรคระบาดมากขึ้นด้วย”

ผศ.จิราพร เหล่าเจริญวงศ์

สร้างความร่วมมือชายแดน
เดินหน้าแก้เงื่อนปิดตายการค้าวัวข้ามแดน

จากประสบการณ์การทำงานโดยเฉพาะเรื่องวัว การเคลื่อนย้ายของวัวมาจากเมียนมา เข้าไทย และ ออกไป ลาว เวียดนาม จีน ดังนั้นเชื้อข้ามแดนก็จะเกิดตรงชายแดน จึงต้องมีระบบ มีงบประมาณ มีบุคลากร สนับสนุนให้กรมปศุสัตว์ คือสุขภาพคน และสุขภาพสัตว์ทำงานร่วมกันในการเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่องในพื้นที่ รวมถึงระบบเรื่องของงบประมาณส่งเสริมให้คนในพื้นที่ แต่อยู่คนละประเทศ ทำงานร่วมกันได้ มีการสื่อสารจากพื้นที่ตรงชายแดน กลับเข้ามาตรงส่วนกลางที่ทำให้เกิดการตัดสินใจในการสั่งการจากส่วนกลางได้เร็วขึ้น ที่สำคัญการเฝ้าระวังป้องกันต้องถูกยกระดับไปพร้อม ๆ กัน เท่าๆกันในทุกประเทศ ในพื้นที่ชายแดน

ผศ.จิราพร เหล่าเจริญวงศ์ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ทั้งนี้การปิดชายแดนที่ผ่านมานั้น ไม่ได้เกิดขึ้นแค่ชายแดนระหว่างไทย-ลาว เพียงอย่างเดียว หากมองย้อนกลับไปยังชายแดนต้นทางที่วัวได้เดินทางเข้ามาก็พบว่า ชายแดนระหว่างเมียนมา-ไทย ก็ถูกปิดมานับครั้งไม่ถ้วนเช่นเดียวกัน 

อย่างไรก็ดี การค้าวัวและปศุสัตว์ข้ามแดนนั้น ยังต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนบ่อยครั้ง ชายแดนมักจะถูกสั่งปิดเมื่อพบการระบาดของโรคในสัตว์ เช่น ปากเท้าเปื่อย หรือ ลัมปีสกิน เมื่อ ปี 2564-2565 ได้มีการปิดชายแดนจากการะบาดของโรคลัมปีสกิน เนื่องจากประเทศไทยไม่เคยพบการระบาดของเชื้อโรคนี้มาก่อน และ ยังไม่มีวัคซีนเพื่อใช้ป้องกันกับสัตว์ตัวอื่นๆ ที่เสี่ยงหรือไม่ได้เป็นโรคนี้ ในช่วงนั้นชายแดนถูกปิดไปเป็นเวลา 1  ปี เกษตรกร พ่อค้าวัว ต่างก็เดือดร้อน หลายคนยอมซื้อวัคซีนที่นำเข้ามาจากเอกชนเข็มละพันกว่าบาท เพื่อฉีดให้กับวัวของเขา เพื่อไม่ให้สูญเสียชีวิตไป

เพราะนั่นก็หมายถึงการสูญเสียเงินลงทุนและรายได้เช่นกัน หลังจากที่รัฐประกาศเปิดชายแดน ก็มีการควบคุมอย่างเข้มงวดในเรื่องการระบาดของโรค มีมาตรการการกักโรคที่ยืดระยะเวลาออกไป อย่างที่กล่าวไปแล้วข้างต้น ซึ่งค่าใช้จ่ายก็ตกกับผู้ค้าวัว กระนั้น การค้าขายปศุสัตว์ข้ามแดน ก็ประคับประคองและดำเนินมาได้ดี หลังจากที่กลุ่มผู้ค้าได้หลุดพ้นจากวิฤติโรคลัมปีสกิน เพื่อพบว่าอีกไม่นาน รัฐโดยกรมปศุสัตว์ กลับสั่งปิดชายแดน มากว่า 2 ปี โดยใช้ข้ออ้างเรื่องโรคปากเท้าเปื่อย ซึ่งที่จริงแล้ว เป็นโรคที่รักษาให้หายได้ และไทยผลิตวัคซีนได้เอง ปัจจุบัน ด่านชายแดนแม่สอดก็ยังคงปิดอยู่ 

นักวิจัย ยังย้ำว่า ปีที่ผ่านมา มีกลุ่มผู้ค้าวัว เจ้าของคอก รวมถึงเกษตกรปลูกหญ้า ขายฟาง รวมถึงผู้ขับรถบรรทุกวัว ได้เข้าไปขอความช่วยเหลือ ตั้งคำถามและร้องเรียนถึงสภาพปัญหาที่พวกเขาต้องเผชิญ รายได้ และอาชีพที่สูญเสียไป จากการปิดชายแดนจนเกือบจะถาวรเช่นนี้ ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนนับตั้งแต่มีการควบคุมโรคใน พ.ศ. 2538 ว่าทำไม ? ครั้งนี้ถึงได้ปิดตายชายแดน เพราะเมื่อการปิดชายแดนไม่ใช่แค่เรื่องสัตว์ และโรคเพียงอย่างเดียว แต่มันส่งผลกระทบต่อชีวิตของผู้คนมากมายทั้งในประเทศ และต่างประเทศ เช่น พ่อค้าวัวพม่าที่ต้องการส่งวัวมาไทย หรือ พ่อค้าเวียดนามที่ต้องการซื้อวัวที่ขุนจากไทย ต่างก็ได้รับผลกระทบอย่างหนัก เพราะชีวิตของเขานั้นเกาะเกี่ยวผูกพันกับการการค้าวัวข้ามแดนมาโดยตลอด ดังนั้นเรื่องของสัตว์คงไม่ได้กระทบแค่ชีวิตสัตว์ แต่มนุษย์ที่เกี่ยวข้องกับสัตว์นั้นด้วย

ปิดโรคระบาด ปิดช่องว่าง ‘วัวเถื่อน’
ชี้ ไทย ต้องรักษามาตรฐาน หวั่นเพื่อนบ้านล้มแชมป์ตลาดค้าวัว

นักวิชาการ ทั้ง 2 คน ยังสะท้อนตรงกัน ว่า การพบเชื้อหรือการระบาดโรคในสัตว์ หรือ ในวัว และเพื่อเป็นการป้องกันควบคุมโรคต้องมีการปิดด่าน ก็ไม่ปฏิเสธว่าเป็นเรื่องสำคัญ แต่หากเกิดบ่อย หรือปล่อยให้เนิ่นนาน ก็จะกลายเป็นสร้างปัญหาอื่นตามมา เพราะการปิดด่าน ทำให้ปลายทางต้องรอสินค้า มีความต้องการวัว เมื่อมีความต้องการ การลักลอบหรือนำเข้า เอาวัวผ่านไทย ออกไปลาว เวียดนาม จีน ในช่องทางธรรมชาติก็จะเกิดขึ้น และจะกลายเป็นปัญหาคุมโรคได้ยากขึ้นไปอีกด้วย การป้องกันหรือการควบคุมโรค จะต้องมองเป็นเรื่องของการยกระดับทั้งภูมิภาคให้ขึ้นไปพร้อมกัน  ทำอย่างไรให้เกิดความร่วมมือที่สมดุล ในการควบคุมโรค กับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อความมั่นคงทุกมิติ

ที่สำคัญ คือไทย ต้องรักษามาตรฐานคุณภาพวัวไทยเอาไว้ ซึ่งหมายถึงวัวที่เข้ามาและผ่านไทยไป อย่างวัวข้ามแดน ให้เป็นวัวที่ปราศจากโรค ขุนได้ตามความต้องการของจีน ถ้ารักษาไม่ได้เราก็จะเสียตลาดให้กับเวียดนามและลาว ตอนนี้มีความพยายามของลาว แต่เกษตรกรลาวไม่สามารถทำได้เหมือนเกษตรกรไทย คือเกษตรกรไทยของเรา ต้องยอมรับว่าเก่งมาก ที่ผ่านมาเกษตรกรลาวเคยได้โควตา 400,000 ตัวต่อปี แต่ผลิตไม่ถึง เพราะว่าเลี้ยงไม่ได้ตามที่จีนต้องการเหมือนไทย

“มองว่าที่เป็นข้อได้เปรียบก็คือปศุสัตว์ของเราทำหน้าที่ในการเข้ามาดูแล ทั้งความเป็นทางการไม่เป็นทางการตรงนี้ ที่เชื่อมต่อกัน ทำให้วัวได้มาตรฐาน ดังนั้นจึงส่งออกไปยังจีนได้ตามสเปคที่เขาต้องการ ถ้าเรารักษาไว้ไม่ได้ ก็ต้องแพ้ในเกมการค้าวัว”

จิราพร เหล่าเจริญวงศ์

ทั้งหมดที่กล่าวมา คือ เรื่องของ One Health สุขภาพหนึ่งเดียว มองภาพทั้งหมดเป็นเรื่อง หรือภาพเดียวกัน เพราะทุกอย่างเกี่ยวข้องกันหมด ทั้ง สุขภาพคน และต้องมองถึงสุขภาพสัตว์ รวมถึงสิ่งแวดล้อมด้วย คือเมื่อสัตว์ปลอดภัย มีการจัดการที่ดีก่อนปล่อยลงสู่สิ่งแวดล้อม เช่นการเชือดที่ถูกสุขลักษณะ จัดการของเสียที่ถูกต้องตามหลัก ก็จะไม่กระทบสิ่งแวดล้อม

เมื่อสัตว์แข็งแรง ปลอดภัย ไม่เป็นโรค นั่นหมายความว่าคนก็ปลอดภัย ระบบที่ปลอดภัยก็จะสร้างเศรษฐกิจที่ยั่งยืน และความมั่นคงของผู้คนในทุกมิติ

Author

Alternative Text
AUTHOR

ทัศนีย์ ประกอบบุญ

นักข่าวสายลุย เกาะติดประเด็นแล้วไม่มีปล่อย รักการเดินทาง หลงรักศิลปะบนรองเท้า และชอบร้องเพลงเป็นชีวิตจิตใจ

Alternative Text
AUTHOR

ธนธร จิรรุจิเรข

สงสัยว่าตัวเองอยากเป็นนักวิเคราะห์ data ที่เขียนได้นิดหน่อย หรือนักเขียนที่วิเคราะห์ data ได้นิดหน่อยกันแน่